ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 457 มองรอบทิศใจงวยงง-1
บทที่ 457 มองรอบทิศใจงวยงง-1
……….
เจ้าหมิงหมิงมองตามด้ายทองไปถึงตรงประตู และเห็นว่าเป็นคนที่นางคุ้นเคย
บัณฑิตจางและอิ๋นซิง
‘เหตุใดพวกเขาจึงมาที่นี่’
เจ้าหมิงหมิงคิดอยู่ในใจเช่นนี้และรู้สึกฉงนยิ่งนัก
บัณฑิตจางรับการไหว้วานจากติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งให้เป็นอาจารย์บุ๋นของทังซงจง จากนั้นก็พาทังซงจงไปศึกษาที่หอทรงปัญญา
เจ้าหมิงหมิงก็มีวาสนาได้พบกับบัณฑิตจางที่หอทรงปัญญาหลายหน
ส่วนอิ๋นซิงผู้นี้ แม้ไม่ค่อยคุ้นเคยนัก แต่ดูจากท่าทีของคนทั้งสองแล้ว คาดว่าต้องเป็นสามีภรรยากัน
บัณฑิตจางได้มาพบกับคนรักเก่าที่หอทรงปัญญา เรื่องนี้ก็เป็นความประหลาดใจเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้เช่นกัน
พอถ่านไฟเก่าคุกขึ้นมาอีกคราก็ไม่อาจยับยั้งเอาไว้ได้
ครั้งนั้น เพื่อชดเชยความรู้สึกผิดในใจจึงจากอิ๋นซิงไปโดยไม่ร่ำลา ในเวลาหลายปีหลังจากนั้นจึงคอยแกะรอยเท้าของผู้ตัดสัมพันธ์ศิษย์ของตน
หวังจะทำให้เขาคลายปมในใจลง และกลับตัวกลับใจจากการแก้แค้นได้
เมื่อดูไปยามนี้ แม้ว่าเมื่อตัวเขาและอิ๋นซิงได้มาพบกันอีกครั้งและกลับมารักกันเช่นเดิม แต่ใจของบัณฑิตจางก็ยังคงยึดติดในเรื่องนี้อยู่
ศิษย์ต้องการตามล้างแค้น และอาจารย์อยากจะช่วยศิษย์
ไปๆ มาๆ กลับยากจะแยกได้ว่าใครกันแน่ที่ยึดติดมากกว่ากัน
ในดวงตาทั้งคู่ของผู้ตัดสัมพันธ์มีเพียงความเกลียดชังต่ออสูรเผ่าจิ้งจอก ทำให้เขาเมินเฉยความงดงามทั้งปวงที่อยู่รอบๆ ตัว
แม้ว่าเวลานี้เจ้าหมิงหมิงจะยังไม่ได้ประมือกับผู้ตัดสัมพันธ์แต่ก็สามารถสัมผัสได้อย่างลึกล้ำว่าเขาต่างจากเมื่อครั้งก่อนที่พบกัน
แต่ความแตกต่างที่ว่านี้เจ้าหมิงหมิงก็ยากจะใช้ภาษาของมนุษย์พรรณนาออกมาได้
เหมือนกับต้นข้าวในต้นฤดูร้อนที่เติบโตจนสามารถเก็บเกี่ยวได้ภายในเวลาไม่กี่วัน
ต้องพูดทีเดียวว่า ในบางหนความเกลียดชังกลับมีประโยชน์ยิ่งกว่าความห่วงใยและความรักใคร่เอาใจใส่เสียอีก
เหตุที่ผู้ตัดสัมพันธ์สามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วเพียงนี้ก็เพราะอาศัยความเกลียดชังแสนรุนแรงในหัวใจ
“แม่นางเจ้า!”
บัณฑิตจางทักทายเจ้าหมิงหมิง
“เหตุใดท่านจึงมาที่นี่ได้”
เจ้าหมิงหมิงพยักหน้าตอบรับจึงถามออกไป
“มาเพราะศิษย์ของข้า”
บัณฑิตจางกล่าว
สีหน้าสงบนิ่ง
เจ้าหมิงหมิงมองผู้ตัดสัมพันธ์หนหนึ่ง สีหน้าของเขาไม่ได้มีคลื่นอารมณ์ใดแม้แต่น้อย
ไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตาขึ้นสักหน
พริบตานั้น เจ้าหมิงหมิงกลับเข้าใจผิดขึ้นมา ถึงกับนึกว่าศิษย์ที่บัณฑิตจางเอ่ยถึงก็คือจางเสี่ยวหยาง
เพราะอย่างไรคนทั้งสองก็ล้วนแซ่จางและอยู่ที่นี่ด้วย
ไม่แน่ว่าอาจมีความสัมพันธ์หรือรู้จักกันมาก่อน
“ศิษย์ของท่านคือ…”
เจ้าหมิงหมิงใจลอยแต่ปากกลับถามออกไปเสียแล้ว
บัณฑิตจางก้มหน้าลง ก่อนยกมือขึ้นและชี้นิ้วไปทางผู้ตัดสัมพันธ์
ตอนนั้นเองเจ้าหมิงหมิงจึงเพิ่งเข้าใจ
“แม่นางเจ้า ขออภัยแล้ว!”
บัณฑิตจางกล่าวกับเจ้าหมิงหมิงอย่างตรงไปตรงมายิ่ง
เมื่อเจ้าหมิงหมิงได้ฟังก็กลับตกตะลึง จากนั้นจึงเพิ่งเข้าใจถึงความหมายในการขออภัยของเขา
เกรงว่าตาเฒ่าผู้นี้คงรู้ฐานะของตนมานานแล้ว แค่ไม่เอ่ยออกมาเท่านั้น
ในเมื่อรู้ฐานะของตน เช่นนั้นหนทางที่จะตามหาผู้ตัดสัมพันธ์ได้ดีที่สุดก็คือสะกดรอยตามนางนั่นเอง
คิดว่าตั้งแต่เจ้าหมิงหมิงเพิ่งออกมาจากหอทรงปัญญาและเดินทางอยู่บนแดนสุขสัญจร บัณฑิตจางและอิ๋นซิงก็ตามหลังนางมาแล้ว
เพียงแต่เจ้าหมิงหมิงไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจ้าหมิงหมิงก็ต้องตื่นตกใจจนเหงื่อกาฬหลั่งทั่วแผ่นหลัง
เคราะห์ดีที่บัณฑิตจางผู้นี้ไม่ได้มีความเกลียดชังตน ไม่เช่นนั้นทั้งนางและเกาลัดคั่วน้ำตาลต้องตกอยู่ในอันตรายชนิดที่เทพยังไม่รู้ผีสัมผัสไม่ได้เป็นแน่
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ!”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยพลางยิ้ม
เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องขืนปกปิดอันใด
การยอมรับอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา กลับยิ่งทำให้ดูใจกว้างและไม่เสียเกียรติ
บัณฑิตจางประสานมือคำนับซึ่งนับเป็นการคารวะตอบ จากนั้นก็หันหน้าไปมองผู้ตัดสัมพันธ์
“พวกเจ้าสองตายายเฒ่าโผล่ออกมาจากที่ใดอีก! รู้หรือไม่ว่ากระบี่ด้ามนี้ของข้ามีราคาตั้งกี่ตำลึง”
จางเสี่ยวหยางกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
โกรธเกรี้ยวบางทีก็ไม่ต่างอันใดกับอาฆาตแค้น
เพราะทั้งสองสิ่งล้วนทำให้คนสูญเสียความสามารถในการตัดสินใจที่เคยมีอยู่แต่เดิม มองข้ามหลักตรรกะทั้งปวงและละเมิดกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ทั้งหมด
สิ่งที่ต่างกันก็คือเกรี้ยวโกรธอยู่เพียงชั่วคราว
ต่อให้เพลิงโทสะจะลุกโชนรุนแรงเพียงใด ก็ต้องมียามที่ดับลง
ต่อให้เป็นคนที่ใจร้อนอีกสักเท่าใด ก็จะไม่โวยวายอาละวาดอยู่ตลอดหนึ่งวันสิบสองชั่วยาม
แต่อาฆาตแค้นกลับไม่เหมือนกัน
อาฆาตแค้นหากไม่ถึงชั่วอึดใจที่ได้สังหารศัตรูด้วยมือตน ก็จะไม่ตายไม่เลิกรา
ก็เหมือนกับหนี้บิดาลูกจ่ายคืน บิดาสิ้นลูกชดใช้
หนึ่งวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี เรื่อยไปทุกๆ ชั่วคน สืบทอดต่อไปเช่นนี้ เพียงเพื่อให้ภารกิจนี้สำเร็จลุล่วง
จางเสี่ยวหยางไม่ได้มีความแค้นกับเจ้าหมิงหมิง ทั้งไม่ได้โวยวายอาละวาด
นั่นเพราะเจ้าหมิงหมิงเป็นคนที่เขารักใคร่หมายปอง
แต่กับผู้ตัดสัมพันธ์กลับไม่ใช่แค่เกรี้ยวโกรธธรรมดาๆ เท่านั้นแล้ว
ในความเกรี้ยวโกรธนี้มีความเกลียดชังอยู่มากมายนัก!
เกรี้ยวโกรธและอาฆาตแค้นนั้นสามารถสลับสับเปลี่ยนกันได้
หากเกรี้ยวโกรธคนหรือเรื่องหนึ่งๆ เมื่อความโมโหนี้สั่งสมมาเป็นวันเป็นเดือนก็จะกลายเป็นอาฆาตแค้น
การปรากฏตัวของผู้ตัดสัมพันธ์ทำลายทัศนียภาพแสนสมบูรณ์แบบทั้งหมดที่เคยมีอยู่แต่เดิมของจางเสี่ยวหยาง
ไม่เพียงทำให้เขาต้องเสียหน้ายับเยิน ยังทำให้ธาตุแท้ของตนต้องมาเปิดเผยต่อหน้าเจ้าหมิงหมิงโดยสิ้นเชิง
ไม่ได้อ่อนโยน ไม่ได้เป็นคนง่ายๆ และไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษอันใด
“ทำปากเจ้านี่ให้สะอาดสักหน่อย!”
อิ๋นซิงเอ่ย
พร้อมกระตุกด้ายทองที่กำอยู่ในมือจนกระบี่ของจางเสี่ยวหยางหลุดออกจากมือ
“นี่เจ้ายังคิดจะแย่งชิงของอีกหรือ”
จางเสี่ยวหยางโกรธจนหัวเราะออกมา
จากนั้นก็พูดคำว่าดีสามครั้ง
และปัดถ้วยชามบนโต๊ะรอบๆ ตัวจนตกลงพื้นแตกละเอียด
ดันทุรังหัวชนฝายิ่งนัก
เขาใช้ทั้งแรงกายแรงใจหวังจะทำให้เรื่องนี้วุ่นวายใหญ่โต เพราะต้องการให้บิดามาแก้แค้นให้ตนนั่นเอง
เดิมทีนึกว่าเป็นเพียงพวกลูกผู้ดีที่ไม่ร่ำเรียนไร้วิชาความสามารถผู้หนึ่ง
นึกไม่ถึงว่าทั้งที่อายุยังน้อย แต่จิตใจกลับน่ารังเกียจเพียงนี้
“มันหนวกหูเหลือทน จะให้ข้าเย็บปากกับมือเท้ามันหรือไม่”
อิ๋นซิงมองจางเสี่ยวหยางที่ยังคงขว้างปาข้าวของไม่หยุด ก่อนหันไปถามบัณฑิตจาง
“ตกลง!”
บัณฑิตจางนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยปากออกมา
เสียงเครื่องกระเบื้องตกแตกนี้ดังนัก แม้จะสนทนากันก็ยังลำบาก
แม้ว่าจางเสี่ยวหยางจะกำลังโยนถ้วยชามต่างๆ แต่ก็ยังคอยฟังความเคลื่อนไหวของคนรอบข้างอยู่
เมื่อได้ยินว่าเจ้าพวกคนแก่จะเย็บตัวเขาก็เกิดกลัวขึ้นมา
มือที่เคลื่อนไหวอยู่ก็ช้าลงมาก พร้อมเงยหน้าขึ้นมามอง
เข็มเงินเล่มนั้นพุ่งตรงมายังใบหน้าของเขา
“นายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย! ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”
จางเสี่ยวหยางไม่อาจหลบได้ ได้แต่เข่าอ่อนทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น
พร้อมโขกหัวร้องขอชีวิตกับบัณฑิตจางและอิ๋นซิงไม่ยอมหยุด
แต่ไม่ว่าร่างของจางเสี่ยวหยางจะขยับขึ้นลงเช่นใด เข็มเงินเล่มนั้นก็ยังคงคอยตามติดที่มุมปากของเขา
“ช่างเถิด!”
บัณฑิตจางกล่าว
หากเมื่อครู่เขากุมไม่มือของอิ๋นซิงเอาไว้ในจังหวะสุดท้าย เข็มเงินคงแทงทะลุมุมปากของจางเสี่ยวหยางไปแล้ว
“เจ้าเป็นชายชาตรีแท้ๆ แต่ยังไม่เด็ดเดี่ยวเท่าข้าด้วยซ้ำ”
อิ๋นซิงพึมพำประโยคหนึ่ง
แต่ก็ยังคงฟังบัณฑิตจางและดึงเข็มเงินกับด้ายทองกลับมา
จางเสี่ยวหยางกลับยังคงหลับตาทั้งคู่ลงและโขกหัวร้องขอชีวิตไม่ยอมหยุด
น้ำมูกปนเปกับน้ำตาและมีไม่น้อยที่ไหลเข้าไปในปาก แต่อย่างไรก็ยังไม่ยอมหยุด
บัณฑิตจางรู้สึกรำคาญ
ก่อนหน้านี้หนวกหูเสียงถ้วยชามแตก แต่เวลานี้กลับเป็นเสียงคร่ำครวญ
เหตุใดภายในหอราชสีห์ที่ใหญ่โตเพียงนี้ จึงไม่มีที่เงียบสงบสักแห่ง
“ลุกขึ้นเถิด! รีบไปเสีย!”
บัณฑิตจางกล่าว
จางเสี่ยวหยางกลับมีหูแต่ไม่ได้ยิน
บัณฑิตจางพูดติดกันสองสามรอบกลับไม่ตอบสนองใดๆ
จางเสี่ยวหยางราวกับถูกผีเข้า ความกลัวครอบงำทั้งร่างกายและจิตใจของเขา
บัณฑิตจางและอิ๋นซิงหันมองกันคราวหนึ่ง ด้วยความจนใจจึงได้แต่เดินไปข้างหน้า คิดจะกระชากคอเสื้อของจางเสี่ยวหยางแล้วโยนออกไปนอกประตู
………………………………………