ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 459 หันหลังกลับแล้วปล่อยมือ-1
บทที่ 459 หันหลังกลับแล้วปล่อยมือ-1
……….
เมื่อบัณฑิตจางโยนพัดกระดูกขาวไปข้างหลังก็ถูกเข็มกับด้ายของอิ๋นซิงรับเอาไว้กลางอากาศได้ในทันใด ก่อนดึงกลับมาถือไว้ในมือได้อย่างมั่นคง
บัณฑิตจางที่ไร้พัดกระดูกขาว ยังนับเป็นบัณฑิตจางอีกหรือ
ในความทรงจำของผู้ตัดสัมพันธ์ แต่ไรมาอาจารย์ไม่เคยให้พัดเล่มนี้อยู่ห่างมือ
ยามนอนก็ไม่รู้ว่ายังวางไว้ข้างหมอนหรือไม่ แต่ขอเพียงเขายังตื่นอยู่ เท้ายืนมั่นคงอยู่บนพื้นก็จะต้องมีพัดกระดูกขาวเล่มนี้ถือไว้ในมือ คอยพับเก็บและเปิดออกไม่หยุด หรือไม่ก็เอาเหน็บไว้ที่เอว ยืนยืดอกเชิดหน้า
เวลานี้บัณฑิตจางไม่มีพัดกระดูกขาวอยู่ในมือแล้ว และที่เอวก็ว่างเปล่า
ผู้ตัดสัมพันธ์กลับรู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้นเคย
บางครั้งความทรงจำที่มีต่อคนผู้หนึ่ง กลับเกิดจากรายละเอียดเล็กๆ น้อยจำนวนมากที่ทับถมก่อรวมกันขึ้นมา
คนผู้นี้กินอาหารใด สูบยาชนิดใด ชอบดื่มสุราใด
มักสวมเสื้อผ้าสีใด มักสวมใส่เครื่องประดับใดบนตัว เป็นต้น…
เมื่อเอ่ยถึงคนผู้หนึ่งที่ไม่ได้พบกันเนิ่นนาน สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในสมองเป็นอย่างแรกจะต้องเป็นรายละเอียดยิบย่อยเหล่านี้
ภายหลังจึงค่อยประกอบจากจุดเล็กๆ กลายเป็นภาพรวมทั้งหมด และค่อยๆ ขยายเป็นภาพกว้างขึ้นมา
จนมาถึงว่าเขามีอายุเท่าใด มีอุปนิสัยเช่นใด เป็นชายหรือหญิง เป็นคนชรา หรือหนุ่มสาว
การพบกันครั้งก่อนในเมืองติ้งซีอ๋อง ผู้ตัดสัมพันธ์ยังไม่ทันมองอาจารย์ผู้มีพระคุณผู้นี้ของตนเองให้ชัดเจน
หลังจากต้องรีบร้อนจากมาจึงพบว่าความทรงจำของตนยังคงหยุดอยู่ในสำนักปากสอบ
เวลานี้กลับเป็นโอกาสหาได้ยาก ให้เขาสามารถพินิจมองท่านอาจารย์ที่ไม่ได้พบกันมานานของตนอย่างจริงจังสักคราว
บัณฑิตจางสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีเทาขาวทั้งตัว เป็นเสื้อผ้าตัวสั้น
ไม่เข้ากับฉายาของเขาแต่อย่างใด…
เพราะนี่จะเหมือนกับบัณฑิตผู้หนึ่งได้อย่างไร
กลับเหมือนช่างฝีมือที่พาเหล่าศิษย์ทำงานอยู่ภายในตลาดมากกว่า
เป็นพวกช่างปั้นดินเหนียว ช่างก่อเตาไฟพวกนั้น
กฎเกณฑ์ในใต้หล้าที่ไม่ได้จารึกเป็นตัวอักษรก็คือเหล่าบัณฑิตสวมเสื้อตัวยาว ส่วนพวกที่หากินด้วยการขายแรงงานล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าตัวสั้น
ฉะนั้น เรื่องนี้ไม่นับว่าเป็นการดูแคลน
เหตุผลหลักก็คือเสื้อตัวยาวนี้ทำงานไม่สะดวกไม่ใช่หรือ
นานวันเข้าจึงกลายเป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไป
เพียงแต่เมื่อผู้อื่นสวมเสื้อตัวสั้นก็จะต้องคาดสายคาดเอวเส้นหนึ่ง
สายคาดเอวนี้ไม่แบ่งแยกฐานะและไม่ได้ใช้เพื่อความสวยงาม
เพียงเพราะเวลาทำงานต้องออกแรงที่เอว และโดยมากแล้วผู้ใช้แรงงานหรือช่างฝีมือต่างๆ ล้วนเป็นคนสามัญที่ไม่เคยฝึกยุทธ์
เมื่อออกแรงที่เอวนานๆ เข้าก็จะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยอย่างยากจะเลี่ยงได้
ครั้งยังหนุ่มสาว อาศัยว่าร่างกายกระดูกแข็งแรง มีเรี่ยวแรงเพียงพอ
เมื่อรู้สึกปวดเมื่อย หลังจากนอนหลับตื่นหนึ่งกลับทุเลาลงได้เจ็ดแปดส่วน
หากบาดเจ็บหนักจริงๆ ก็นอนบนฟูกอีกสักครึ่งวัน ทิ้งงานทิ้งการไปสักสองสามชั่วยาม ก็จะหายเป็นปกติได้ทันใด
ว่ากันว่าทำงานจำเป็นต้องมีต้นทุน ร่างกายก็คือต้นทุนของผู้ใช้แรงงานและช่างฝีมือ
แต่น้อยคนนักที่จะทะนุถนอมร่างกายด้วยใจจริง…
แม้จะบอกว่าไม่มีใครบีบบังคับให้พวกเขาทำงาน แต่เงินที่ขาดหายไปเพราะการนอนมากขึ้นหนึ่งชั่วยามนั้นอาจซื้อข้าวสารได้ถึงสองตำลึงและน้ำมันหนึ่งตำลึงทีเดียว
อย่ามองแต่ว่าคนเหล่านี้เป็นพวกคนโง่ที่ไม่รู้หนังสือหรือไร้วัฒนธรรม แต่หากเอาบัญชีมาตรวจนับกัน ต่อให้เป็นเถ้าแก่ของหอราชสีห์แห่งนี้ก็ยังไม่แน่ว่าจะมีมากกว่าพวกเขา
ครั้งยังหนุ่มสาวทำงานอย่างไม่คิดชีวิต อดทนกินข้าวเปล่า เมื่อถึงยามชราได้แต่ต้องใช้เงินซื้อหยูกยา กินแต่โจ๊ก
ล้วนเป็นวัฏจักรนี้เรื่อยมา
แต่ในยามที่ยังหนุ่มแน่นมักรู้สึกว่าความชรานั้นยังห่างไกลกับตนนัก จวบจบถึงวันที่ทำงานไม่ไหว กลับเริ่มโอดครวญว่าครั้งตนเองยังหนุ่มสาว เหตุใดจึงต้องทำงานเอาเป็นเอาตายและไม่รู้จักดูแลตนเพียงนั้น
บัณฑิตจางผ่ายผอมกว่าตอนอยู่ที่สำนักปากสอบไม่น้อย
ผิวก็คล้ำลงไปมาก
หลายปีนี้ เขาเดินทางระหว่างดินแดนของห้าอ๋อง ตากแดดตากลมไม่น้อยกว่าช่างฝีมือเลย
ดีที่เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์และระดับยุทธ์ก็ไม่ได้ต่ำต้อย หาไม่แล้วจะยังกระฉับกระเฉงอยู่เช่นนี้ได้อย่างไร
ยืนอยู่ที่นั่น ราวกับเหล็กท่อนหนึ่งที่ตั้งตรงยิ่งกว่าตรง
ที่เท้าสวมรองเท้าผ้าพื้นพันชั้น[1]เก่าคู่หนึ่ง แต่ดูคล่องแคล่วมีเรี่ยวแรงยิ่งกว่าผู้อื่นที่สวมรองเท้าหุ้มข้อสูงเสียอีก
ฝ่าเท้าทั้งคู่ราวกับต้นไม้อายุมากที่หยั่งรากลึก ไม่ว่าจะเป็นเรี่ยวแรงเช่นใด ล้วนไม่อาจทำให้เขาคลอนแคลนได้
ใบหน้าที่ผอมเรียวลงกว่าเดิมกลับทำให้บัณฑิตจางดูอ่อนเยาว์ลงหลายปี
ครั้งอยู่ในสำนักปากสอบ ผู้สั่งการสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในวันวานผู้นี้อยู่ดีกินดีและยังค่อนข้างท้วม
ผู้ตัดสัมพันธ์เทียบภาพที่อยู่ในหัวสมองกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ ก็พลันทอดถอนใจว่าสรรพสิ่งเหมือนเดิมแต่ผู้คนเปลี่ยนไป
สิ่งที่เขาทอดถอนใจ ไม่ใช่เพราะความเปลี่ยนแปลงของบัณฑิตจาง แต่เป็นเพราะเดิมทีศิษย์อาจารย์คู่นี้สนิทสนมปรองดอง ดีงามอย่างไร้ขีดจำกัด แต่ชั่ววันคืนผันผ่านกลับตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
ตลอดหลายปีเขาถูกสำนักปากสอบไล่ตามจับ และเคยต้องประดาบเข้าโรมรันหลายครั้ง
ดีที่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อตกต่ำถึงขีดสุดจะมีเรื่องดีเข้ามา พลิกร้ายให้กลายเป็นดีได้…
ยามตกอยู่ในอันตราย แต่สามารถหนีรอดออกมาได้นับเป็นเรื่องดี
อย่างน้อยก็เป็นเรื่องดีสำหรับทุกคน ยกเว้นผู้ตัดสัมพันธ์
ใครบ้างที่ไม่อยากพลิกสถานการณ์ในช่วงอึดใจสุดท้ายและหลบหนีออกมาได้แม้จะดูสิ้นหวังเต็มที?
แต่ไม่ใช่กับผู้ตัดสัมพันธ์
ทุกครั้งที่สามารถหลุดออกจากวงล้อมและได้มีชีวิตใหม่ ล้วนทำให้เขายิ่งเชื่อมั่นว่าลิขิตของตนก็คือการล้างแค้น
ครั้นแล้ว ความรู้สึกเรื่องชะตาลิขิตนี้จึงค่อยๆ สั่งสมเพิ่มขึ้นมา กระทั่งหยั่งรากลึกจนไม่อาจทำลายได้
ตัวผู้ตัดสัมพันธ์เองไม่เคยใคร่ครวญในทิศทางนี้มาก่อน เพราะจะอย่างไรคนในก็มักมองเห็นขมุกขมัว[2]
แต่บัณฑิตจางเคยคิดทบทวนอย่างจริงจังมาแล้ว
ลูกศิษย์ที่เก่งกาจของตนกลับกลายเป็นผู้ตัดสัมพันธ์ในเวลานี้ ทุกคนล้วนมีความรับผิดชอบกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น รวมทั้งสำนักปากสอบก็เกี่ยวข้องอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ก็เหมือนกับสุราจอกหนึ่ง เมื่อยังไม่ดื่มเข้าปาก แต่จอกสุรากลับร่วงลงพื้นแตกเสียก่อน น้ำสุรากระเด็นออกไปทั่วทิศ ย่อมไม่อาจโทษมือของผู้ที่ดื่มสุราว่ากำจอกไม่แน่นพอ แต่เป็นผลแห่งการกระทำทั้งมวลในแดนมนุษย์ และแรงพลังทั้งหมดล้วนมารวมกัน ทำให้สุราจอกนี้คว่ำลงบนพื้น
ไม่อาจดื่มสุรา ไม่โทษสุรา ทั้งไม่โทษคน
แม้ไม่อาจพูดได้ว่าที่แท้นั้นควรโทษผู้ใด แต่เหตุและปัจจัยทั้งมวลที่อยู่ระหว่างฟ้าดินล้วนต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้
การถือกำเนิดของผู้ตัดสัมพันธ์ก็ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีตัวอย่างหนึ่งหรอกหรือ
องครักษ์แห่งสำนักปากสอบบกพร่องต่อหน้าที่ ปล่อยอสูรเผ่าจิ้งจอกแห่งเก้าบรรพตตัวหนึ่งเข้าไป
และจากนั้นบัณฑิตจางผู้เป็นอาจารย์ท่านนี้ก็กลับเชื่อมั่นในตัวศิษย์ของตนเกินไป จึงได้จากไปอย่างเงียบๆ ในช่วงเวลาที่ศิษย์ต้องการคำแนะนำและต้องการให้เขาอยู่ด้วยมากที่สุด
ในที่สุดการตามไล่ล่าของสำนักปากสอบก็ทำให้เขาก้าวเดินมาถึงวันนี้ทีละก้าวๆ และยากจะย้อนกลับคืนได้อีก
ทุกสิ่งนี้หาได้มีคนจงใจจัดการให้เป็น แต่กลับอัศจรรย์พันลึกยิ่งกว่าบทละครร้องเสียอีก
แต่บัณฑิตจางยังคงโทษตนเองอยู่เสมอ
อย่างน้อยเรื่องที่เขาทำพลาดก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ และนั่นคือความจริง
“ท่านชราลงแล้ว!”
หลังจากผู้ตัดสัมพันธ์พินิจบัณฑิตจางตั้งแต่หัวจรดเท้า และจากเท้าขึ้นไปหัวอีกหลายรอบ ในที่สุดก็เอ่ยปาก
“ข้าก็ไม่ได้หนุ่มแน่นตั้งแต่แรก”
บัณฑิตจางกล่าว
พูดจบก็หัวเราะเบาๆ
เขาอายุมากกว่าผู้ตัดสัมพันธ์ยี่สิบสองปี สามารถเป็นบิดาของเขาได้ด้วยซ้ำ
ประสาอันใดที่บัณฑิตจางก็ไม่เคยแต่งงานและไม่มีทายาท
ครั้งอยู่ในสำนักปากสอบก็ปฏิบัติต่อศิษย์ของตนผู้นี้เช่นบุตรชายคนโตจากสายเลือดแท้ๆ มาโดยตลอด
ทั้งสองคนเป็นทั้งศิษย์อาจารย์ และเป็นบิดากับบุตร
“ที่สำคัญก็คือท่านมีผมหงอกแล้ว”
ผู้ตัดสัมพันธ์เอ่ยต่อ
บัณฑิตจางพลันเลิกคิ้วขึ้น ก่อนสูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง
“ต้องเยาะว่าข้าคิดมากจนมีผมหงอกเร็วเกินไป”
บัณฑิตจางบ่นอยู่ที่ปาก
นี่เป็นคำพูดของผู้อาวุโสท่านหนึ่งในหอทรงภูมิ
น่าขันที่ตัวบัณฑิตจางมีวรยุทธ์ล้ำเลิศไร้เทียมทาน แต่จนสุดท้ายก็ยังหนีไม่พ้นเจ็ดอารมณ์หกตัณหาแห่งปุถุชนนี้ ยังคงมีเรื่องให้ต้องกังวลอยู่มากมาย
ด้านขวายังดีกว่าด้านซ้ายเล็กน้อย
ไรผมข้างหูด้านซ้ายเป็นสีขาวแทบหมดแล้ว
“ผมหงอกของท่านก็ขึ้นมาไม่สมดุลกันเอาเสียเลย”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
เขาเองก็สังเกตเห็นจุดนี้เช่นกัน
“อาจเป็นเพราะจุดตะวันที่ขมับทางด้านซ้ายของข้ามักปวดตุบๆ อยู่เป็นประจำ แล้วข้าก็ต้องใช้มือกดและคอยนวดอยู่เรื่อย”
บัณฑิตจางกล่าว
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับผมขาวด้วย”
“เมื่อถูและนวดมากเข้า สีก็จะตกไม่ใช่หรือ”
บัณฑิตจางอธิบายทั้งรอยยิ้ม
เมื่อผู้ตัดสัมพันธ์ได้ยินแล้วก็ต้องนิ่งงัน จากนั้นจึงหัวเราะตามเขาขึ้นมา
“หากว่าตามที่ท่านพูด การที่ผมกลายเป็นสีขาวเพราะสีตก เช่นนั้นเมื่อตัวคนชราลงแล้วจะคือสิ่งใดเล่า”
ผู้ตัดสัมพันธ์ถาม
“คนชราแล้วก็คือสีตกด้วยเช่นกัน หัวใจสีตกก็เหมือนกับต้นไม้ เมื่อรากบอบช้ำและตายไป ก้านใบย่อมไม่น่าดู”
บัณฑิตจางกล่าว
“เวลานี้ข้านับว่าเป็นสีใด”
ผู้ตัดสัมพันธ์ก้มหน้ามองตนเอง แล้วจึงถาม
“เจ้าไม่มีสี หากจะนับก็เป็นได้เพียงสีเก่า”
บัณฑิตจางกล่าว
“สียังแบ่งแยกว่าเก่าใหม่ด้วยหรือ”
ผู้ตัดสัมพันธ์ถาม
“ก็ต้องแบ่งสิ! แรงจู่โจมของสีใหม่ย่อมมีมากกว่าสีเก่ามากนัก สีเก่าไม่ว่าก่อนนั้นจะฉูดฉาดจับตา สดใสส่องสว่างเพียงใด แต่อย่างไรก็เก่าไปแล้ว ก็เหมือนกับชุดแต่งงานที่มีฝุ่นจับหนา แม้สีแดงสดและดิ้นทองจะยังคงอยู่ ยังคงมองเห็นอยู่ แต่ก็ยังขาดแรงกระตุ้นเช่นไฟที่โหมได้ที่”
บัณฑิตจางกล่าว
“ชุดแต่งงานที่สกปรกแล้ว ซักสักหน่อยก็ยังสะอาดได้ แต่สีเก่าพอเอาไปซักด้วยน้ำ ก็ไม่ใช่ว่าจะละลายอยู่ภายในบ่อหรอกหรือ”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
ในถ้อยคำยังมีความเจ็บปวดแฝงอยู่ด้วย
“นี่ก็คือสาเหตุที่เจ้าไม่ยอมซักใช่หรือไม่”
บัณฑิตจางกล่าว
“ข้ายอมปล่อยให้มันเก่า อย่างน้อยมันก็ยังคงอยู่ได้ แม้ของใหม่จะน่าชม แต่เมื่ออยู่นานไปก็จะกลายเป็นของเก่า ต่อให้ฝืนซัก ก็จะไม่ใช่ความรู้สึกเช่นในเวลานั้นอีกแล้ว”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
บัณฑิตจางพยักหน้า
“เมื่อข้ายืนอยู่ต่อหน้าท่าน จะสามารถทำให้สีสว่างขึ้นได้บ้างหรือไม่”
ใบหน้าผู้ตัดสัมพันธ์ปราศจากอารมณ์
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากตอบ แต่เพราะเขาตอบไม่ได้
มีเรื่องมากมายที่เมื่อเปิดช่องว่าง ก็จะเป็นเหมือนกับตลิ่งที่ถูกคลื่นใหญ่ซัดสาดไปเป็นพันลี้…
“ท่านไปเสียเถิด”
ผู้ตัดสัมพันธ์หันข้างและเอ่ยกับบัณฑิตจาง
“จะให้ข้าไปที่ใด”
บัณฑิตจางถาม
“แล้วแต่ท่านจะไปที่ใดก็ได้ เพียงแต่พวกเราอย่าได้พบกันอีกเลย ถือเสียว่าข้าตายไปแล้ว หรือไม่ก็ให้ข้าเกิดเองดับเอง”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
เขาเพียงต้องการจะเดินต่อไปทีละก้าว เดินไปได้จนถึงก้าวใด ก็แล้วแต่ชะตาและวาสนาของเขา
“ท่านเกลี้ยกล่อมให้ข้าละวางใจที่หมายล้างแค้น เช่นนั้นเหตุใดท่านไม่ลองเกลี้ยกล่อมใจตนเองที่ยังคงยึดมั่นกับการจะขัดขวางข้าก่อนเล่า”
ผู้ตัดสัมพันธ์เอ่ยต่อ
บัณฑิตจางได้ยินคำพูดนี้ ใจเขาพลันสั่นสะท้าน…
เขามักคิดว่าผู้ตัดสัมพันธ์จมอยู่กับการล้างแค้น จึงอยากให้เขากลับใจจากการหลงผิด
จะอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องวัวหายล้อมคอก มันสายเกินแก้แล้ว
แต่เมื่อมองย้อนกลับมา ตนเองจะต่างกันใดกับผู้ตัดสัมพันธ์
เพื่อให้ศิษย์ได้กลับมาเริ่มต้นใหม่ เขาเองก็ออกมาจากสำนักปากสอบและก็เคยถูกสำนักปากสอบล่าสังหาร กระทั่งยังเคยไปจากคนที่ตนเองรักที่สุดในชีวิตโดยไม่ร่ำลา
เช่นนั้นแล้ว เขาและผู้ตัดสัมพันธ์จะต่างอันใดกัน
ตัวเขาเองก็ไม่ใช่ว่าเป็นผู้ตัดสัมพันธ์เช่นกันหรอกหรือ
สิ่งที่ต่างกันก็คือ เขาสงบเยือกเย็นและมีเหตุผลใช้หลักการกว่าผู้ตัดสัมพันธ์
สามารถซ่อนตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองจี๋อิงแห่งรัฐติงในอาณาจักรติ้งซีอ๋องได้ตั้งนาน และยังสามารถเข้าไปในเมืองอ๋องเพื่อสนทนากับติ้งซีอ๋องฮั่ววั่ง
ผู้ตัดสัมพันธ์ไม่มีความสามารถและความเด็ดเดี่ยวนี้
“ความจริงแล้ว ข้าเองก็เป็นผู้ตัดสัมพันธ์…”
บัณฑิตจางกล่าว
………………………………………
[1] รองเท้าผ้าพื้นพันชั้น คือ รองเท้าที่พื้นทำจากผ้าเคลือบเย็บติดกันหนาๆ
[2] คนในมองเห็นขมุกขมัว มาจากสำนวนเต็มว่า “คนในเห็นขมุกขมัว คนนอกเห็นชัดแจ้ง” หมายถึง คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ มักมองเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนกว่า
……….