ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 460 หันหลังกลับแล้วปล่อยมือ-2
บทที่ 460 หันหลังกลับแล้วปล่อยมือ-2
……….
“ในหล้านี้มีผู้ตัดสัมพันธ์มากมายนัก ผู้คนมักเริ่มจากปักใจจากนั้นก็ตัดเยื่อใย คนเจ็บปวดใจมีมากกว่าคนตัดสัมพันธ์มากนัก บางทีความเจ็บปวดใจอาจจะหายได้ แต่ตัดสัมพันธ์ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่มีวันหาย แต่ผู้ตัดสัมพันธ์ไม่ได้มีเพียงท่านและข้าสองคน แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดท่านจึงบอกว่าตนเองก็คือผู้ตัดสัมพันธ์ก็ตาม”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
พูดจบก็มองอิ๋นซิงที่ยืนอยู่ข้างหลังบัณฑิตจางหนหนึ่ง
เขาเองก็คุ้นเคยกับอิ๋นซิงมากเช่นกัน
ครั้งยังอยู่ในสำนักปากสอบ แม้เคยได้พบหน้าและสนทนากันไม่มาก แต่จะอย่างไรก็เป็นอาจารย์แม่ของตนและดูแลเขาอย่างอ่อนโยนยิ่ง
หากจะเอ่ยถึงเหล่าสีสันเก่าๆ ว่าแท้จริงแล้วยังมีสิ่งใดให้ต้องอาลัยอาวรณ์อีก อิ๋นซิงก็จะนับได้ว่าเป็นหนึ่งในนั้น
“ลูกพ่อ! ผู้ใดทำร้ายเจ้าจนตกอยู่ในสภาพนี้?!”
บนถนนข้างนอกหอหอราชสีห์ ผู้เฒ่าในชุดหรูหราผู้หนึ่งรีบร้อนพาคนกลุ่มหนึ่งมาถึง
เมื่อมองเห็นจางเสี่ยวหยางผมเผ้าหลุดรุ่ย มีคราบเลือดเต็มใบหน้านั่งอยู่ข้างถนนราวกับขอทานคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
จางเสี่ยวหยางหันหาตามเสียง เงยหน้าขึ้นมาด้วยอาการมึนงง
ดวงตาทั้งคู่ว่างเปล่า ค่อนข้างเหม่อลอย
จนเมื่อเขามองเห็นชัดเจนว่าที่แท้แล้วเป็นผู้ใด เมื่อนั้นจึงร้องไห้โฮขึ้นมายกใหญ่
ดูไปแล้วผู้เฒ่าชุดหรูหรานั้นอายุมากกว่าบัณฑิตจางไม่น้อยทีเดียว
จางเสี่ยวหยางต้องเป็นบุตรชายที่เขาเพิ่งได้มายามชราแล้วเป็นแน่ จึงได้รักใคร่ตามใจเพียงนี้
“หยางเอ๋อร์อย่าร้อนใจ ค่อยๆ พูด เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
นายท่านจางเอ่ย
เขาเอามือปัดผมที่ยุ่งเหยิงของจางเสี่ยวหยางออกก่อนเล็กน้อย จึงขอผ้าเช็ดหน้าจากเหล่าผู้ติดตามผืนหนึ่งมาเช็ดคราบดินทรายที่ผสมปนเปกับน้ำตาออกทีละนิดจนสะอาด
กลับยิ่งร้องดังขึ้นเรื่อยๆ
“มิใช่ว่าเขาสงบไปนานแล้วหรอกหรือ…”
บัณฑิตจางมองไปข้างนอก พร้อมพูดด้วยความรำคาญใจ
“ตีไอ้ตัวเล็ก ตาเฒ่ามา ไอ้ตัวเล็กเห็นตาเฒ่าก็ไม่ใช่ว่าต้องร้องไห้ให้หนักๆ สักหน่อยหรอกหรือ ร้องไปเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีเหตุผลก็จะมีเหตุผลขึ้นมา”
อิ๋นซิงเอ่ยยิ้มๆ
เมื่อคนที่รักใคร่มายืนอยู่ตรงหน้า ยามเสียงร้องไห้เข้าไปในหู อย่างไรก็น่าฟังยิ่ง
“เฮ้อ…คิดๆ ดูแล้ว ก็ยังนับว่าพวกเราทำผิดอยู่ดี”
บัณฑิตจางกล่าว
“เจ้าจะทำเช่นใด”
อิ๋นซิงถาม
แม้ว่านางก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง
แม้แต่ตี๋เหว่ยไท่ได้พบนางก็ยังต้องมีมารยาทกับนางยิ่ง
แต่สตรีผู้หนึ่ง แม้ก่อนนี้จะเก่งกาจเพียงใด ขอเพียงในใจนางมีชายผู้หนึ่ง นางก็จะไปพึ่งพิงเขาอย่างไม่อาจควบคุมได้
ก่อนนี้เผชิญสายฟ้าปะทะสายลม ต่อสู้เด็ดเดี่ยว กล้ารักกล้าเกลียด สามารถจัดการให้สิ้นซากได้ในชั่วอึดใจ จนแทบไม่หลงเหลือ
เป็นนางปีศาจและดาวหายนะหญิงที่ชีวิตคนผ่านมือนางมานับพันนับร้อย แต่ยามอยู่ต่อหน้าชายผู้เป็นที่รักก็กลับอ่อนโยนดั่งสายน้ำวสันต์ ไม่รุนแรงไม่เย็นเฉียบ ว่าง่ายราวกับลูกแมวน้อยที่กำลังง่วงนอน
หากเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อิ๋นซิงยังไม่ได้กลับมาพบกับบัณฑิตจาง
ยามได้พบกับเหตุการณ์เช่นนี้ นางต้องตะโกนลั่นออกมาว่าหนวกหู!
จากนั้นก็ใช้เข็มเงินกับด้ายทองเย็บปากที่กำลังร้องไห้โวยวายของจางเสี่ยวหยางให้สนิท
หากยังครึ้มอกครึ้มใจอยู่ ไม่แน่ว่าอาจฝากดอกบัวไว้ที่หน้าของตาเฒ่าและเหล่าผู้ติดตามคนละดอกด้วย
การปักภาพดอกบัวเป็นเรื่องที่อิ๋นซิงชำนาญที่สุด
ใบบัวมีกี่แผ่น ลวดลายของมันต้องใช้วิธีปักแบบใด เกสรห่อตัวอยู่อย่างไร นางรู้แจ่มแจ้งทั้งสิ้น
ลำต้นชูตระหง่าน ไม่เลื้อยไม่มีกิ่งก้าน หอมฟุ้งสดชื่น ชูช่อตั้งตรง
ได้แค่มองจากไกลๆ ไม่อาจจับเล่น!
“เจ้ายังมีเงินติดตัวอยู่หรือไม่”
บัณฑิตจางถาม
“ตกลง ข้ารู้แล้ว!”
อิ๋นซิงตอบ ก่อนหันหลังและเดินออกไปนอกหอราชสีห์ช้าๆ
ทุกครั้งที่ต้องจ่ายเงินบัณฑิตจางมักรู้สึกละอายใจยิ่งนัก…
ชายชาตรีผู้หนึ่ง แต่กลับไม่มีแม้แต่เหรียญอีแปะติดตัวสักเหรียญเดียว
หวนคิดถึงตอนรับปากติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งว่าจะเป็นอาจารย์บุ๋นให้ทังจงซงนั้น ก็ควรเอ่ยขอเงินสักหน่อย
แต่ตัวเขาในเวลานั้นกลับไม่ได้รู้สึกว่าเงินมีประโยชน์ใด
ครั้งอยู่ในเมืองจี๋อิง แม้จะเคยลำบากแต่อย่างน้อยตัวอักษรห่วยๆ ของเขาก็ยังแลกเงินซื้อสุราได้ จึงใช้ชีวิตอย่างนั้นเรื่อยมาก
แม้จะบอกว่าตอนส่งทังจงซงไปหอทรงปัญญา วังติ้งซีอ๋องก็นำเงินมาไม่น้อยและให้บัณฑิตจางใช้ทั้งหมด
เพียงแต่ตอนออกมาจากหอทรงปัญญา เขากลับทิ้งเงินทั้งหมดนี้ให้ทังจงซง ส่วนตนเองกลับไม่เหลือเอาไว้แม้แต่แดงเดียว
ประการแรกเพราะเขาไม่อยากเอาเปรียบผู้อื่น ประการที่สองก็เพราะบัณฑิตจางรู้สึกว่าเจ้าหนุ่มทังจงซงผู้นี้ช่างน่าสงสารนัก…
แต่ปรากฏว่าสุดท้ายแล้วกลับทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในภาวะขัดสนเช่นนี้
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่ออกจากหอทรงปัญญามาจนถึงตอนนี้เป็นอิ๋นซิงรับผิดชอบทั้งหมด
เขาไม่กล้าถามอิ๋นซิงว่าเวลานี้ยังเหลือเงินอยู่เท่าใด แต่กลับเกิดความคิดที่จะหาเงินเป็นครั้งแรกในชีวิต และรู้สึกว่าควรต้องหางานที่หาเงินได้จริงจังสักงานหนึ่ง
บัณฑิตจางจะไม่ยอมให้ถึงไฟลนก้นแล้วค่อยเพิ่งรีบร้อนลงมือทำเด็ดขาด
เมื่ออิ๋นซิงเดินไปถึงถนน เห็นนายท่านจางผู้นั้นยังคงปลอบบุตรชายไม่หยุด ก็พลันอยากหัวเราะขึ้นมา
จางเสี่ยวหยางเห็นอิ๋นซิงเดินออกมาก็รีบชี้นิ้วไปที่นาง ปากร้องฮือๆ แต่กลับพูดออกมาเป็นประโยคที่สมบูรณ์ไม่ได้
ที่แท้แล้วตอนเขาถูกบัณฑิตจางพัดออกมาก่อนหน้านี้ เขาหน้าล้มคว่ำไปกับพื้น
ฟันหน้าสองซี่ไม่หักแต่โยก ฟันหลังก็หักไปหลายซี่
ทำให้ภายในปากมีแต่เลือด
พออ้าปาก คำพูดยังไม่ทันออกมา น้ำลายที่ปนกับเลือดก็ไหลลงตรงสาบเสื้อ
นายท่านจางเห็นอิ๋นซิง ประกอบกับท่าทางของบุตรชายก็รู้ทันทีว่าคนผู้นี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว
ทว่านายท่านจางอาศัยหมัดและมือเปล่าสร้างกิจการมาได้เช่นทุกวันนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่
ไม่ว่าทำการใดก็ควรแยกแยะเป็นเรื่องๆ เขามีวิธีพิจารณาของตนเอง
“ขอสอบถามฮูหยินมีคำชี้แนะใด”
นายท่านจางประสานมือคำนับเอ่ยถาม
ไม่แพร่งพรายอาการใดๆ
แม้ว่านางจะเป็นคนทำร้ายบุตรชายของตนจนอยู่ในสภาพเละเทะเช่นนี้ ก็ควรจะว่ากันด้วยมารยาทก่อนค่อยใช้กำลัง ฟังความว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไรกันแน่
เหนือคนยังมีคน
เมืองแห่งนี้เล็กเหลือเกิน…
หากว่าดวงซวยไปล่วงเกินคนใหญ่โตที่ไม่อาจล่วงเกินได้ เช่นนั้นก็จะกลายเป็นภัยล้างตระกูลจางได้
โดยเฉพาะอิ๋นซิงผู้นี้ที่มีท่าทีองอาจไม่ธรรมดา
แม้การแต่งกายจะแสนธรรมดาเช่นเดียวกับบัณฑิตจาง แต่ท่าทีสง่างามนั้นหาใช่ว่าเสื้อผ้าหยาบๆ จะปิดบังเอาไว้ได้
แม้วันเวลาจะทิ้งริ้วรอยแห่งกาลเวลาที่ไม่น้อยไว้ตรงหางตาและมุมปากของอิ๋นซิง
แต่กลับทำให้นางดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
บนกายของหญิงมีอายุที่งดงามและเป็นผู้ใหญ่ มักมีความสง่างามที่แม่นางน้อยมากมายไม่มี
เหล่าแม่นางน้อยต่างเยาว์วัยสาวสะพรั่ง แต่ว่ากันจริงๆ แล้วก็เพียงเพราะมีคำว่า ‘สาว’ เท่านั้น
แต่หากไม่มีคุณสมบัติดั้งเดิม หน้าตาที่งดงามนี้เมื่อกาลเวลาเคลื่อนคล้อยไป แม้แต่สีเดิมที่เคยมีก็ยังเก็บรักษาให้คงอยู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
มีเพียงคนเช่นอิ๋นซิงที่มีการบ่มเพาะทั้งจากภายในและภายนอก
จึงทำได้จนถึงขั้นที่แม้เวลาจะผันผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด หลังจากผ่านสิ่งนานามามาก ความงามของนางก็ยังคงไม่ชราลง
ยังคงเป็นเช่นวันก่อน และยิ่งมีความหอมหวนที่ลึกล้ำกว่าเดิม
อาจไม่ได้น่าตกตะลึงเช่นแม่นางอายุน้อย แต่หากพินิจให้ถี่ถ้วนแล้ว ยามผู้คนได้พบกลับทำให้ต้องคะนึงหาไม่อาจลืม
“ท่านคงเป็นบิดาของเขา?”
อิ๋นซิงคำนับตอบแล้วเอ่ยถาม
“ข้าน้อยเป็นบิดาเขา”
นายท่านจางเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีสงบสุขุม จึงระมัดระวังขึ้นอย่างยิ่ง
“พวกเราเป็นคนทำร้ายบุตรชายของท่าน…เรื่องนี้พวกเราเป็นฝ่ายผิด ท่านบอกข้อเรียกร้องมาเถิด!”
อิ๋นซิงกล่าว
และยังเอากระบี่ของจางเสี่ยวหยางที่ใช้เข็มเงินและด้ายทองชิงไปก่อนหน้านี้มาคืนด้วย
จางเสี่ยวหยางเห็นว่าบนกระบี่แสนรักของตนกลับมีรอยเข็มอยู่ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจ…
เพิ่งจะสงบอารมณ์ลงได้เมื่อครู่นี้ก็กลับร้องไห้ขึ้นมาอีกแล้ว
นายท่านจางได้ยินเสียงร้องปานจะขาดใจของบุตรชายดังมาจากข้างหลังก็รู้สึกปวดใจสงสารเป็นที่สุด…
ยิ่งได้ยินอิ๋นซิงบอกอีกว่าเรื่องนี้พวกนางเป็นฝ่ายผิด และให้ตนเองบอกข้อเรียกร้องมา จึงมีความมั่นใจขึ้นมาในทันใด
แม้ว่าตระกูลจางจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่โตอันใด แต่ก็มีหน้ามีตาในเมืองแห่งนี้
วันนี้บุตรชายเพียงคนเดียวแห่งตระกูลจางของเขาถูกคนทำร้ายจนกลายเป็นสุนัขตายตัวหนึ่ง
หน้าตานี้หากไม่ทวงคืนกลับมา ภายหลังจะต้องมีคนที่กล้ามาก่อกวนในหอราชสีห์อยู่ทุกวี่วันเป็นแน่ ไม่ว่าจะเป็นผีวัวผีงูใดๆ ก็จะขึ้นมาขี่คอและปัสสาวะรดคอตระกูลจางของเขา
“ในเมื่อฮูหยินยอมรับว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และยอมรับว่าตนเองทำผิด เช่นนั้นข้าก็จำเป็นต้องทวงความยุติธรรมให้แก่บุตรชายของข้า!”
นายท่านจางสะบัดชายเสื้อยาวของเขา กล่าวอย่างฮึกเหิม
“ท่านจะจัดการเช่นใด ข้าแนะนำว่าอย่างไรพวกเราก็เลิกแล้วต่อกันเสียเป็นดี!”
อิ๋นซิงเอ่ยพลางหรี่ตาลง
ในคำพูดยังมีน้ำเสียงข่มขู่อยู่หลายส่วนด้วย
เรื่องนี้ยิ่งทำให้นายท่านจางไม่พอใจ!
“เลิกแล้วต่อกัน? ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าบุตรชายข้าถูกทำร้ายจนตกอยู่ในสภาพนี้ ว่ากันแค่เกิดเรื่องขึ้นในหอราชสีห์ เกรงว่าอีกสองสามวันก็ยังไม่อาจเปิดทำการได้ ความเสียหายนี้จะชดใช้ไหวหรือ”
นายท่านจางเอ่ยด้วยท่าทางใหญ่โต
ยามอยู่ต่อหน้าเสียงร้องไห้คร่ำครวญของบุตรชาย ท้ายที่สุดเขาก็ยังสูญเสียเหตุผลและปัญญาไป
“อย่างไรท่านก็ต้องบอกราคามาก่อน ข้าจึงจะรู้ว่าจ่ายไหวหรือไม่!”
อิ๋นซิงกล่าว
นางยังคงอยู่ในอาการสงบดังเดิม
“ความเสียหายของหอราชสีห์ หนึ่งแสนตำลึงเงิน!”
นายท่านจางกล่าว
บัณฑิตจางที่อยู่ภายในหอราชสีห์ได้ยินก็ถึงกับสะดุ้ง…
นายท่านจางผู้นี้กล้าเรียกร้องเสียจริงๆ!
“ท่านบัณฑิตจาง อย่างไรเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเพราะข้าเป็นต้นเหตุ หากจะต้องจัดการเช่นนี้จริงๆ ก็ต้องนับส่วนของข้าไปด้วยเจ้าค่ะ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“แม่นางเจ้ากล่าวหนักไปแล้ว พวกข้าศิษย์อาจารย์สนทนากันมาตั้งนาน คิดว่าเจ้าเองก็คงจะเข้าใจความเป็นมาของเรื่องนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตาเฒ่าเช่นข้าก็กล่าวขอโทษเจ้าไปแล้ว หากยังติดค้างหนี้น้ำใจของเจ้าอีกครั้ง ข้าใช้คืนไม่ไหวหรอก!”
บัณฑิตจางยิ้มขมขื่นเอ่ยกับเจ้าหมิงหมิงและโบกมือไหวๆ
เจ้าหมิงหมิงก็รู้สึกว่าที่เรื่องดำเนินมาจนถึงบัดนี้ก็ช่างประหลาดเหลือเกิน…
นอกจากผู้ตัดสัมพันธ์แล้ว บัณฑิตจางและอิ๋นซิงรวมทั้งตนเองก็นับได้ว่าเป็นคนสำคัญอันดับต้นๆ แห่งใต้หล้านี้
แต่เมื่อคนอันดับต้นๆ ทั้งสามคนอยู่ด้วยกัน กลับวิตกกังวลเพราะเงินหนึ่งแสนตำลึง
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกว่าสิ่งที่บิดาตนกล่าวไว้นั้นไม่ผิดจริงๆ
เรื่องใดๆ ในแดนมนุษย์ล้วนไม่อาจหนีพ้นคำว่าเงินทองไปได้
“ตกลง ข้ารับคำท่าน!”
นึกไม่ถึงว่าพออิ๋นซิงที่อยู่ข้างนอกได้ยิน หลังจากคิดทบทวนครูหนึ่งก็รับคำอย่างไม่ลังเล
“อาการบาดเจ็บของบุตรชายข้า หนึ่งล้านตำลึง!”
นายท่านจางหันข้าง เอ่ยพลางชี้ไปยังจางเสี่ยวหยางที่นั่งกอดกระบี่ร้องไห้โฮอยู่กับพื้น
“แม้จะเป็นการตั้งราคาสูงเผื่อต่อราคา แต่ราคาที่ท่านว่ามาก็สูงเกินไป!”
อิ๋นซิงกล่าว
จางเสี่ยวหยางก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่บัณฑิตจางลงมือก็ยั้งมือไว้ เพียงบาดเจ็บที่เนื้อหนัง ไม่ได้ไปแตะต้องถึงกระดูกและเส้นเอ็น
ด้วยพื้นฐานร่างกายของเขา กอปรกับยาดีจากหมอชั้นดี ภายในดื่มยา ภายนอกทายา ไม่เกินร้อยวันจะต้องหายเป็นปกติดังเดิม ยิ่งไปกว่านั้นค่าใช้จ่ายนี้อย่างมากก็ไม่เกินหนึ่งหมื่นตำลึง
แต่พอนายท่านจางผู้นี้อ้าปากก็โก่งราคาให้สูงขึ้นไปอีกถึงร้อยเท่า
แล้วจะให้อิ๋นซิงทนไหวได้อย่างไร
………………………………………