ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 461 หันหลังกลับแล้วปล่อยมือ-3
บทที่ 461 หันหลังกลับแล้วปล่อยมือ-3
……….
“แม้ว่าตัวหอราชสีห์จะล้ำค่ามีราคา แต่ต้นทุนที่ข้านายท่านจางเก็บสั่งสมและก่อตั้งมากลับคือชีวิตคนทั้งชีวิต ย่อมประมาณค่าไม่ได้! บุตรชายข้าเยาว์วัยเก่งกาจ อยู่ดีๆ กลับถูกท่านทำร้ายโดยไร้สาเหตุจนเป็นเช่นนี้ หากไม่เห็นแก่ที่ท่านยังเป็นคนพูดจาด้วยเหตุผล ข้าก็จะไม่เรียกราคาเสียด้วยซ้ำ!”
นายท่านจางกล่าว
“ไม่เรียกราคา เช่นนั้นจะเรียกสิ่งใด”
อิ๋นซิงถามทั้งยิ้มเย็น
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหนึ่งล้านตำลึงเงินนี้นางมีหรือไม่ เพราะต่อให้มีนางก็จะไม่ให้เป็นแน่
คนเรามีชีวิตอยู่แค่อึดใจเดียว โดยเฉพาะผู้ฝึกยุทธ์
แม้จะเป็นสตรี แต่เลือดที่เดือดพล่านในกายกลับมีมากกว่าคนทั่วไปมากนัก
“หนี้เลือดล้างด้วยเลือด! เจ้าทำให้บุตรชายข้าฟันหักไปกี่ซี่ ข้าก็จะถอนฟันเจ้าออกเท่ากัน เจ้าทำให้บุตรชายข้าหลั่งเลือดมากเท่าใด ข้าก็จะให้เจ้าหลั่งเลือดมากเท่านั้น”
นายท่านจางกล่าว
“เวลานี้บุตรชายของท่านก็เสื้อผ้าหลุดรุ่ย ไม่ใช่ว่าต้องทึ้งเสื้อผ้าของข้าออกทีละชิ้นด้วยหรอกหรือ นี่ท่านจะมาล้างแค้นหรือว่าจะมาทำตัวเป็นอันธพาลกันแน่?!”
อิ๋นซิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
นายท่านจางมองสภาพยับเยินของจางเสี่ยวหยางบุตรชายของตน
สายคาดเอวขาด แผงอกเผยออกมา
แผงอกขาวนวลเปื้อนคราบดินโคลนและคราบเลือดอยู่ไม่น้อย
ขากางเกงก็ม้วนสูงขึ้น หน้าแข้งที่เผยออกมาภายนอกเป็นจ้ำๆ สีเขียวม่วง
รองเท้าก็ไม่รู้ว่าหายไปที่ใดข้างหนึ่ง
เหลืออยู่แค่หนึ่งข้าง ลวดลายทั้งหน้าหลังรองท้าก็ถูกเสียดสีจนเลือนราง มองไม่เห็นสภาพเดิม
หากเป็นไปได้นายท่านจางก็อยากให้อิ๋นซิงมีสภาพเช่นนี้เสียจริงๆ
แต่จนใจที่อิ๋นซิงเป็นสตรี…
และตัวนายท่านจางเองก็เป็นผู้มีหน้าตาในเมืองแห่งนี้
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทำเรื่องไม่งามเช่นนี้กลางถนน!
เขาหันหน้าไปมองภายในหอราชสีห์
บัณฑิตจางยังคงสนทนาอยู่กับผู้ตัดสัมพันธ์
แต่เมื่อนายท่านจางเห็นเจ้าหมิงหมิง จึงเพิ่งเข้าใจเรื่องทั้งหมดอย่างแจ่มแจ้ง…
ต้องเป็นเพราะบุตรชายตนเกิดเจ้าชู้ขึ้นมาอีก ไม่รู้ว่าไปล่วงเกินแม่นางที่งดงามเช่นเทพธิดาผู้นี้อย่างไร ผู้อื่นจึงได้ยื่นมือเข้าช่วย
นายท่านจางกลับเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเจ้าหมิงหมิงกับบัณฑิตจางและอิ๋นซิงเข้าด้วยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ส่วนผู้ตัดสัมพันธ์นั้นกลับถูกเสาประตูบังสายตาเอาไว้
ไหนเลยจะรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่ได้เรียบง่ายเช่นที่เขาคิด
“สตรีเยี่ยงเจ้าช่างไร้การอบรมนัก!”
นายท่านจางกล่าวอย่างโมโห
“สตรีไร้ความสามารถจึงจะมีคุณธรรม แล้วข้ายังต้องการการอบรมใดอีก”
อิ๋นซิงเอ่ยค่อนแคะ
แต่กลับทำให้ทุกคำพูดของนายท่านจางถูกปิดตาย
แม้จะบอกว่าอิ๋นซิงไม่ได้เห็นด้วยกับความหมายที่อยู่ในคำพูดนี้ แต่เมื่อพูดออกมาในเวลาที่เหมาะสม กลับให้ผลลัพธ์อื่นที่คาดไม่ถึง
ลำพังแค่เรื่องนี้ นางก็มีไหวพริบมากกว่าบัณฑิตจางมากนัก
“พูดจาสำบัดสำนวนหาใช่ผู้ดี! ข้าจะจับตัวเจ้าไปแจ้งต่อทางการ!”
นายท่านจางกล่าว
จากนั้นผู้ติดตามของเขาก็พากันชักดาบพกที่อยู่ตรงเอวออกมา
นับแต่ออกจากหอทรงปัญญา เนื่องจากมีบัณฑิตจางอยู่ข้างกายตลอดทาง อิ๋นซิงจึงรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง
แต่ทั้งสองล้วนเป็นผู้ที่ผ่านพายุแห่งการนองเลือดและแสงดาบเงากระบี่
แม้ในยามที่สนทนาสัพเพเหระกัน ก็ไม่เคยรู้สึกถึงความสุขมาก่อน
จู่ๆ ก็กลับรู้สึกว่างเปล่าขึ้นมาอีก
อิ๋นซิงรู้ว่าในใจของบัณฑิตจางนั้น ผู้ตัดสัมพันธ์เป็นเนินที่ไม่อาจข้ามไปได้
มีเพียงเมื่อกำจัดเนินในใจนี้ไปและปรับให้ราบเรียบ นางและบัณฑิตจางจึงจะไร้ซึ่งความกังวลไปตลอดกาล
แต่คนทั้งสองทำได้เพียงติดตามหาเขามาเนิ่นนาน ตลอดทางมานี้ไม่มีเรื่องใดที่ทำให้นางรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นเลย
จนยามนี้เมื่อนางเห็นแสงดาบวิบวับของกลุ่มคนตรงหน้า ในใจอิ๋นซิงก็รู้สึกคึกคักขึ้นมา
“หญิงสาวฆ่าๆ ฟันๆ ไม่ดี…วันหน้าจะแต่งไม่ออก…”
อิ๋นซิงพึมพำกับตนเอง
และยังเอื้อมมือไปตบทรวงอกที่นูนออกมาอย่างยิ่งของตน
นายท่านจางได้ยินคำพูดของอิ๋นซิงกลับมีความรู้สึกนับร้อยปนเปอยู่ภายในใจ
บุตรชายไม่ได้ความของตนไปหาเรื่องใครไม่หา กลับมายั่วโมโหยายแก่บ้าผู้หนึ่ง!
ทั้งที่อายุปูนนี้แล้วยังบอกว่าตนเองเป็นหญิงสาว…
อิ๋นซิงย่อมมองสิ่งที่นายท่านจางคิดอยู่ในใจไม่ออก ทว่าพอนางคิดดูอีกทีกลับนึกขึ้นได้ว่าคนรักของนางอยู่แค่ข้างหลังตนนี้เอง เช่นนั้นไยต้องกังวลว่าจะแต่งออกหรือไม่ออก
เรื่องนั้นเป็นแค่คำเรียกฐานะเท่านั้น
ทว่าแต่ไรมานางก็ทำทุกสิ่งจริงจัง
ขอเพียงมีชีวิตเช่นนี้ต่อไป จะอย่างไรก็เป็นลูกหลานแห่งยุทธภพ ไยต้องใส่ใจกับพิธีรีตองหรือข้อห้ามใดๆ
นายท่านจางเห็นว่าก่อนนี้อิ๋นซิงยังมีท่าทีวิตกกังวล แต่จู่ๆ เวลานี้กลับเบิกบานใจขึ้นมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับทำให้เขางุนงงยิ่ง…แม้แต่แผ่นหลังก็ยังเริ่มเย็นวาบ มีเหงื่อกาฬผุดออกมา ทำได้เพียงเร่งให้ผู้ติดตามรีบลงมือเสีย
ยิ่งยืดเยื้อต่อไป ตัวนายท่านจางตลอดจนหอราชสีห์และตระกูลจางล้วนไม่อาจเสียหน้าต่อไปได้…
นายท่านจางโบกมือใหญ่ๆ ของเขาหนหนึ่ง คนสิบกว่าคนก็โห่ร้องและพุ่งตัวเข้าไป
อิ๋นซิงยังคงยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่ขยับ
พวกเขากรูเข้ามาจากถนน และยังต้องขึ้นบันไดหินสามขั้น จึงจะเข้ามาประชิดตัวอิ๋นซิงได้
แม้ในมือจะถือดาบ ก็ยังต้องขึ้นบันไดมาสองขั้นจึงจะโดนตัวอิ๋นซิง
อิ๋นซิงเห็นพวกเขากำลังจะขึ้นบันไดมาก็พลิกมือขวาทันใด
เข็มเงินที่ทั้งเล็กเรียวและสั้นเล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมาที่ปลายเล็บ
เข็มเล่มนี้เรียวเล็กจนเมื่อแสงอาทิตย์ส่องลงมาที่ตัวเข็มก็ไม่มีแสงสะท้อนแม้แต่น้อย…
เห็นชัดว่านายท่านจางเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ เขามองเห็นว่าอิ๋นซิงคล้ายกำลังถือบางสิ่งอยู่ในมือ แต่เมื่อหรี่ตามองก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
กอปรกับคนทางฝั่งของเขานั้นเป็นคนกลุ่มใหญ่ มองเห็นแต่หัวดำๆ ที่พากันกรูเข้าใส่ จึงบดบังร่างของอิ๋นซิงไปอย่างรวดเร็ว
คนที่วิ่งมาข้างหน้าสุดเพิ่งยกเท้าขวาขึ้นเตรียมจะก้าวลงบนบันไดหิน มือของอิ๋นซิงก็ขยับทันใด
นางซัดเข็มเงินที่เรียวเล็กและสั้นเป็นที่สุดนั้นไปทางซ้ายมือของตน ด้ายทองที่ร้อยอยู่ตรงก้นเข็มจึงกลายเป็นกำแพงกั้นที่มองไม่เห็นตรงบันไดหิน
นายท่านจางยืนอยู่หลังสุด เห็นคนของตนหงายหลังล้มทับกันมาเรื่อยๆ
คนที่อยู่หน้าสุดเริ่มล้มก็ลงมาทับคนข้างหลังไปเรื่อยๆ
ในมือของทุกคนยังกำดาบที่ชักออกจากฝักแล้ว ทันใดนั้นกลิ่นคาวเลือดก็คละคลุ้งไปทั่ว มีหลายคนถูกคมดาบของคนที่อยู่ข้างหลังพลาดมาแทงจนได้รับบาดเจ็บด้วย
เมื่อชะโงกหน้ามอง อิ๋นซิงกลับยังยืนอยู่ที่นั่นอย่างปลอดภัยดี
แม้แต่ท่าทางของนางก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด
ย้อนกลับมามองคนของเขา แต่ละคนล้วนล้มนอนระเนระนาดอยู่บนพื้น
นายท่านจางมองแล้วอยากจะหาโพรงที่พื้นแล้วมุดลงไปเสียให้ได้
ผู้คนที่มุงดูอยู่เริ่มพากันส่งเสียงหัวเราะจนตัวโยนหลายระลอก
ผู้ชายตัวโตๆ กลุ่มใหญ่พุ่งเข้าทำร้ายสตรีผู้หนึ่ง เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องมีหน้ามีตาอันใดอยู่แล้ว
แม้จะจับตัวนางได้ก็จะถูกคนครหานินทาอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่เวลานี้กลับดีนัก ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่ายังไม่อาจแตะต้องได้แม้แต่ชายเสื้อนาง กลับถูกลบหลู่และเห็นกันจนทั่วเช่นนี้อีก
นายท่านจางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโห มือขวาค่อยๆ เคลื่อนไปที่ดาบตรงเอวของตน
ปากก็เอาแต่ตะโกนบอกให้ผู้ติดตามของตนลุกขึ้นมา
ยิ่งพวกเขานอนแผ่อยู่กับพื้นนานขึ้นอีกชั่วอึดใจ หน้าตาของตระกูลจางก็ต้องเสียหายเพราะเหตุนี้มากขึ้นอีกหลายส่วน
นี่หาใช่เรื่องล้อเล่น
นายท่านจางสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาด้วยมือเปล่า สิ่งที่กลัวที่สุดในเวลานี้ไม่ใช่ความยากจน แต่เป็นการที่ผู้อื่นดูแคลน
ต่อให้ต้องรับผลกรรมในภายหลัง เขาก็จะต้องวางตัวให้สูงส่งต่อหน้าผู้อื่น
แต่ผู้ติดตามทุกคนล้วนใช้เงินว่าจ้างมา
จะมีคนยอมขายชีวิตเพื่อตระกูลจางของเขาจริงๆ ที่ใดกัน
ที่ทำไปก็เพียงเพื่อแลกกับเงินทองเล็กน้อย ได้กินข้าวอิ่มสักมื้อ
หากมีเงินทองเหลือค่อยแต่งภรรยาสักคน สร้างเรือนใหม่ เลี้ยงดูครอบครัวก็เท่านั้น
พวกเขาวางแผนของตนเองไว้ชัดแล้ว!
ทำงานที่ไม่ต้องออกแรง แค่อาศัยร่มเงาอำนาจข่มขู่ให้คนกลัวจึงได้ยื้อแย่งกันมาทำ
ในเวลานี้ แค่มองก็รู้ว่าสตรีตรงหน้าไม่ใช่พวกที่จัดการได้โดยง่าย
หากล่วงเกินนางจนโมโหขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่ว่าแม้แต่ชีวิตน้อยๆ ของตนก็ยังต้องเอามาทิ้งด้วย พวกเขาย่อมไม่มีทางโง่บุกต่อไปเด็ดขาด
นายท่านจางไม่ได้ร่ำเรียนหนังสือมามากนัก แต่ก็เข้าใจเรื่องน้ำใจไมตรีเป็นอย่างดี
ภายใต้บำเหน็จงามย่อมต้องมีผู้กล้า!
ขอเพียงให้เงินมากพอ แม้แต่ภูตผีปีศาจก็ยังมาหมุนโม่ให้ได้ แล้วยังต้องกังวลว่าคนเหล่านี้จะไม่มาทำงานให้เขาอีกหรือ
“ขอเพียงจับตัวยายแก่บ้านี่ได้ จะได้เงินรางวัลห้าร้อยตำลึงและได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพ่อบ้านผู้ดูแลจวนจาง!”
นายท่านจางพูดเสียงดัง
สำหรับคนทำการค้าผู้หนึ่งแล้ว นี่ก็นับเป็นการลงทุนด้วยเลือด
สำหรับตระกูลจางแล้วเงินห้าร้อยตำลึง นับว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อยทีเดียว
แต่ว่าหากมีคนที่กล้าบุกเข้าไปและสามารถจับตัวอิ๋นซิงได้จริง เงินห้าร้อยตำลึงนี้ก็ไม่นับว่าเสียเปล่า
และยังเป็นการช่วยคัดเลือกผู้กล้าที่มีคุณสมบัติเพียงพอให้มารับตำแหน่งพ่อบ้านผู้ดูแลจวนอีกด้วย
ความจริงแล้ว พ่อบ้านผู้ดูแลจวนคนปัจจุบันก็อยู่ในกลุ่มคนนี้ด้วย
คนที่ตะโกนร้องดังที่สุดก็คือเขานั่นเอง
จะอย่างไรก็นับว่าเขาเป็นผู้มีจิตใจภักดี เพราะคนที่ถือดาบและวิ่งอยู่ข้างหน้าสุดก็คือเขาด้วย
เพียงแต่คนที่ล้มเป็นคนแรกกลับเป็นคนที่อยู่ข้างเขา
ที่เขาบุกไปข้างหน้าสุดก็เพื่อจะให้นายท่านจางเจ้านายของตนมองเห็น
เป็นการแสดงหน้าฉากเท่านั้น
จวบจนเกือบถึงข้างหน้า เขากลับผลักคนที่อยู่ข้างซ้ายและขวาของตนเข้าไป
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีจึงแกล้งล้มลงกับพื้น นวดคลึงทั่วร่าง เอาแต่ร้องครวญครางเหมือนคนอื่นๆ อย่างกับตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่ความจริงแล้วนอกจากเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนฝุ่นบ้างเล็กน้อยแล้ว ทั่วร่างของเขาไม่ได้ถูกกระแทกเลยแม้แต่น้อย
มาคราวนี้เมื่อเขาได้ยินเสียงนายท่านจางพูด ก็เริ่มคิดแผนการอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว
และเพราะว่าเขามองเห็นจากหางตาว่าคนข้างๆ หลายคนเริ่มขยับตัว
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าค่าจ้างของพ่อบ้านผู้ดูแลตระกูลจางนั้นมากมายเพียงใด
ลำพังแค่เงินห้าร้อยตำลึงก็เพียงพอให้เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างหรูหราได้หลายวัน จากนั้นยังสามารถไปสู่ขอแม่นางมีอายุแต่ยังไม่ออกเรือนมาเป็นภรรยาได้
ต้องรู้เสียก่อนว่าผู้คุ้มกันทั่วไปได้เบี้ยรายเดือนอย่างมากก็ไม่เกินเดือนละราวๆ สองตำลึง
และพวกเขาก็ยังดื่มสุรา เล่นพนัน รวมทั้งไปท่องหอนางโลม
เงินที่เหลือจากการทำงานทั้งปี ไม่พอไปสู่ขอแม่ม่ายด้วยซ้ำ…
เมื่อมีเงินรางวัลจำนวนมากวางอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ จะไม่ใจสั่นได้อย่างไร
แต่สิ่งที่เขาต้องพิจารณามากกว่านั้นก็คือจะสามารถรักษาตำแหน่งพ่อบ้านผู้ดูแลจวนของตนเอาไว้ได้หรือไม่
หากต้องมาเสียตำแหน่งไปด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
รีบคลานโซเซขึ้นมาจากพื้น ก่อนเอ่ยกับนายท่านจางด้วยเสียงดังฟังชัดว่า
“นายท่าน ไม่ต้องมอบเงินรางวัลขอรับ! โปรดดูว่าภายในสามดาบข้าจะจับนางบ้านี่มาให้ได้!”
พูดจบก็หันหลังให้ ถือดาบบุกเข้าไปข้างหน้าอีกครั้ง
“สามดาบ เจ้าพูดได้แม่นยำเพียงนั้น?”
อิ๋นซิงยิ้มเอ่ย
พ่อบ้านผู้ดูแลจวนมองรอยยิ้มของอิ๋นซิงกลับรู้สึกสั่นสะท้านอยู่ในใจ…
แม้ว่าอิ๋นซิงจะยิ้มงดงามและมีเสน่ห์ยิ่ง
แต่ในสายตาของเขาเวลานี้ กลับไม่มีความรู้สึกอื่นใด นอกจากความหวาดผวาที่สะกดไว้ไม่อยู่เท่านั้น
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังตะโกนด้วยท่าทีแข็งนอกแต่อ่อนในว่า
“บอกว่าสามดาบก็คือสามดาบ หากเกินกว่าสามดาบ ข้าก็นับเป็นหลานของเจ้า!”
“ดี เจ้าเข้ามาเถิด!”
อิ๋นซิงพยักหน้าเอ่ย
ข้อมือพลิกหมุน ดึงด้ายทองที่กั้นเป็นแนวนอนไว้ตรงบันไดกลับมา
ด้วยสายตาของพ่อบ้านผู้ดูแลจวนไม่มีทางมองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ออกแต่อย่างใด
………………………………………
……….