ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 462 หันหลังกลับแล้วปล่อยมือ-4
บทที่ 462 หันหลังกลับแล้วปล่อยมือ-4
……….
เห็นแต่ว่าเขาร้องเสียงดังครั้งหนึ่งเพื่อรวบรวมความกล้า ก่อนกระโดดมายืนบนบันไดหินขั้นที่หนึ่งหน้าประตูหอราชสีห์
พ่อบ้านผู้ดูแลจวนเคยมาที่หอราชสีห์นี้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าร้อยกว่าครั้ง
แม้จะหลับตาก็ยังสามารถขึ้นลงบันไดสามขั้นตรงหน้าประตูได้อย่างคล่องแคล่ว
แต่เวลานี้ เขารู้สึกว่านี่เป็นครั้งที่ยากลำบากที่สุด
บันไดหินสั้นๆ แค่สามขั้น แต่ในสายตาของเขากลับเหมือนภูผาสูงนับพันจั้งที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้
อิ๋นซิงยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดพลางยิ้มหวานมองเขา ราวกับเจ้าแม่แห่งหุบเขาผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเตรียมทรมานแขกไม่ได้รับเชิญเช่นเขาให้หนักกว่าเดิม
พ่อบ้านผู้ดูแลจวนหลับตาก้าวออกไปก้าวหนึ่ง แต่มีเพียงปลายเท้าที่แตะพื้น ฝ่าเท้าและส้นเท้ากลับอยู่บนอากาศ
“เจ้าเดินเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าต้องเดินตั้งแต่เที่ยงวันไปจนถึงพลบค่ำหรอกหรือ”
อิ๋นซิงกล่าว
ผู้คนต่างกลัวจะถูกยั่วให้ฮึกเหิม ยิ่งไปกว่านั้นพ่อบ้านผู้ดูแลจวนก็เห็นว่าพรรคพวกที่อยู่ข้างหลังต่างทยอยลุกขึ้นมาแล้ว
เหมือนว่าพวกเขาแค่หกล้มไม่ได้บาดเจ็บหนักอะไร
ตอนนั้นจึงคิดว่าอิ๋นซิงก็แค่เล่นปาหี่เท่านั้น
ที่จริงแล้วนางไม่ได้มีลูกไม้ล้ำเลิศอันใดในมือ!
เขาจึงก้าวเท้าลงไปเต็มที่อย่างโมโหโกรธา พร้อมก้าวอีกเท้าหนึ่งตามมาในทันใด
เพียงชั่วพริบตา เขาก็มาถึงบันไดขั้นที่สองแล้ว
ด้วยระยะห่างเท่านี้ รวมกับความยาวของดาบในมือเขาก็สามารถสัมผัสถึงตัวของอิ๋นซิงได้แล้ว
และในเวลานี้เอง เขาจึงออกดาบไปเป็นครั้งที่หนึ่ง
มุมฟันของดาบนี้ค่อนข้างปลิ้นปล้อน
ทั้งที่เห็นว่าฟันในแนวนอนไปยังอกนูนๆ ของอิ๋นซิงแต่กลับเปลี่ยนไประหว่างทาง สุดท้ายกลายเป็นฟันเฉียงจากไหล่ขวาลงมาทางซ้าย
เพียงแต่ตอนที่คมดาบนี้เข้ามาใกล้ตัวอิ๋นซิงไม่ถึงหนึ่งชุ่น ก็ปะทะเข้ากับแรงมหาศาลแรงหนึ่ง
แรงนี้เคลื่อนมาจนถึงตัวพ่อบ้านผู้ดูแลจวน เขาตกใจจนต้องถอยลงบันไดสองก้าว และกลับไปยืนอยู่บนพื้นถนนอีกครั้ง
“อ่า…”
ง่ามมือขวาเจ็บปวด มีรอยเลือดจางๆ…
หากเมื่อครู่นี้ออกแรงเพิ่มอีก มือขวาอาจจะไม่สามารถกุมดาบไว้ได้แล้ว
“ยังเหลืออีกสองดาบ!”
อิ๋นซิงชูสองนิ้วขณะเอ่ยกับเขา
ความเจ็บปวดที่ส่งมาจากง่ามมือ กระตุ้นความดุร้ายของคนผู้นี้ขึ้นมา
พุ่งดาบตรงเข้ามาแทงโดยไม่พูดสักคำ
มีเสียงดังขึ้นสองครั้ง ดาบของเขาถูกพลังประหลาดเข้าปะทะจนหลุดออกไปในชั่วอึดใจสุดท้าย
ครั้งที่สองนี้ต่างกับครั้งแรก หนนี้มีเสียงเหมือนโลหะปะทะกันดังออกมาด้วย
บนตัวสตรีผู้นี้มีของประหลาดใดกันแน่
พ่อบ้านผู้ดูแลจวนคิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออก…
ดาบที่สามเขาเค้นกำลังทั้งหมดในร่างกาย
ไม่เพียงเค้นกำลังจากเนื้อหนังในกายออกมาจนหมด กระทั่งอินหยางสองขั้วภายในกายก็นำมาใช้จนไม่เหลือ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหวดดาบออกมาจริงจังอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
แต่ผลสุดท้ายก็ยังคงพลาดท่ายับเยิน…
ไม่เพียงดาบของเขาหักเป็นสองท่อนและปลิวกระเด็นออกไป ดาบท่อนบนที่กระเด็นออกไปยังปักเข้าที่ป้ายหน้าประตูตรงอักษรว่า ‘หอราชสีห์ ‘ พอดี
นายท่านจางมองดาบครึ่งท่อนที่ปักอยู่บนป้าย ราวกับว่ามันกำลังปักอยู่กลางใจเขาไม่มีผิด…
พ่อบ้านผู้ดูแลจวนก็นิ่งเหม่อไปยามเห็นดาบหักครึ่งท่อนของตนเช่นกัน จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองและเห็นป้ายที่ถูกทำลายจนเสียหายไปแล้ว
ดาบที่หักปักอยู่บนป้าย เกิดเป็นรอยแตกเรียวยาวรอยหนึ่ง ก่อนค่อยๆ กว้างและยาวออกตามแรงสั่นของดาบ
ท้ายที่สุดป้าย ‘หอราชสีห์ ‘ อันสง่านี้ก็หักแยกออกเป็นสองส่วน
ป้ายที่หักร่วงลงมากระแทกอยู่ข้างตัวพ่อบ้านผู้ดูแลจวน
ฝุ่นคลุ้งปกคลุมประตูหอราชสีห์
ไม่รู้ว่าพ่อบ้านผู้ดูแลจวนคิดสิ่งใดอยู่ กลับเบิกตากว้างทั้งอ้าปากอยู่ท่ามกลางฝุ่นคลุ้งนั้น
ทันใดนั้นเองเขารู้สึกว่ามือขวาของตนมีบางสิ่งผิดแผกไป
จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น
ราวกับมีแม่นางที่งดงามเอื้อมมือมาจับมือของเขา ยิ้มชวนให้เขาพานางออกไปเที่ยวข้างนอกเมือง
น่าเสียดายที่ภาพงดงามนั้นอยู่แค่ไม่นาน
ความอบอุ่นนี้ก็กลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เวลาครู่เดียวเหมือนถูกน้ำเดือดพล่านราดลงไป
จากนั้นจมูกเขาก็ได้กลิ่นไหม้
เป็นกลิ่นเดียวกับตอนที่ใช้น้ำเดือดลวกขนหมูหลังเชือดเมื่อตอนปีใหม่ที่บ้านเกิดของเขา
ฤดูใบไม้ผลิยังไม่ทันผ่านพ้นไป จึงยังห่างจากวันปีใหม่อีกนานนัก
เหตุใดจึงมีกลิ่นนี้ลอยมาในอากาศ
เมืองแห่งนี้ก็ไม่ได้ร่ำรวยมั่งคั่ง เมื่อคนขายหมูที่มีอยู่เพียงคนเดียวเชือดหมูหนึ่งตัวก็พอให้ขายได้มากกว่าครึ่งเดือน
ตอนนี้ยังไม่ถึงกลางเดือน ยังไม่ถึงเวลาที่คนขายหมูจะเชือดหมู
หรือต่อให้หลายวันนี้สามารถขายออกได้อย่างรวดเร็ว กลิ่นนี้ก็ไม่มีทางลอยมาถึงที่นี่จึงจะถูก
แผงขายหมูของคนขายหมูอยู่ทางตะวันตกสุดของเมือง ครั้งตั้งแผงยังหาซินแสที่ชำนาญในเรื่องนี้มาคำนวณให้โดยเฉพาะด้วย
ซินแสผู้นั้นบอกว่าทุกสรรพสิ่งล้วนมีวิญญาณ การเชือดสัตว์นั้นเดิมทีก็เป็นงานที่ปลิดชีวิต ลิขิตสวรรค์ยากยอมรับได้
การไปตั้งแผงทางทิศตะวันตกมีส่วนช่วยให้สัตว์เหล่านั้นกลับไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดได้เร็วขึ้น คนขายหมูเองจะได้ไม่ต้องแบกรับผลกรรมที่ใหญ่หลวงเกินไป
จะว่าไปแล้วคนขายหมูยังเป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ของพ่อบ้านผู้ดูแลจวนผู้นี้อีกด้วย
และก็เป็นเพราะอาศัยฐานะหน้าตาของเขา จึงสามารถผูกขาดกิจการร้านขายหมูอยู่ในเมืองแห่งนี้ได้
แน่นอนว่าเขาย่อมเชื่อฟังคำของพี่ใหญ่ผู้นี้อย่างที่สุด
พ่อบ้านผู้ดูแลจวนคิดฟุ้งซ่านอยู่ในหัวครู่หนึ่ง มือขวาก็เริ่มรู้สึกเจ็บแสบอย่างรุนแรงขึ้นมา จึงก้มหน้าลงมองและพบว่านิ้วหัวแม่มือข้างขวาของตนเชื่อมต่อกับมือด้วยผิวหนังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และห้อยอยู่ตรงนั้นเหมือนกระดิ่งลม
กระดูกหักสีขาวหม่นปนเปกับคราบเลือดเศษเนื้อสีแดงฉาน เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์กลับดูงดงามทีเดียว
พ่อบ้านผู้ดูแลจวนต้องใช้กำลังอย่างมากจึงจะสามารถเคลื่อนสายตาของตนไปจากนิ้วที่ขาดได้
เขามองอิ๋นซิงด้วยสายตาเลื่อนลอยหนหนึ่ง จากนั้นสองตาก็กลอกขึ้นบน ก่อนหงายหลังหมดสติไป
นิ้วที่ขาดไปนั้นถูกเขานั่งทับอยู่ใต้บั้นท้าย แม้แต่หนังเล็กๆ ชิ้นสุดท้ายก็ยังขาดออก…
นายท่านจางเห็นว่าข้างใต้ตัวพ่อบ้านผู้ดูแลจวนของตนมีกองเลือดไหลนองออกมาก็รู้ว่าไม่ได้การแล้ว จึงรีบให้คนที่อยู่ซ้ายขวาประคองเขากลับจวน
คนหนึ่งยกหลังเขาขึ้น อีกคนยังไม่ลืมเก็บนิ้วหัวแม่มือที่ขาดอยู่บนพื้นขึ้นมาด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ
ทุกส่วนของร่างกายเป็นบิดามารดาให้มาจึงไม่อาจละทิ้งได้
แม้จะต่อกลับไปไม่ได้อีกแล้ว แต่ก็ต้องนำไปจัดการอย่างเรียบร้อยเหมาะสม
มายามนี้จึงยิ่งไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปอีก
แม้ว่าเงินห้าร้อยตำลึงจะมากมายและตำแหน่งพ่อบ้านผู้ดูแลจวนก็ไม่นับว่าต่ำต้อย
แต่ต่อให้เป็นเงินมากกว่านี้หรือตำแหน่งที่สูงกว่านี้ก็ไม่อาจเทียบเท่าร่างกายที่อยู่ครบสมบูรณ์ได้!
การได้แต่งภรรยามีลูกอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ดีงามเป็นที่สุด…
แม้แต่สตรีม่ายผู้หนึ่งก็ยังไม่ยอมแต่งกับคนพิการไม่ใช่หรือ
ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่งที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อเงินทองจำนวนหนึ่ง…
สีหน้าของนายท่านจางยิ่งย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เวลานี้เขาขี่หลังเสือแล้วลงยาก รุกหรือถอยล้วนยากทั้งสิ้น
“ฮูหยินใจคอโหดเหี้ยมลงมือโหดร้ายเพียงนี้ มาข่มเหงกันเพราะคิดว่าตระกูลจางของเราไม่มีคนมีฝีมือรึ”
นายท่านจางกล่าว
“มิกล้า แต่ไรมาล้วนเป็นผู้อื่นเคารพข้า ข้าก็เคารพกลับ ยิ่งไปกว่านั้นก็เห็นๆ อยู่ว่าเขาพูดเอาไว้ก่อนเองว่าจะจัดการให้ได้ภายในสามดาบ ข้าก็เพียงป้องกันตัวเท่านั้น”
อิ๋นซิงกล่าว
นายท่านจางไร้คำโต้ตอบ
เพราะคำพูดนี้ผู้ดูแลจวนพูดออกมาจริงๆ
และเขาก็เป็นคนออกดาบก่อนดังว่า
คนเขาก็เพียงยืนนิ่งๆ อยู่ที่นั่น ไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย แต่เมื่อผ่านไปสามดาบก็กลับลงเอยเช่นนี้ แล้วผู้ใดจะคาดคิดได้
เวลานี้นายท่านจางไม่ได้ชิงชังผู้ใด เพียงชิงชันตนเองและบุตรชายผู้นั้นของตน
ชิงชังที่ตนเองมีตาแต่ไร้แวว จ่ายเงินเลี้ยงดูพวกไร้ประโยชน์ดีแต่กินดื่มโขยงหนึ่ง
ชิงชังบุตรชายของตนที่ไม่รู้จักร่ำเรียนไร้ความสามารถ วันๆ เอาแต่เตร็ดเตร่เที่ยวเล่นก่อเรื่องไม่หยุด!
แต่เมื่อพูดกันให้ถ่องแท้แล้ว บุตรชายก็เป็นเขาให้กำเนิดมา
มักว่ากันว่า ‘ไม่อบรมบุตรเป็นความผิดบิดา’
บุตรชายเพิ่งมาอยู่ในแดนมนุษย์ แล้วจะแยกแยะหลักการใดได้?
จะมีก็เพียงสัญชาตญาณเท่านั้น
สัญชาตญาณของมนุษย์ก็คือการดำรงชีวิตอยู่
กินอิ่มไม่ให้หิวตาย
สวมเสื้อผ้าอบอุ่นไม่ให้หนาวตาย
ให้มีชีวิตอยู่เป็นพอแล้ว
แต่ทรัพย์สมบัติที่จางเสี่ยวหยางมีย่อมไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องความอบอุ่นหรือกินอิ่ม
ด้วยการบุกเบิกของนายท่านจางจึงมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตทั้งหมดดังที่กล่าวมาอย่างเพียงพอตั้งนานแล้ว
ตราบใดที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ไม่ตายลง คนเราย่อมมีความต้องการอย่างอื่น
ดื่มสุรา เล่นการพนัน สตรี
เป็นต้น
ทว่าสิ่งมัวเมาเหล่านี้กลับต้องมีคนให้คำชี้แนะตักเตือน
นายท่านจางไม่ได้ทำหน้าที่และแสดงความรับผิดชอบในฐานะบิดาอย่างเต็มที่ ยามนี้มาสอนสั่งเอาภายหลังก็สายเกินแก้แล้ว
“เจ้าลูกชั่ว! ดูสิเจ้าก่อเรื่องใดขึ้น!”
นึกไม่ถึงว่าเขากลับบันดาลโทสะ
ก่อนพลิกมือไปตบหน้าจางเสี่ยวหยางหนักๆ หนหนึ่ง
ตบจนฟันหลายซี่ที่กำลังโยกคลอนหลุดร่วงลงมาจนหมด
“ถุย! ลูกชั่ว? ข้าว่าท่านเป็นบิดาไม่ได้ความมากกว่าอีก!”
จางเสี่ยวหยางพูดจี้ใจดำ
นายท่านจางโมโหจนสองมือสั่น ชี้หน้าจางเสี่ยวหยาง แต่เนิ่นนานก็ยังพูดไม่ออกสักคำ
“ทำไมหรือ ข้ามีความผิดใด ท่านว่าข้าก่อเรื่อง ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าข้าอาจไม่เคยวาดหวังจะได้เกิดมา ท่านว่าข้าดื่มสุรา ก่อเรื่อง เที่ยวหาสตรี หากท่านไม่ให้ข้าเกิดมา แล้วข้าจะมีโอกาสทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านทำเพื่อความต้องการของตนฝ่ายเดียว อยู่ดีๆ ก็ทำให้ข้าเกิดมา สุดท้ายกลับมาโทษว่าข้าไม่ได้ความ? ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าข้าอาจไม่ได้อยากเป็นคนเลยสักนิด และไม่ได้อยากมาอยู่ในแดนมนุษย์นี้ด้วย”
จางเสี่ยวหยางยิ่งพูดก็ยิ่งใส่อารมณ์
ความรู้สึกเหล่านี้ไม่รู้ว่าเก็บกดมานานเท่าใดแล้ว เวลานี้กลับระบายออกมาจนหมดในคราวเดียว
“เจ้ากลับเรือนเดี๋ยวนี้!”
นายท่านจางฟังถ้อยคำแสนอกตัญญูเช่นนี้ต่อไปไม่ไหวจริงๆ
หากจางเสี่ยวหยางยังคงพร่ำต่อไป ก็เกรงว่าเขาจะไม่มีที่ให้ยืนอยู่ในเมืองนี้อีกแม้แต่น้อย
“กลับเรือน? ข้าไม่มีเรือน! เรือนของข้าอยู่ในสุรา อยู่บนอกของแม่นางทั้งหลาย อย่างน้อยสุราก็ทำให้ข้าเบิกบานใจ อกของแม่นางทั้งหลายยามหนุนนอนนุ่มนวลนัก ในเรือนจะมีสิ่งใด แม้แต่ตัวท่านเองก็ยังไม่กลับเรือน ถือดีอันใดจะมาบอกให้ข้ากลับเรือนเล่า”
จางเสี่ยวหยางเอ่ย
พูดไปๆ ก็กลับร่ำไห้ขึ้นมา
“พาตัวนายน้อยกลับไป!”
นายท่านจางหันหลังและสั่งความผู้ติดตาม
เมื่อได้ยินว่ามีงานที่ดีเช่นนี้ให้ทำ ซ้ำยังสามารถไปให้ไกลจากที่เลวร้ายนี้ได้ คนเหล่านี้จึงพากันยื้อแย่งวิ่งเข้าไปในทันใด
ต่อให้จางเสี่ยวหยางดิ้นรนอีกสักเท่าใด ก็ไม่อาจทานแรงมือแรงเท้าของชายร่างกำยำเจ็ดแปดคนรวมกันได้
นายท่านจางต้องยิ้มเจื่อน ยามมองร่างของบุตรชายตนห่างออกไปแต่ยังคงมีเสียงด่าทอและคำสบถดังลอยมา
เขาไม่เคยรู้สึกเศร้าสลดไร้ที่พึ่งเช่นในเวลานี้มาก่อน
ทันใดนั้นเองพลันรู้สึกว่าสิ่งใดๆ ล้วนไม่ได้มีความหมายกับเขาอีกแล้ว
หอราชสีห์ ตระกูลจาง หน้าตาล้วนไม่ได้มีความหมายใดเลย
“ท่านจะไปที่ใด”
อิ๋นซิงถาม
นางเห็นว่านายท่านจางกำลังจะจากไปเช่นกัน
“ขะ…ข้าจะกลับเรือน กลับเรือนไปพร้อมบุตรชายของข้า”
นายท่านจางกล่าว
“แม้บุตรชายของท่านจะสำมะเลเทเมาไปบ้าง แต่ยามคนนอกเช่นข้าได้ฟัง คำพูดเมื่อครู่นี้กลับมีเหตุผลยิ่งนัก ก่อนอาบน้ำก็ยังต้องเตรียมตัวด้วยการถอดเสื้อผ้า แต่การเป็นพ่อคนนั้นหาใช่เรื่องที่ง่ายดาย ท่านปฏิบัติกับบุตรชายของท่านยังไม่เท่ากับที่ชาวทุ่งหญ้าปฏิบัติต่อสัตว์เลี้ยงพวกเขาเลย”
อิ๋นซิงกล่าว
เมื่อนั้นเข็มเงินในมือนางก็พุ่งออกไป
ตอนที่นายท่านจางรู้สึกตัว สาบเสื้อตรงหน้าอกของเขาก็มีตั๋วเงินหนึ่งใบเย็บติดไว้ตรงนั้นแล้ว
มูลค่าหนึ่งแสนตำลึง
………………………………………