ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 463 หันหลังกลับแล้วปล่อยมือ-5
บทที่ 463 หันหลังกลับแล้วปล่อยมือ-5
……….
นายท่านจางมองตั๋วเงินไปนั้นด้วยอาการใจลอย
ผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา เขาจึงโค้งตัวต่ำๆ ให้แก่อิ๋นซิง
อิ๋นซิงเห็นว่านายท่านจางกำลังจะก้มหัวลงก็รู้ทันทีว่าเขาจะทำสิ่งใด
จึงไม่ได้อยู่ตรงนั้นต่ออีก พลันหันหลังเตรียมจะกลับเข้าไปภายในหอราชสีห์
ก่อนเข้าประตูไปยังใช้ด้ายทองเย็บแผ่นป้ายคำว่า ‘หอราชสีห์’ ที่หักเป็นสองท่อนและตกลงพื้นให้ประกบเข้าด้วยกันอย่างเรียบร้อย แล้วแขวนไว้ข้างบน
ต้องพูดทีเดียวว่าฝีมือของอิ๋นซิงสุดยอดจริงๆ!
หลังจากผ่านฝีมือการซ่อมแซมของนางแล้ว เมื่อมองขึ้นไปกลับไม่เห็นร่องรอยใดๆ แม้แต่น้อย เหมือนของเดิมไม่ผิดเพี้ยน
แม้จะยังมีรอยแตกเล็กๆ เป็นเส้นยาวเส้นหนึ่ง แต่หากไม่สังเกตให้ละเอียดก็จะไม่มีทางแยกแยะออก
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จสรรพ อิ๋นซิงจึงค่อยๆ เดินกลับเข้าไปภายในหอราชสีห์อีกครั้ง
“พวกเจ้ากำลังสนทนาเรื่องใดกันอยู่”
อิ๋นซิงถาม
“เขานั่ง ส่วนข้ายืน ไม่ได้สนทนากัน”
บัณฑิตจางกล่าว
“ข้านึกว่าปัญหาระหว่างพวกเจ้าจะสะสางเสร็จสิ้นแล้วเสียอีก”
อิ๋นซิงกล่าว
“ชะตาที่สั่งสมมาสิบปี จะสะสางได้ภายในคำพูดไม่กี่ประโยคเช่นนั้นหรือ”
บัณฑิตจางย้อนถามอย่างจนใจนัก
“คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืนอยู่เช่นนี้ ย่อมไม่อาจสะสางปัญหาได้เป็นแน่”
อิ๋นซิงกล่าว
“ข้าเห็นว่าเจ้าจัดการเรื่องเมื่อครู่นี้ได้อย่างรวดเร็วเด็ดขาด จึงอยากจะสอบถามความเห็นจากเจ้า”
บัณฑิตจางกล่าว
“ถามข้า?”
อิ๋นซิงรู้สึกเหลือเชื่อ
ในใจของนาง บัณฑิตจางเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดมาโดยตลอด
เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนแปลงได้
ยิ่งไปกว่านั้นบัณฑิตจางก็ไม่ชอบถกเถียงหรือสาธยายเหตุผล
เหตุผลก็มีอยู่เท่านั้น ใครบ้างจะไม่รู้
ต่อให้เป็นคนที่ไม่เคยร่ำเรียนหนังสือ แต่มีชีวิตอยู่มาหลายปีก็ยังรู้หลักการของฟ้าดินกระจ่างชัด จึงไม่จำเป็นต้องเอ่ยซ้ำอีกรอบแต่อย่างใด
การเอ่ยซ้ำไปมาเช่นนี้รังแต่จะนำมาซึ่งการทะเลาะเบาะแว้งกันไม่จบไม่สิ้น ไม่อาจแก้ไขปัญหาใดๆ ได้อย่างจริงจัง
และเวลาซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าก็จะค่อยๆ ล่วงเลยไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้งที่ไร้ความหมายเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งชั่วยามหรือหนึ่งปีล้วนให้ผลเช่นเดียวกัน
หากจะต้องเสียเวลาไปหนึ่งชั่วยามหรือกระทั่งหนึ่งปีเพื่อสาธยายหลักการข้อหนึ่งให้ชัดเจน ไม่สู้เมื่อคิดได้แล้ว เข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้วก็ให้ลงมือทำในทันใด
คิดและลงมือปฏิบัติจริงต่างหากจึงจะสำคัญที่สุด
หนทางพันลี้ เริ่มที่ก้าวแรก
หากเรื่องใดๆ ก็เอาแต่คิดวางแผนในหัวอยู่เช่นนั้น เกรงว่าชั่วชีวิตก็ยากจะก้าวออกไปได้
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าเรื่องใดๆ ในหล้านี้ล้วนไม่มีทางเป็นหนทางที่กว้างใหญ่สว่างไสว หรือแค่เดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นแสงสว่าง
ต้องคอยปรับเปลี่ยนทิศทางอยู่เสมอ
การเดินบนหนทางสายหนึ่งจนมืดค่ำ แม้จะบอกได้ว่าเพียรพยายามยิ่ง แต่หากว่ากันให้ถึงรากถึงโคนแล้ว กลับเป็นการใช้แรงอย่างโง่เง่าเท่านั้น
ที่จริงแล้วก็แค่สิ้นเปลืองเวลาและเสียแรงเปล่าโดยไม่มีความจำเป็น
เรื่องที่กินแรงและไม่มีคุณค่าเช่นนี้บัณฑิตจางไม่มีทางทำเด็ดขาด
ครั้งยังหนุ่มฮึกเหิม
เลือดร้อนอารมณ์รุนแรง บางหนยังยืนกรานที่จะทำบางสิ่ง
แม้จนสุดท้ายจะเหลือแค่สองมือเปล่าก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายอันใด
ในทุกๆ ช่วงวัยล้วนมีเรื่องเปล่าประโยชน์ที่แต่ละวัยควรไปทำ
ซึ่งเรื่องเหล่านี้ล้วนลิขิตเอาไว้แล้วตั้งแต่เกิด
ครั้งยังหนุ่ม มีเวลามากมายที่เอาไว้ให้ใช้โดยสิ้นเปลือง
ซึ่งความสิ้นเปลืองประเภทนี้ โดยมากแล้วเรียกได้ว่าเป็นการทดลองอย่างหนึ่ง
หากไม่เคยเดินผ่านมาจะรู้ได้อย่างไรว่าเดินไปไม่ได้
บัณฑิตจางชิงชังรังเกียจผู้คนที่ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง…
พวกคุยโวที่ฟังดูแล้วมีเหตุผลยิ่งแต่หากมีคนทำตามนั้นจริงๆ ชั่วชีวิตของเขาก็ไม่อาจหลีกหนีจากการพันธนาการของประสบการณ์นั้นๆ ไปได้
เมื่อใดที่ได้พบกับเรื่องราวที่เกินกำลัง เมื่อนั้นก็จะไร้หนทางแก้ปัญหาขึ้นมาทันใด
ครั้นแล้ว ตัวเขาก็จะพะวงหน้าพะวงหลัง ไร้ซึ่งกำลังเรี่ยวแรง ไม่มีวันก้าวหน้าอย่างสง่างามได้
แต่เวลานี้บัณฑิตจางก็อายุปูนนี้แล้ว
เวลาที่เขาสามารถใช้สิ้นเปลืองไปกับการทดลองได้นั้นเหลืออีกไม่มากแล้ว
เขาจึงจำเป็นต้องวางแผนอย่างระมัดระวังให้มาก
ผู้อื่นวางแผนทุกวัน แต่เขาต้องวางแผนให้ละเอียดอยู่ทุกชั่วยาม
ห้ามให้มีความผิดพลาดใดแม้แต่น้อย
แต่เวลานี้เขากลับเอาแต่ยืนเก้ๆ กังๆ
คนเรามักยึดติดกับอดีต
ไหนเลยจะมีคนที่สามารถตัดเยื่อใยได้จริงๆ
ทุกคราวยามอาทิตย์อัสดงรอนลงต่ำ
แสงสะท้อนเมฆสีชาดทั่วฟ้าก็ยังไม่เพียงพอให้รำลึกถึงความอ่อนโยนในวันนั้น
ต่อให้ถึงเวลาสุดท้ายก็ยังเลือกจะไม่หันหลังกลับและไม่ปล่อยมือ
คนที่ยึดติดกับอดีต ก็ยังคงยึดติดอยู่เช่นนั้น
“เงียบเหลือเกิน…”
ผู้ตัดสัมพันธ์หลับตาทั้งคู่ลง จู่ๆ ก็เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง
“จริงสิ เงียบนัก…”
บัณฑิตจางกล่าว
“ความเงียบเช่นนี้ ทำข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ผู้ตัดสัมพันธ์ก็ลืมตาขึ้นมาและเอ่ยอย่างรำคาญใจ
บัณฑิตจางเห็นว่าในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่สงบ
“เจ้ากำลังลังเลสิ่งใด”
บัณฑิตจางถาม
“ข้าไม่ได้ลังเล ข้าจะลังเลได้อย่างไร”
ผู้ตัดสัมพันธ์เอ่ยทั้งยิ้มเย็น
ครึ่งประโยคหลังนี้ เห็นชัดว่าพูดให้ตนเองฟัง
ราวกับกำลังสร้างแรงใจให้ตนเอง
“เรื่องที่คนเรานำมาโอ้อวดล้วนเป็นเรื่องที่ตนเองขาด ที่รีบร้อนปฏิเสธแสดงว่าต้องมีอยู่”
“คนชราแล้วก็ล้วนพูดจาร่ำรี้ร่ำไรใช่หรือไม่ แต่ก่อนท่านไม่เคยเอ่ยถึงเหตุผลอย่างสงบใจเย็นเช่นนี้”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
“คงเป็นเช่นนั้น…ไว้คอยดูตอนเจ้าชราแล้วว่าจะเป็นเหมือนข้าหรือไม่”
บัณฑิตจางเอ่ยทั้งยักไหล่
“ข้าจะไม่มีวันนั้นหรอก”
บัณฑิตจางรู้ถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา
ศิษย์ผู้นี้จะต้องไม่มีวันให้ตนเองได้ชราลง
เขาต้องจบชีวิตที่เหลืออยู่ก่อนที่ตนเองจะชราลงจริงๆ
“ช่วยเอาสุรามาที”
บัณฑิตจางนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันเอ่ยกับอิ๋นซิง
อิ๋นซิงพยักหน้า เดินไปหยิบสุราจากโต๊ะเก็บเงินมา
“ท่านจะดื่มสุรา?”
ผู้ตัดสัมพันธ์ถามอย่างประหลาดใจ
ก่อนนี้บัณฑิตจางไม่ดื่มสุราแม้แต่หยดเดียว
เว้นแต่ที่เคยใบหน้าแดงก่ำในคืนวันแต่งงานของเขาแล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นบัณฑิตจางดื่มสุรามาก่อน
“คนเราเปลี่ยนแปลงกันทั้งสิ้น ก็เหมือนตอนนี้เจ้าเป็นผู้ตัดสัมพันธ์ ส่วนข้าก็ไม่ใช่จางอวี่ซูอีกแล้ว จางอวี่ซูไม่ดื่มสุราแต่บัณฑิตจางดื่มสุรา แม้จะดื่มไม่มากแต่ก็ต้องดื่มเล็กน้อยทุกวัน”
บัณฑิตจางกล่าว
“ข้ายังคงดื่มสุราเรื่อยมา ข้อนี้กลับไม่เคยเปลี่ยน”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
“ครั้งอยู่ที่สำนักปากสอบ ข้าเคยได้กลิ่นสุราจากตัวเจ้าอย่างน้อยสามถึงห้าครั้ง”
บัณฑิตจางกล่าว
“แล้วเหตุใดท่านจึงไม่ตำหนิ”
ผู้ตัดสัมพันธ์ถามอย่างใคร่รู้
แม้ปากจะบอกว่าไม่ใส่ใจเรื่องนานาในอดีต แต่ในใจเขากลับสนใจอย่างยิ่ง
หรือพูดได้ว่าสิ่งที่เขาสนใจไม่ใช่เรื่องราวยิบย่อยเหล่านั้น แต่เพียงหวังอย่างยิ่งว่าจะมีใครสักคนที่สามารถสนทนาจริงจังเป็นเพื่อนเขาได้
คนที่สนทนาด้วยนี้ ไม่อาจเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยเกินไปและไม่อาจสนิทสนมจนเกินไป
คนไม่คุ้นเคยย่อมไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใด ทำได้เพียงยกยอไปตามธรรมเนียม
คนสองคนชมกันไปชมกันมา หากไม่ได้ดื่มจนเมาหัวราน้ำ ก็ต้องจากกันอย่างขุ่นเคือง
ดูเผินๆ แล้ว อย่างน้อยการเมาหัวราน้ำก็ยังดีกว่าจากกันอย่างขุ่นเคืองมากนัก
ทว่าหลังจากลืมตาตื่นในวันรุ่งขึ้น สิ่งที่ต้องเผชิญหน้าเมื่อย้อนนึกถึงความครึกครื้นในคืนวานกลับเป็นความว่างเปล่าที่ทวีคูณขึ้น
ไม่สู้แตกหักกันให้ชัดเจนเมื่อจากกันอย่างขุ่นเคือง เพราะอย่างน้อยก็ยังมีเรื่องที่ทำให้จดจำได้แม่นยำเพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่หากว่าคุ้นเคยกันเกินไป ก็กลับไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใด
ระหว่างทั้งสองต่างรู้ตื้นลึกหนาบางของกันและกัน จึงไม่มีหัวข้อใดที่จะนำมาสนทนาแลกเปลี่ยนกันได้
ต่อให้นั่งมองหน้ากันและไม่เอ่ยคำใดก็ยังไม่รู้สึกอึดอัด
ความสัมพันธ์เช่นนี้ย่อมทำให้ผู้อื่นอิจฉา แต่สำหรับผู้ตัดสัมพันธ์ที่เขาต้องการคนมาสนทนาโต้ตอบด้วยแล้ว กลับเป็นตัวเลือกแรกที่เขาตัดทิ้ง
เขาเคยสนิทสนมคุ้นเคยกับบัณฑิตจางอย่างมาก
หลังจากไม่ได้พบกันนานหลายปี เวลานี้จึงมีความห่างเหินมากขึ้นอีกหลายส่วน
ดังนั้นแล้ว ก็เท่ากับว่าเป็นคนที่ไม่ห่างเหินเกินไปและไม่ค่อยคุ้นเคยนัก ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการแสนเหลวไหลของเขาพอดีไม่ใช่หรือ
เกรงว่าในหล้านี้ยากจะแสวงหาคนที่เป็นเช่นนี้ได้สักคน
ต่อให้หาพบแล้ว คนผู้นั้นก็ใช่ว่าจะมีเวลา
หรือต่อให้มีเวลา ก็ใช่ว่าเขาอยากจะสนทนาด้วย
แต่เวลานี้บัณฑิตจางกำลังอยู่ตรงหน้า ยิ่งไม่ต้องไปเสาะแสวงหาใดๆ
ไม่เพียงมีเวลา เขาก็ยังอยากสนทนาด้วยอีกด้วย
เรียกได้ว่าฟ้าประทานโอกาสงามมาให้และหาได้ยากยิ่ง!
“แม้ข้าจะไม่ดื่มสุรา แต่ข้าก็ไม่เคยรู้สึกว่าการดื่มสุราเป็นเรื่องเลวร้าย”
บัณฑิตจางกล่าว
เขาก็ดึงตั่งตัวหนึ่งมานั่งลงด้วย
นั่งตรงกันข้ามกับผู้ตัดสัมพันธ์พอดี
“ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แล้วเหตุใดท่านต้องคอยขัดอยู่เช่นนั้น”
ผู้ตัดสัมพันธ์ย้อนถาม
เขาชอบวิธีพูดเช่นนี้เป็นที่สุด
แม้ว่าทุกประโยคฟังแล้วทิ่มแทงนักแต่กลับจี้ถูกประเด็นยิ่ง ทำให้อีกฝ่ายไร้กำลังจะตอบโต้
“ไม่สนับสนุนไม่ได้หมายความว่าห้าม ขอเพียงไม่ทำให้เรื่องที่ควรทำเสียหาย เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ข้าก็แค่ถือเสียว่าเป็นสิ่งที่เจ้าโปรดปรานและเป็นความเคยชินอย่างหนึ่งเท่านั้น ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตนโปรดปรานและความเคยชินของตนทั้งสิ้น”
บัณฑิตจางกล่าว
“สิ่งที่ท่านโปรดปรานและความเคยชินของท่านคือสิ่งใด”
ผู้ตัดสัมพันธ์ถาม
“ก่อนนี้เหมือนจะไม่มีเลยจริงๆ…แต่ภายหลังก็ไม่ใช่ว่าข้าบ่มเพาะออกมาได้เรื่องหนึ่งแล้วหรอกหรือ”
บัณฑิตจางกล่าว
และชี้ไปยังจอกสุราบนโต๊ะข้างๆ
“ข้านึกว่าเรื่องที่โปรดปรานจะอยู่ที่นั่นเงียบๆ มาตั้งแต่ต้นและรอให้เราไปค้นพบ แต่กลับไม่นึกว่าสิ่งที่โปรดปรานนี้ยังสามารถบ่มเพาะออกมาได้ด้วย!”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
“ไม่ว่าเรื่องใดก็สามารถบ่มเพาะออกมาได้ทั้งสิ้น หรือเจ้าคิดว่าความเปลี่ยนแปลงไม่ใช่การจงใจทำให้เกิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง”
บัณฑิตจางกล่าว
“ท่านชราแล้วจริงๆ…”
ผู้ตัดสัมพันธ์ได้ฟังก็จับจ้องบัณฑิตจางครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยคำพูดประหลาดออกมา
“เหตุใดจึงคอยย้ำแล้วย้ำอีกว่าข้าชราแล้ว”
บัณฑิตจางค่อนข้างไม่พอใจ…
บุรุษไม่ชอบได้ยินคำว่า ‘ชรา’ ก็เหมือนกับสตรีที่ไม่อยากได้ยินคำว่า ‘อ้วน’
ไม่ถึงกับเป็นข้อห้าม แต่มักทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
“เพราะท่านเริ่มสั่งสอนแล้วจริงๆ”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
“ข้าบอกแล้วอย่างไร เมื่อเจ้ารับฟังและทำตามจึงเรียกว่าสั่งสอน หากมีเพียงตัวข้าที่กล่าวไปผู้เดียว เช่นนั้นก็เป็นแค่คำพูดลอยๆ ไร้สาระเท่านั้น”
บัณฑิตจางเอ่ยพลางโบกไม้โบกมือ
อิ๋นซิงยกจอกสุราและค่อยๆ เดินมา
ระหว่างทางนางก็ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เจ้าหมิงหมิงรีบไปเสีย
เจ้าหมิงหมิงยิ้มบางๆ ทั้งส่ายหน้า กลับดึงตั่งตัวหนึ่งมานั่งลง
“ข้ารู้สึกว่าพวกเขาสนทนากันน่าสนใจนัก อยากฟังดู”
เจ้าหมิงหมิงบอกกับอิ๋นซิง
เรื่องนี้ก็ไม่อาจฝืนใจกันได้
ทว่าคนพูดกลับมีสุราดื่ม แล้วคนฟังเหตุใดจึงไม่มีสุราบ้าง
คนพูดดื่มสุรา นอกจากช่วยให้คอชุ่มชื้นแล้ว ก็เพื่อให้คำพูดที่ตนพูดออกมาน่าสนใจมากขึ้นหลายส่วนก็เท่านั้น
คนฟังดื่มสุราย่อมเพื่อให้เข้าใจจิตใจของคนพูด
เมื่อจิตใจเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ยามฟังไปคำพูดเหล่านั้นจึงจะมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น
ในหนังสือเรียนโบราณก็มีตัวอย่างมากมายที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านบุ๋นใช้เสียงลม เสียงฝน เสียงฉินหรือแม้แต่เสียงยายแก่ด่าว่ากันในตลาดมาแกล้มกับสุรา
เห็นได้ว่าแม้สุราจะทำให้คนเมามาย แต่ก็สามารถทำให้ดวงใจที่อยู่แสนห่างไกลกันเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างรวดเร็ว
อิ๋นซิงวางขวดสุราไว้ตรงหน้าเจ้าหมิงหมิงและวางสุราที่เหลืออีกสี่กาไว้บนโต๊ะของผู้ตัดสัมพันธ์และบัณฑิตจาง
………………………………………
……….