ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 464 หันหลังกลับแล้วปล่อยมือ-6
บทที่ 464 หันหลังกลับแล้วปล่อยมือ-6
……….
“คนที่ดื่มสุราทุกวันต้องไม่คออ่อนเป็นแน่”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
“ชอบดื่มสุราใช่ว่าจะดื่มสุราเก่ง ข้ากล้าดื่มสุราแต่ข้าคอไม่แข็ง”
บัณฑิตจางกล่าว
ผู้ตัดสัมพันธ์กลับหยิบสุรามาหนึ่งกา ก่อนเงยหน้าขึ้นดื่มจนหมด
น้ำสุราที่เผ็ดร้อนเข้าไปในปาก ลงไปตามลำคอ เข้าไปในท้อง
ราวกับกลืนเทียนที่มีไฟลุกลงไปหนึ่งแท่ง
ทั้งตัวถูกกระตุ้นจนรู้สึกชา
และเจ็บคออย่างมาก
แต่ผู้ตัดสัมพันธ์ชมชอบความเจ็บปวด
บางหนยังสร้างบาดแผลจำนวนหนึ่งบนเนื้อหนัง เพื่อให้ตนเองได้สัมผัสถึงความเจ็บปวดนั้นอย่างถี่ถ้วน
นั่นเพราะมีเพียงในยามที่เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวด จึงจะพบว่าสติของตนยังคงดำรงอยู่ในเนื้อหนังมังสาที่ยับเยินโสมมนี้
สำหรับเขาแล้ว ความรู้สึกเจ็บปวดเป็นการพิสูจน์อย่างหนึ่ง
ความรู้สึกสดชื่นหลังการพิสูจน์กลายเป็นความผ่อนคลายในช่วงเวลาสั้นๆ แก่เขา
ความรู้สึกผ่อนคลายที่ได้มาอย่างไม่ง่ายดายนี้มีค่ายิ่งนัก
ซึ่งผู้ตัดสำคัญก็ไม่กล้าใช้มากเกินไป
นั่นเพราะเมื่อมีความเจ็บปวดมากแล้วจะยิ่งทำให้ชินชา
จนสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าไม่หลงเหลือสิ่งใด
เนื่องจากไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีก ทั้งต้องสูญเสียความสดชื่นและผ่อนคลายนั้นไป
บัณฑิตจางกล่าว
จากนั้นก็รินสุราให้ตนเองจอกเล็กๆ ค่อยๆ จิบหนึ่งอึก
“สุรานี้ไม่เลว!”
บัณฑิตจางอุทานชม
“คนที่ดื่มสุราจริงๆ จะไม่เลือกสุรา ในหล้านี้มีเพียงสุราที่ทำให้เมาและสุราที่ไม่ทำให้เมา ไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นสุราดีหรือสุราเลว”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
สุราสองกาถูกดื่มจนหมดภายในเวลาชั่วอึดใจ
แต่เมื่อย้อนมามองทางฝั่งของบัณฑิตจางกลับยังดื่มไม่หมดสักจอก
“ดูทีว่าสุรานี้ไม่อาจดื่มเสียแล้ว…”
บัณฑิตจางเอ่ยทั้งส่ายหน้าอย่างจนใจ
“และก็สนทนากันพอประมาณแล้ว”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีคำจะพูด และไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากพูด
แต่เขากลัวที่จะต้องพูดต่อไป
แม้เขาปรารถนาจะได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเป็นที่สุด
แต่เพราะอยู่เดียวดายมาเนิ่นนานนัก อย่างไรก็จำเป็นต้องใช้เวลาปรับตัว
คำพูดที่เอ่ยในวันนี้ ก็มากกว่าที่เขาพูดเมื่อกว่าครึ่งปีก่อนมากมายแล้ว
มากวาจาย่อมสูญเสีย
แม้จะเป็นผู้ตัดสัมพันธ์ ซึ่งไม่มีสิ่งใดที่สามารถสูญเสียได้อีกแล้ว
แต่เขาก็ยังคงไม่อยากพูดต่อ
ด้วยไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นจะไปปลุกเร้าอารมณ์และความคิดที่เขาพยายามสะกดเอาไว้อย่างสุดกำลังเมื่อก่อนนี้หรือไม่
หลังจากครั้งก่อนที่เดินสวนกับบัณฑิตจางในอาณาจักรติ้งซีอ๋อง เขาต้องหลั่งน้ำตา
ชั่วอึดใจนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ห่างเหินไปแสนนาน
หลังจากไปจากสำนักปากสอบ ร่างกายของเขาไม่เคยมีความอบอุ่นอีกเลยแม้สักชั่วอึดใจ
สองมือมีเพียงความเย็นเฉียบอยู่ร่ำไป
แม้น้ำตาจะมีไม่มาก แต่ยามไหลอาบลงจากสองแก้มนั้น คราบน้ำตาอุ่นสายหนึ่งกลับทำให้ใบหน้าที่ตึงแน่นกลับอ่อนโยนลงมาในทันใด
หยดน้ำตาแวววาวหนึ่งร่วงลงจากใต้คางของเขาและหยดลงบนหลังเท้า
บางเบานัก ระมัดระวังยิ่ง
แต่มันกลับร้อนรุ่มอย่างยิ่ง
น้ำตาเพียงหยดหนึ่งแต่กลับนำความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่หลวงเช่นนี้มาสู่เขา เรื่องนี้ทำให้ผู้ตัดสัมพันธ์รู้สึกเกินคาด
ความรู้สึกอบอุ่นเช่นนั้นช่างงดงามเหลือเกิน
แต่เขาไม่อยากลิ้มลองมันอีก
เมื่อคนผู้หนึ่งคุ้นชินกับเลือดสด ความเย็นยะเยือก และความโดดเดี่ยว
จู่ๆ ก็ต้องมาอยู่ท่ามกลางความรื่นเริงเบิกบาน อบอุ่นสบายใจ ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ดี…
วันใดที่ฝูงสุนัขป่าที่เดินย่ำอยู่กลางหิมะในฤดูหนาวได้พบกับศาลเจ้าร้างที่สามารถหลบความหนาวได้ ชะตาที่รอพวกมันอยู่กลับมีเพียงความตาย
ไม่ว่าคนทำสิ่งใด ล้วนทำเพื่อความสบายและต่อสู้กับความเกียจคร้านของตนทั้งสิ้น
ยิ่งไม่ชอบกินผักเท่าใดก็ยิ่งจะลิ้มลองให้มากขึ้นสักสองสามคำ
ยิ่งเป็นหนังสือที่ไม่พอใจจะอ่าน แต่กลับยังพลิกเปิดอ่านหลายหน้า
ฟังดูแล้วเป็นการฝืนใจนักทั้งยังออกจะโง่เง่า แต่หากความจดจ่อนี้หายไปแล้ว ก็จะไม่มีวันกลับมาได้อีก
ผู้ตัดสัมพันธ์รู้หลักการนี้ลึกซึ้งนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่กล้าละโมบกับความเบิกบานใจ แม้จะแค่ชั่วพริบตาก็ตาม…
เมื่อบัณฑิตจางเห็นดังนั้นจึงวางจอกสุราลง และลุกขึ้นพร้อมกันกับผู้ตัดสัมพันธ์โดยไม่ได้นัดหมาย
ต่อให้เสื้อเกราะแข็งอีกปานใด ก็ยังมีวันเป็นสนิมและแตกหัก
น้ำแข็งจะหนาอีกสักเท่าใด ก็ยังไม่อาจหนีพ้นช่วงเวลาที่น้ำแข็งละลายเมื่อวสันต์มาเยือนได้
เวลานี้ไม่จำเป็นต้องมากวาจา จะมีก็แต่ลงมือต่อกรกันเท่านั้น
บัณฑิตจางเอื้อมมือขวาไปทางอิ๋นซิง อิ๋นซิงมอบพัดกระดูกขาวให้เขาอย่างรู้ใจ
“พัดกระดูกขาว! เจ้าย่อมต้องคุ้นเคย”
บัณฑิตจางกล่าว
“แต่ว่าดาบของข้า ท่านกลับไม่ได้รู้จักสักเท่าใด”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
“อาจารย์ตีศิษย์ ไม่ต้องคำนึงถึงหลักคุณธรรมแห่งฟ้าดิน ยิ่งห้ามเอาเปรียบแม้แต่น้อย!”
บัณฑิตจางกล่าว
“ข้าจะไม่ออมมือ ท่านอาจารย์…”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
บัณฑิตจางได้ยินคำว่า ‘ท่านอาจารย์’ จมูกก็คัดขึ้นมาทันใด เบ้าตาเริ่มแดงขึ้นมา
จะว่าไปแล้ว ตัวบัณฑิตจางเองก็ไม่รู้ว่าที่ทำอยู่นี้เพื่อสิ่งใดกันแน่
เพื่อความเป็นหรือตายของเจ้าหมิงหมิง?
เรื่องนั้นหาได้เกี่ยวอันใดกับเขา
กระทั่งได้ยินผู้ตัดสัมพันธ์เรียกตนว่าอาจารย์เมื่อครู่นี้ เขาจึงรู้ว่าความหมายของสิ่งที่ตนทำมาตลอดหลายปีนี้คือสิ่งใด
“ดี!”
ลำคอของบัณฑิตจางขยับขึ้นลงหลายครั้ง ในที่สุดก็ยังสามารถเอ่ยออกไปอย่างสงบ
ผู้ตัดสัมพันธ์กุมดาบในมือซ้าย ค่อยๆ ยกขึ้นและค้างไว้ในระดับสายตา
เนื่องจากใบดาบปกคลุมด้วยคราบเลือดหนาชั้นหนึ่ง จึงไม่มีประกายดาบส่องออกมานานแล้ว
ย่อมไม่อาจสะท้อนใบหน้าของเขาออกมาได้
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังทำเช่นนี้
นี่เป็นกฎก่อนที่เขาจะออกดาบ
ในวันเก่าก่อนผู้ตัดสัมพันธ์ย่อมไม่มีเวลามาทำเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้ อย่างมากก็เพียงรำพันอยู่ในใจตนสักคราว
เพราะเวลาออกดาบ หากช้าไปส่วนหนึ่ง อันตรายย่อมเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง…
จะทำสิ่งที่ตนคุ้นเคยให้ครบสมบูรณ์อย่างไม่รีบร้อนเช่นนี้ได้อย่างไร?
แต่วันนี้กลับไม่เหมือนกัน
ไม่ใช่เพราะวันนี้มีความพิเศษใด แต่เป็นเพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
ต่อให้ผู้ตัดสัมพันธ์ถือดาบและเอาแต่จ้องมองเขาอยู่หนึ่งหรือสองชั่วยาม บัณฑิตจางก็ยังจะรอเขาด้วยความอดทนยิ่ง
จะไม่ลงมือก่อน และยิ่งไม่จู่โจมโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว
ตอนที่ผู้ตัดสัมพันธ์เอ่ยคำว่าอาจารย์ออกไป แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกตกใจ
นี่หาใช่ลูกไม้เล่ห์กลใด แต่เป็นความรู้สึกจริงแท้ที่เผยออกมาโดยไม่รู้ตัว
แม้ตัวเขามักปฏิเสธอย่างสุดกำลังเพราะต้องการตัดขาดจากอดีต
แต่อดีตก็เกิดขึ้นแล้ว และยังผ่านไปนานมากแล้ว
แม้จะพยายามอีกมากมายเพียงใดในตอนนี้ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
ก็เหมือนกับบัณฑิตจาง แม้จะไม่ได้เรียกขานว่าจางอวี่ซูแล้ว แต่เขาก็ไม่อาจลบล้างความจริงที่ว่าเขาก็คือจางอวี่ซูไปได้
เวลาหนึ่งก้านธูปถูกผู้ตัดสัมพันธ์ใช้จนหมดสิ้นไปเช่นนี้
เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเงียบสงบอีกครั้ง
ดาบของผู้ตัดสัมพันธ์เป็นเช่นสายฟ้าฟาด น้ำตกไหลแรง และหินกลิ้ง
มีแต่รุกไม่มีถอย บุกทะลวงไม่ตั้งรับ
เมื่อใดที่ออกดาบ ไม่เห็นเลือดจะไม่เก็บ
ความสงบและอ้อมค้อมใช่ว่าจะสูงส่งกว่าความดุเดือดรุนแรงเสมอไป ทว่าสรรพสิ่งในหล้านี้ต่างก็หนุนและหักล้างกัน
เมื่อมีฝ่ามือ ย่อมต้องมีหลังมือ
เมื่อมีน้ำตกรุนแรงมีสายฟ้าฟาด ย่อมต้องมีธารน้ำเล็กๆ ไหลริน
และที่มากกว่านั้นกลับไม่ใช่หักล้างซึ่งกัน แต่กลับพึ่งพากันและประคับประคองกัน
ดังเช่นอินอย่างสองขั้วภายในกายผู้ฝึกยุทธ์ ที่เป็นเหมือนคู่สามีภรรยาแต่งงานใหม่
ผู้ตัดสัมพันธ์ใช้ดาบมาตั้งหลายปี แต่เพิ่งเคยมีความรู้สึกเช่นนี้เป็นครั้งแรก
ก่อนนี้เขามักรู้สึกว่ากระบวนดาบของตนหนักเกินไป
เขายังเคยคิดว่าควรทำอย่างไรจึงจะลดความรู้สึกหนักอึ้งเช่นนั้นได้
เพราะดาบก็บางเบาที่สุดแล้ว
และร่างของเขาก็ผ่ายผอมนัก
นักดาบคนอื่นๆ ล้วนรู้สึกว่าความรู้สึกเบาที่ยากอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ชัดเจนนี้ กลับเป็นความบกพร่องอย่างหนึ่ง
มีเพียงผู้ตัดสัมพันธ์เท่านั้นที่รู้สึกว่ามันมีคุณค่า
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เขาควรจะวางคุณค่านี้ที่ใด และเอาไว้ที่ใดของดาบ
ในที่สุดผู้ตัดสัมพันธ์ก็เข้าใจว่าความ ‘เบา’ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเสาะแสวงหาอย่างยากลำบากแต่กลับไม่อาจได้มานั้นที่แท้แล้วคือสิ่งใด
ความ ‘เบา’ ต้องการความ ‘นิ่ง’ ซ้อนทับกัน จึงค่อยๆ ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ
ก็เหมือนกับแมลงปอที่เกาะนิ่งอยู่บนยอดต้นอ้อ
ผู้ตัดสัมพันธ์ต้องขยับเข้าไปอย่างช้าๆ เงียบๆ จึงสามารถจับปีกของมันไว้ได้
เมื่อแมลงปอถูกจับไว้ย่อมดิ้นรนต่อสู้ไม่ยอมหยุด
เวลานี้ประโยชน์ของความ ‘นิ่ง’ กลับเหลือไม่มากเสียแล้ว และจำเป็นต้องใช้ปราณดาบที่รุนแรงดังเช่นสายฟ้าฟาดและน้ำตกแรง
ผู้ตัดสัมพันธ์ปล่อยแขนลง
ดาบแนบลำตัว ทิ้งตัวลงเงียบๆ
บัณฑิตจางรู้สึกฉงน
เขาไม่รู้ว่าผู้ตัดสัมพันธ์ต้องการสิ่งใดกันแน่
แม้เขาจะประเมินปัญญาและความเข้มแข็งของศิษย์ตนผู้นี้ไว้สูงมาก
แต่เขาก็ยังคิดไม่ถึงว่าแค่ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปดาบของผู้ตัดสัมพันธ์กลับชูขึ้นไปบนเมฆ กระทั่งไปถึงความสูงที่แม้แต่บัณฑิตจางก็ไม่เคยรู้
อย่างน้อยเขาก็ใช้ดาบไม่เป็น
ต่างเส้นทางอาจไปยังจุดหมายเดียวกัน แต่ก่อนจะถึงจุดหมายเดียวกันต้องเดินเพียงลำพังไปบนเส้นทางที่ไม่รู้ว่ายาวไกลเท่าใด
เมื่อดาบของผู้ตัดสัมพันธ์ชูขึ้นอีกครั้ง บัณฑิตจางมองเห็นว่าคมดาบที่ขยับเข้าใกล้ตนเรื่อยๆ กลายเป็นผีเสื้อตัวหนึ่งที่กำลังกระพือปีก
มันคล่องแคล่ว ทั้งว่องไว
บินไปไม่ช้าไม่เร็ว บางคราวยังบินวนเวียนอยู่ในพุ่มดอกไม้อย่างอาลัยอาวรณ์
ราวกับว่าการดำรงอยู่ของปฐพีนี้เป็นสิ่งที่น่าอาทรที่สุด
‘พึ่บ!’
บัณฑิตจางคลี่พัดกระดูกขาวออก
โบกพัดใส่ ‘ผีเสื้อ’ ตัวนั้น
หากต้องการจับผีเสื้อตัวหนึ่งก็จะต้องใช้ตาข่ายจับแมลง
แต่หากอยากไล่มันไป ก็ต้องใช้ลมวูบหนึ่งพัดมันไป
ลมแรงวูบหนึ่งที่ออกมาจากพัดกระดูกขาวของบัณฑิตจาง
ไม่มีระดับความร้อนใดๆ
ไม่เย็นและไม่ร้อน
แต่ลมวูบนี้ราวกับมีมีดคมนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่ภายใน
ไม่ว่าสิ่งใดถูกพัดม้วนเข้าไปภายในสายลมนั้น ก็จะฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
มีเพียง ‘ผีเสื้อ’ ตัวนั้นที่ไม่ใช่
เห็นเพียงปีกข้างหนึ่งของมันกระพือสองครั้งและหลบไปทิศทางตรงข้ามอย่างรวดเร็ว และสามารถหลบพ้นลมที่พัดออกมาจากพัดกระดูกขาวของบัณฑิตจางไปได้อย่างง่ายดาย
พลาดไปหนึ่งหน แม้บัณฑิตจางจะค่อนข้างไม่พอใจ แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เขาว้าวุ่นรำคาญใจหรือตระหนกลนลาน
ทำครั้งหนึ่งไม่สำเร็จ ลองอีกครั้งก็ไม่สิ้นเรื่องแล้วหรือ
บัณฑิตจางรวบรวมสติอย่างเต็มกำลัง ก่อนโบกพัดไปทางซ้าย กลางและขวาของ ‘ผีเสื้อ’ ตัวนั้นอย่างละครั้ง
ลมทั้งสามวูบนี้ประสานกัน ทิศทางซ้อนสลับไปมายากคาดเดา
ท่ามกลางความวิเวกนั้น จึงได้ปิดเส้นทางรุกและถอยทั้งหมดของ ‘ผีเสื้อ’ ตัวนั้นเอาไว้
หากว่ามันเคลื่อนที่เพียงน้อย ก็จะถูกม้วนเข้าไปอยู่ภายในลมทั้งสามวูบนั้นและถูกสังหารในทันใด
แต่วันนี้บัณฑิตจางกลับคำนวณพลาดเสียแล้ว…
นอกจาก ‘ผีเสื้อ’ ตัวนั้นจะไม่รีบหลบไป มันยังหยุดนิ่งอยู่กับที่อย่างไม่เกรงกลัว
ราวกับว่าหมดกระบวนท่าจะใช้อีก ทำได้เพียงยอมให้จับโดยละม่อมเช่นนั้น
เมื่อนั้นเองบัณฑิตจางก็กลับรู้สึกตัดใจไม่ได้ขึ้นมาอีก…
แต่เมื่อลงมือไปแล้ว ตัวเขาก็ไม่สามารถทำอันใดได้
จวบจนลมสามวูบไปถึงข้างๆ ตัว ‘ผีเสื้อ’ และเห็นว่ากำลังจะดูดตัวมันเข้าไป ‘ผีเสื้อ’ ตัวนั้นก็พับปีกทั้งสองข้างห่อทั้งตัวเอาไว้ ก่อนร่วงลงสู่พื้น
ความพลิกผันที่มาอย่างกะทันหันนี้นอกจากจะทำให้บัณฑิตจางไม่ทันตั้งตัวแล้ว กลับยังหลบพ้นแรงลมทั้งสามวูบไปได้อย่างเหมาะเจาะสมบูรณ์แบบอีกด้วย
จวบจนเกือบตกถึงพื้น ‘ผีเสื้อ’ ตัวนี้ จึงสยายปีกอีกครั้ง ก่อนกระพือปีกอย่างรวดเร็วและพุ่งเข้าใส่บัณฑิตจาง
บัณฑิตจางเห็นดังนั้นก็หลบไม่ทัน ทำได้เพียงพับพัดลงเพื่อเก็บตัวพัดที่บอบบางและเอาสันพัดซึ่งเป็นกระดูกแข็งต้านรับเอาไว้
มีเสียงทุ้มๆ ดังขึ้น…
บัณฑิตจางต้องสั่นสะเทือนจนต้องถอยหลังไปครึ่งก้าว
เมื่อก้มหน้าลงมองพัดของตน บนกระดูกพัดกลับมีรอยสีขาวปรากฏขึ้นรอยหนึ่ง…
………………………………………