ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 465 มีรอยร้าวยิ่งต้องประวิงเวลา-1
บทที่ 465 มีรอยร้าวยิ่งต้องประวิงเวลา-1
……….
“พัดกระดูกขาวเล่มนี้ของข้า ติดตามข้ากรำศึกมาตลอดหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนทิ้งรอยจารึกเอาไว้”
บัณฑิตจางเอ่ยเมื่อเห็นรอยสีขาวบนด้ามพัด
พูดจบก็ใช้นิ้วหัวแม่มือถูไปมาบนรอยนั้นไม่หยุด
คล้ายต้องการลบรอยนั้นให้หายไป
แต่ไม่ว่านิ้วหัวแม่มือของเขาจะออกแรงถูอีกสักเท่าใดก็ไม่อาจทำให้รอยสีขาวนั้นจางลงได้แม้แต่น้อย…
เรื่องนี้ทำให้บัณฑิตจางทั้งกลัดกลุ้มทั้งเดือดร้อนรำคาญใจนัก
ทุกคนล้วนมีของล้ำค่าที่สุดของตนเอง
ไม่จำเป็นต้องมีราคาสูง แต่ฐานะของมันกลับไม่มีสิ่งอื่นใดสามารถแทนที่ได้
นับแต่วัยเด็ก เด็กทุกคนจะต้องมีของเล่นที่ตนเองรักมากที่สุด
เด็กผู้หญิงชอบตุ๊กตา
ส่วนเด็กผู้ชายชอบเล่นกระบองเล่นดาบ
ไม่มีของจริง และเล่นของจริงไม่ไหว เช่นนั้นก็ทำขึ้นเอง
บ้านเรือนที่มีฐานะดีหน่อยจะใช้เศษไม้ทำ
หลังจากขัดผิวที่มีเสี้ยนแทงมือออกจนเกลี้ยงเกลาแล้วค่อยใช้หมึกวาดรูปร่าง
จากนั้นค่อยๆ ตัดส่วนที่วาดไว้ออกมา
สุดท้ายทาสีทับชั้นหนึ่งกันชำรุดเสียหายและลบคราบสกปรก
ต่อให้เล่นตั้งแต่ต้นปีไปจนถึงท้ายปีก็ยังอยู่ดี
แต่เด็กส่วนใหญ่ไม่มีความพร้อมเช่นนี้ จึงได้แต่คิดเอาเองอยู่ภายในหัว
แม้จะเป็นแค่เศษไม้ก็ยังต้องการเงินทอง ต้องใช้เงินซื้อ
ด้วยเหตุนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้นดีใจ นอนไม่หลับกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง กระทั่งวันรุ่งขึ้นสายมากแล้วก็ยังไม่ตื่น จนต้องเจ็บบั้นท้ายเพราะถูกมารดาเอาไม้เรียวฟาด
แต่เมื่อเทียบกับภาพความน่าตื่นเต้นที่ปรากฏอยู่ภายในหัวเมื่อคืนนี้แล้ว ถูกไม้เรียวสักยกหนึ่งจะนับเป็นสิ่งใด
ไม้เรียวสามารถตีความฝันให้แตกกระจุย ทำให้คนกระโดดขึ้นมาจากผ้าห่มอันแสนอบอุ่นได้ แต่กลับไม่สามารถยั้งจินตนาการภายในหัวของคนได้
ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นความจริงหรือไม่ วัยเยาว์ก็จะดำเนินไปท่ามกลางภาพดั่งฝันและมายาหนแล้วหนเล่าอยู่เช่นนี้
แม้เวลานี้บัณฑิตจางจะเป็นชายชราและยังเป็นบัณฑิตด้วย
แต่ความชรานี้ต้องสั่งสมจากทุกๆ วัน
ขาดช่วงไปไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว
ก็เหมือนกับการหมุนเวียนของฤดูกาลทั้งสี่
ไม่มีใครสามารถเห็นหิมะร่วงลงจากฟ้าหลังเพิ่งพ้นผ่านฤดูใบไม้ผลิไป
ในทำนองเดียวกัน หลังจากน้ำแข็งทับถมกันนับพันลี้และหิมะโปรยปรายหมื่นลี้ สีขาวบริสุทธิ์เหล่านั้นก็จะถูกลมตะวันออกเฉียงใต้ที่อุ่นชื้นพัดให้ละลายจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นี่คือวิถีแห่งธรรมชาติ เป็นกฎเกณฑ์ของฟ้าดิน
ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านได้
ครั้งบัณฑิตจางอยู่ในวัยเด็กก็ไม่ใช่เด็กดีที่รู้ความว่าง่าย
เป็นที่รู้กันว่าเด็กดีของผู้ใหญ่ หมายความว่าต้องเป็นเด็กที่รู้ความว่าง่าย
ไม่ว่าเจ้าจะมีปัญญามากมายเท่าใด มีไหวพริบมากเพียงใด มีสิ่งที่เหนือกว่าผู้อื่นมากมายเท่าใด แต่หากเจ้าไม่รู้ความหรือไม่ว่าง่าย เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ใช่เด็กดี
คิดว่าเด็กทุกคนในทุกยุคสมัยล้วนต้องเคยผ่านการต่อสู้ในทำนองเดียวกันนี้มาแล้วทั้งสิ้น
การต่อสู้นี้มีทั้งใหญ่น้อย และยังแบ่งระดับความรุนแรงเป็นมากหรือน้อยด้วย
ตัวบัณฑิตจางเองก็ด้วยเช่นกัน
ครั้งยังเด็ก แม้ครอบครัวเขาจะไม่ร่ำรวย
แต่อย่างน้อยก็นับว่าเหนือกว่าปัญญาชนหลายคน
ปัญญาชนในเวลานั้นเป็นปัญญาชนที่จริงแท้
ไม่มุ่งหวังในชื่อเสียง ทั้งไม่ละโมบในผลประโยชน์
ความคิดอ่านทั้งมวลล้วนอยู่ในตำหรับตำราที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของหมึกอันแสนศักดิ์สิทธิ์
แม้ฟังแล้วจะดูเหมือนมือสะอาด จืดชืดไร้รสชาติ แต่ก็มีชีวิตอยู่อย่างไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหาร แค่นับไม่ได้ว่าร่ำรวยมั่งคั่งก็เท่านั้น
คนร่ำรวยในช่วงนั้นได้รับการอบรมที่ดียิ่ง
อย่างน้อยก็ไม่มีคนที่กล้าชี้หน้าด่าปัญญาชนว่ายากจนข้นแค้น
คนทำการค้าก็สุภาพและมีมารยาทต่อนักบัญชีที่ตนจ้างมาอย่างยิ่ง
เวลาที่จะได้กินบะหมี่จากแป้งขาวและข้าวสวยดีๆ ก็มีแต่ตอนปีใหม่ แต่นักบัญชีกลับมีปลาทอดหนึ่งตัวเป็นกับแกล้มสุราทุกคืน และยังมีสุราอีกหลายตำลึงด้วย
บิดาของบัณฑิตจางก็นับว่าเป็นปัญญาชนครึ่งหนึ่ง
เหตุใดจึงเป็นครึ่งหนึ่งนั้นหรือ
ก็คือร่ำเรียนได้ครึ่งหนึ่งก็ไม่เรียนต่อแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรครอบครัวของเขาก็นับว่าเป็นครอบครัวของผู้มีการศึกษา
เรื่องที่เขาเลิกเรียนกลางคันย่อมทำให้บรรพบุรุษอับอาย เป็นการกระทำที่ขาดความเคารพอย่างยิ่งยวดและทำให้ตระกูลมัวหมอง
แต่บิดาของเขากลับยืนกรานเช่นนั้น
จำต้องพูดทีเดียวว่าคำว่า ‘สามขวบดูชรา’ ที่ให้ดูนั้นไม่ใช่ดูตอนเด็กคนนี้ชรา
แต่ให้ดูที่บิดาของเด็กผู้นั้น
เด็กคนหนึ่งตอนอายุสามขวบ เมื่อดูการปฏิบัติตัวและสังเกตสิ่งที่เขาทำก็จะรู้ว่าบิดาของเขาเป็นคนเช่นใด
เป็นพวกที่เห็นแก่ตัวใจดำ ซ้ำยังแสวงหาชื่อเสียงอย่างไม่ถูกต้อง
หรือเป็นคนที่เรียบง่าย ซื่อตรงจริงใจ
หากมีคนมาเห็นบัณฑิตจางตอนอายุสามขวบ จากการอนุมานดังที่ว่านี้ก็จะต้องคิดว่าบิดาของเขาไม่เป็นผู้เป็นคนเสียอย่างยิ่ง!
ในวัยสามขวบ เดิมทีควรยังฉี่ราดอยู่และเล่นดินเล่นโคลน
แต่บัณฑิตจางกลับก้าวข้ามวัยนี้ไป เพราะเขาสนใจเพื่อนเล่นต่างเพศในวัยเดียวกันที่อยู่ในละแวกบ้านอย่างยิ่ง
เด็กชายอื่นๆ เล่นก่อกองดิน เล่นกิ่งก้านหลิว หรือไม่ก็มีเลียนแบบจอมยุทธ์สำนักคุ้มภัยที่ท่องไปในยุทธภพ
หรือไม่ก็ไปเป็นเสี่ยวเอ้อร์ในร้านสุราที่คอยพยักหน้าโค้งตัว
แต่บัณฑิตจางกลับดีนัก ไม่ได้สนใจการละเล่นเหล่านั้นแม้แต่น้อย
แต่มักออกไปที่ไกลๆ จากบ้านเพื่อหาดอกไม้ใบหญ้าแปลกๆ
เด็ดดอกไม้สีเหลืองเล็กๆ ดอกหนึ่ง จากนั้นก็ค้นหาในกอดอกไม้ เด็ดหญ้าป่าที่ค่อนข้างแข็งแรงไม่ขาดง่ายมามัดเอาไว้
สุดท้ายจึงใช้เศษหินแตกหลากหลายสีเป็นของประดับ ทำอย่างนี้ซ้ำไปมาหลายครั้ง พัดเล่มเล็กๆ ก็ทำเสร็จแล้ว
พอกลับถึงเรือนก็มักเป็นเวลาฟ้ามืด ราตรีเป็นสีหมึกแล้ว
คนเป็นแม่ไม่อาจวางใจได้ จึงถือตะเกียงมารออย่างจดจ่ออยู่ที่หน้าประตู
จวบจนเห็นบัณฑิตจางกลับเรือนมาด้วยรอยยิ้มเบิกบานจึงวางใจลงได้
นางยกมือขวาขึ้นเตรียมจะสั่งสอนสักยก แต่แล้วก็กลับค่อยๆ ลดมือลง กลายเป็นการตำหนิจากปากไปสองสามประโยค
นางย่อมเห็นว่าในมือของบัณฑิตจางถือของเล่นเล็กๆ มาด้วย
และเคยแอบกระซิบบอกข้างหูบิดาของบัณฑิตจางยามดับไฟเข้านอนว่า
“พ่อมัน เจ้าว่าเหตุใดเจ้าลูกคนนี้ถึงได้เล่นแต่ของของเด็กผู้หญิง ไม่เหมือนผู้ชายเลยสักนิด…อย่ารอให้โตอีกสักหน่อย จะถูกคนรังแกเอา!”
“จางอวี่ซู เจ้าเด็กคนนี้เป็นคนสังเกตยิ่ง ของที่พวกเด็กโง่พวกนั้นเล่น ไม่เคยเข้าตาเขาแต่อย่างใด!”
บิดาของบัณฑิตจางกล่าว
“เจ้ามองออกได้อย่างไร”
ลืมตาทำงานหลับตาพักผ่อน
กระทั่งนอนหลับฝัน บางครั้งก็ยังฝันเห็นว่าตนเองกำลังเตรียมเสื้อผ้ารองเท้ากางเกงผ้านวมไว้ให้ลูกในช่วงฤดูหนาวด้วยซ้ำ
“ข้าเป็นปัญญาชน จะยังมองเรื่องนี้ไม่ออกอีกรึ”
บิดาของบัณฑิตจางกล่าว
มารดาของเขาเบ้ปาก ดีที่รอบกายมีแต่ความมืดมิดจึงไม่มีใครมองเห็น
ทุกคราวที่สองผัวเมียคู่นี้ถกเถียงกัน ขอเพียงบิดาพูดคำว่า ‘ปัญญาชน’ ออกไป มารดาเขาก็จะเงียบลงทันใด…
ไม่ใช่ว่าปัญญาชนศักดิ์สิทธิ์สูงส่งจนทำให้มารดาของเขาสะทกสะท้านหวาดกลัว
เพียงแต่เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา บิดาของเขาก็จะต้องเริ่มร่ายยาวเรื่อยเปื่อย…
เอาแต่พูด ‘อนึ่ง ที่ ซึ่ง อัน’ ถ้อยคำสวยหรูฟังยากยังไม่ว่า ยังคอยพร่ำพูด “จื่อ[1] (ขงจื๊อ) ว่าไว้” ไม่ยอมหยุดเสียที
มารดาของเขาเป็นชาวบ้านทั่วไป อย่างมากก็แค่เคยเห็นแผ่นคำอวยพรคู่ที่ติดไว้ตรงประตูตอนปีใหม่ ยามจับพู่กันก็พอจะเขียนชื่อของตนเองได้อย่างบิดๆ เบี้ยวๆ เท่านั้น
ซึ่งนี่ก็นับว่าห่างไกลกว่าสตรีทั้งหลายในรัศมีเจ็ดแปดลี้ที่แทบไม่รู้หนังสือแล้ว
เรื่องเดียวที่ทำให้มารดาของบัณฑิตจางไม่เข้าใจเลยก็คือ ทั้งที่บิดาของเขาก็เป็นพ่อคนแล้ว เหตุใดจึงเอาแต่พูดว่า “จื่อ (ลูก) ว่าอย่างนั้น จื่อ (ลูก) ว่าอย่างนี้”
หรือว่าเมื่อร่ำเรียนหนังสือมากแล้ว ศักดิ์อาวุโสก็จะลดต่ำลง
นึกถึงก่อนที่นางจะแต่งงาน ตอนที่นางยังไม่ออกเรือน คนที่อายุมากที่สุดและมีศักดิ์อาวุโสสูงสุดในบ้านก็คือผู้ที่ไว้หนวดเคราสีขาวยาวเกือบหนึ่งฉื่อ
คำที่ท่านปู่พูด คนทั้งบ้านล้วนรับฟัง
แม้เขาจะเขียนไม่เป็นแม้แต่แซ่ของตนเองก็ตาม
แต่คำพูดที่เอ่ยออกมากลับมีน้ำหนักยิ่ง
ต้องคุกเข่าพร่ำพูดคำสิริมงคล เช่น ให้บรรพบุรุษอยู่อย่างสงบ มีความสุข สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว
ทุกคราวที่ย้อนนึกถึงภาพเหล่านั้น มารดาของบัณฑิตจางก็กลับไม่เคยสำนึกเสียใจที่ตนเองไม่ได้เรียนหนังสือ..
ศักดิ์อาวุโสของนางในครอบครัวก็ต่ำต้อยมากพออยู่แล้ว หากว่ายังไปเรียนหนังสืออีก พออ้าปากก็ต้องพูดว่า ‘จื่อ (ลูก) ว่าไว้’ อันใดนั่น ไม่ใช่ว่ายังต้องคารวะจางอวี่ซูบุตรชายของตนด้วยหรอกหรือ
คิดไปก็รู้สึกว่านี่ช่างเป็นเรื่องประหลาด…และไม่สามารถเข้าใจได้แต่อย่างใด
โลกของปัญญาชน นางเข้าไปไม่ถึง
ยังดีที่บิดาของบัณฑิตจางไม่ใช่คนที่ชอบโอ้อวดหรือยกตัวเองว่าฉลาดสูงส่งอยู่ตลอดเวลา
ขึ้นเสียงสูงกันสักพักหนึ่ง สองผัวเมียก็ยังสามารถกลับมามีชีวิตอยู่อย่างปรองดองได้เหมือนเดิม
วันรุ่งขึ้น บิดาของบัณฑิตจางทนเสียงพร่ำบ่นของภรรยาไม่ไหว จึงจำเป็นต้องไปสอบถามบัณฑิตจางว่าทำของเล่นเหล่านั้นเพราะเหตุใดกันแน่
เห็นแต่บัณฑิตจางบอกไปเรียบๆ ประโยคหนึ่งว่า “ให้คนไปแล้ว” และยังบอกให้เขาที่เป็นบิดากลับไปเสีย
บิดาของบัณฑิตจางคิดสักพักก็มีรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า ก่อนบอกไปประโยคหนึ่งว่า “เจ้าตัวดี ไม่เสียแรงที่เป็นลูกข้า! วันหน้าจะต้องเป็นผู้ล้ำเลิศเหนือคนเป็นแน่!”
พูดจบก็ลูบหัวกลมๆ ของบัณฑิตจางและไม่ได้สนใจเขาอีก
ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายตาของมารดาของเขาและนางก็อดกลอกตาขาวมองบนไม่ได้
ว่ากันว่ารักของบิดาดุจขุนเขา…
ขุนเขาคือสิ่งใด
ขุนเขาก็คือเอาแต่ตั้งนิ่งๆ อยู่ที่นั่น หมื่นปีก็ยังไม่เห็นจะมีความเปลี่ยนแปลงใด
หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ไม่ทำสิ่งใดทั้งนั้น ไม่คิดสิ่งใดทั้งนั้น ในสายตาก็ไม่มีเรื่องใดทั้งนั้น
เอาแต่เล่นครื้นเครงไม่ทุกข์ร้อนและพึ่งพาไม่ได้
พริบตาเดียวบัณฑิตจางก็มาถึงวัยที่ควรร่ำเรียนเขียนอักษรแล้ว
คนเป็นแม่อยากให้เขาไปเรียนงานฝีมือสักอย่าง
คิดว่าอย่างน้อยหลังจากที่ตนตายแล้ว ลูกจะไม่ได้อดอยากหรือไม่มีข้าวกิน
การร่ำเรียนหนังสือเเละเขียนอักษรในสายตาของนางนั้นเลื่อนลอยเกินไป
ใช้พู่กันจุ่มน้ำหมึก แล้วลากไปลากมาบนกระดาษสีขาวยกใหญ่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเป็นงานที่ไม่น่าเชื่อถือ…
ไม่เห็นหรอกหรือว่าชายชราที่นั่งอยู่ตรงแผงรับเขียนจดหมายในตลาด ยามฤดูหนาวมีแค่เสื้อนวมขาดๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
เอาแต่นั่งขดตัว คอยเอาเท้าถูกันไปมาเรื่อยๆ เพื่อสร้างความอบอุ่น เขียนจดหมายยาวๆ ฉบับหนึ่งก็ได้เงินมาแค่ไม่กี่อีแปะเท่านั้น
แม้แต่เสี่ยวหลงเปาครึ่งลูกก็ยังซื้อไม่ไหว
ทุกวันได้แต่กินแป้งย่างกับน้ำประทังความหิวโหย
ช้ำยังต้องแบ่งเป็นสามส่วน ไม่เช่นนั้นพอหลังเที่ยงก็จะกินหมด ภายหลังต้องหิวโหยจนเวียนหัวตาลาย แม้แต่ตัวอักษรสักตัวก็ยังมองไม่ถนัด พู่กันก็ถือไม่ไหว
ทุกคราวที่มารดาของบัณฑิตจางเดินผ่านแผงเขียนจดหมายก็ต้องมองเขาหลายครั้งด้วยความเวทนา
บางคราวที่ต้องเขียนจดหมายกลับไปบ้านมารดา กลับไม่ให้สามีของตนช่วยเขียนให้
แต่จะต้องจ่ายเงินและให้ชายชราผู้นั้นเขียนให้
ไม่ใช่เพราะอื่นใด แต่เพียงเพราะมีใจเมตตา
ชายชราผู้นั้นย่อมรู้ว่าในเรือนนางมีปัญญาชนผู้หนึ่ง และมีความสามารถสูงกว่าเขาไม่น้อยอีกด้วย
ปัญญาชนนล้วนมีอารมณ์สามส่วน ความทะนงตนเจ็ดส่วน
แรกเริ่มนั้นเขายืนกรานจะไม่เขียนจดหมายให้มารดาของบัณฑิตจางสักตัวและมักพร่ำบนว่า
“น้องสาว ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดี! แต่ความหวังดีของเจ้าผู้เดียวก็ยังไม่พอให้ข้าซื้อเสื้อผ้าใหม่และกินซาลาเปาไส้เนื้อได้ไม่ใช่หรือ คนในเรือนเจ้ามีความสามารถกว่าข้ามากนัก หากข้าเขียนจดหมายให้เจ้า จะไม่เป็นการสอนหนังสือสังฆราชหรอกหรือ ข้าทำไม่ได้จริงๆ…”
พูดจบชายชราก็โบกไม้โบกมือ
หากมารดาของบัณฑิตจางยังตามตื๊อไม่เลิก ชายชราก็จะไม่พูดต่ออีก
ผลุนผลันลุกขึ้น เริ่มเก็บแผงหนีกลับบ้านทันใด
จากนั้นอีกหลายครั้ง เมื่อใดที่ชายชราเห็นมารดาของบัณฑิตจางที่ตลาดก็จะไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบลุกขึ้นและเก็บแผงทันใด
มีหนหนึ่ง บัณฑิตจางออกมาซื้อของกับมารดาด้วย
คืนก่อนมารดารับปากเขาว่าเมื่อมาถึงตลาดในวันนี้จะซื้อขนมให้เขากินเล็กน้อย
ช่างบังเอิญเหลือเกิน กลับได้มาพบกับชายชราผู้นั้นอีกครั้ง
ชายชรากวักมือเรียกบัณฑิตจาง แม้ว่าบัณฑิตจางจะไม่เข้าใจว่าเขาต้องการสิ่งใดแต่ก็ยังเดินเข้าไปหา
ตลาดแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก ทั้งคนซื้อและคนขายล้วนเป็นคนที่อยู่ในท้องถิ่นเดียวกัน รู้ตื้นลึกหนาบางกันดี
บัณฑิตจางจึงไม่ได้มีความกังวลอันใด
เมื่อเขาเดินไปตรงหน้าแผงเขียนจดหมาย ชายชราผู้นั้นก็เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนวมที่ขาดวิ่น หยิบเอาน้ำตาลทรายหยิบมือหนึ่งออกมาและเอาใส่ในมือของเขา
“ลองกินดู หวานหรือไม่”
ชายชราถาม
บัณฑิตจางเอาใส่ปาก จากนั้นก็เอาแต่พยักหน้ารัว
เขาก็เคยขโมยกินน้ำตาลทรายที่อยู่บนโต๊ะทำอาหารในเรือนของตน
มีครั้งหนึ่งกินไปมาก กลัวจะถูกตี
จึงเทเกลือใส่ลงไปเล็กน้อยเพื่อเติมน้ำตาลให้เพิ่มขึ้น
นึกไม่ถึงว่าอาหารที่ทำออกมาในวันนั้นตอนเข้าปากจะเค็มแต่กินไปสักพักกลับหวาน
จวบจนกลืนลงไปแล้ว ผสมกันเป็นเนื้อเดียวก็กลับกลายเป็นรสขม
พอบัณฑิตจางกินอาหารนี้เข้าไปก็รู้ดีว่าไม่ชอบมาพากลแล้ว…
อาศัยจังหวะที่มารดายังไหวตัวไม่ทัน อ้างว่าจะไปถ่ายเบา แล้วหนีออกไปอย่างลอยนวล
คิดๆ ไปก็เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้กินน้ำตาลทรายหวานๆ เช่นนี้
เมื่อกินหมดแล้ว ก็เอื้อมมือออกไปจะขออีก
………………………………………
[1] จื่อ หมายถึง ขงจื๊อ มักเอ่ยถึงเมื่อต้องการอ้างคำสอนของขงจื๊อ แต่จื่อตัวเดียวกัน ก็แปลว่าลูกชายได้ด้วย
……….