ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 469 ราศีจอมยุทธ์ห้ามใช้พร่ำเพรื่อ-2
บทที่ 469 ราศีจอมยุทธ์ห้ามใช้พร่ำเพรื่อ-2
…………….
ก่อนนี้จัดการเสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นเช่นใด ย่อมต้องใช้วิธีเดียวกันลงมือกับจอมยุทธ์ผู้นี้
แต่เมื่อจอมยุทธ์ออกกระบี่และประกายกระบี่สะท้อนใบหน้าของคนชั่ว เขากลับอ่อนยวบลงในทันใด
คุกเข่าลงกับพื้นร้องไห้คร่ำครวญ
แต่นี่ยังไม่ใช่ตอนที่เจ้าหมิงหมิงชอบเป็นที่สุด
สิ่งที่ทำให้จิตใจนางเตลิดไปไกล ไม่ใช่ตอนที่ตัวร้ายยอมแพ้
แต่เป็นหลังจากที่จอมยุทธ์ผดุงคุณธรรมแล้วล้วนต้องปฏิเสธสินน้ำใจจากคนดี
ไม่พูดแม้แต่คำเดียว และไม่อยู่ต่อสักอึดใจเดียว
พลันสะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างเงียบๆ
ให้ดีที่สุดจะต้องเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้
นั่นเพราะดวงอาทิตย์ในเวลานี้สามารถลากให้เงาที่เบื้องหลังของจอมยุทธ์ยืดออกไปได้ยาวขึ้น…
แต่ถึงตอนนี้เจ้าหมิงหมิงกลับไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนตอนนั้นนานแล้ว
นางรู้ว่าจอมยุทธ์ก็ต้องกินข้าวสวมเสื้อผ้า
จอมยุทธ์ห้ามไม่มีเงิน
จอมยุทธ์ที่ไม่มีเงินก็ไม่ต่างอันใดกับขอทานหรือคนบ้า
การออกไปผดุงคุณธรรมนั้นต้องอยู่ในช่วงเวลาที่ตนมีเวลาว่างและไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่
นี่เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันอย่างยิ่ง
หากต้องการมีข้าวกินมีเสื้อผ้าสวมใส่ก็จำเป็นต้องมีเงินทอง
และเงินทองนั้นก็ต้องคอยใช้แรงแลกมา
พวกลูกคนรวยอาจอาศัยสมบัติของบรรพบุรุษและมาเป็นจอมยุทธ์ได้สักช่วงเวลาหนึ่ง
ในยามที่แม้แต่การหาเลี้ยงปากท้องตนเองก็ยังเป็นปัญหาแล้วจะไปเป็นจอมยุทธ์ได้อย่างไร
จะมีเรี่ยวแรงเหลือไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ คนที่มีเวลาว่างมากและไม่ต้องกังวลเรื่องกินเรื่องเสื้อผ้าย่อมไม่มีทางมีอยู่จริง
หากว่าปัจจัยพื้นฐานที่เอ่ยถึงก็ยังมีไม่เพียงพอ ก็เกรงว่าในแดนมนุษย์นี้จะไม่มีจอมยุทธ์จริงๆ
เรื่องนี้ตั้งแต่ที่เจ้าหมิงหมิงถูกหลอกตอนไปกินบะหมี่เต้าหู้ นางก็คิดได้จนกระจ่างแล้ว
สิ่งเดียวที่ยังคงไม่เข้าใจก็คือ จอมยุทธ์ในเรื่องเหล่านั้นล้วนพกกระบี่ยาวอยู่ที่เอวตลอดเวลา
ส่วนพวกคนชั่วกลับใช้ดาบ
โดยไม่ทันรู้ตัว เรื่องนี้ทำให้เจ้าหมิงหมิงรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับกระบี่แล้ว ดาบดูด้อยกว่าชั้นหนึ่ง…
อคติที่ว่านั้น จวบจนเวลานี้ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนได้
โดยเฉพาะคนของราชสำนักทุ่งหญ้าเช่นจิ้งเหยาก็ล้วนใช้ดาบทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้ความรู้สึกรังเกียจที่เจ้าหมิงหมิงมีต่อดาบยิ่งหยั่งรากลึกมั่นคง
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นจอมยุทธ์หรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“คุณหนูย่อมต้องเป็นจอมยุทธ์สิเจ้าคะ! และยังเป็นยอดจอมยุทธ์หญิงในหล้าด้วยเจ้าค่ะ!
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยทั้งหัวเราะฮิๆ
“แต่พวกเราไม่ได้ทำเรื่องที่จอมยุทธ์ควรทำเลย”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
นางเอาแขนขวาวางบนหัวเข่า ฝ่ามือเท้าแก้มงามแต่กลับดูห่อเหี่ยวใจ
เรื่องที่นางสนทนากับเกาลัดคั่วน้ำตาลเมื่อครู่นี้ กลับไปปลุกเร้าอารมณ์ในใจที่สงบนิ่งไปนานแล้วขึ้นมา
คล้ายกับคนที่ใกล้ตาย ไม่ว่าทำสิ่งใด พูดสิ่งใดล้วนไม่มีความหมายทั้งสิ้น
แต่คำพูดของจอมยุทธ์ผู้หนึ่ง โดยเฉพาะจอมยุทธ์เลื่องชื่อ เมื่อกล่าวออกไปแล้วมักมีความหมายเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในนั้น
แม้ว่าฟังไปแล้วจะเป็นคำพูดที่ไม่สอดคล้องกับความจริงเอาเสียเลย แต่คนอื่นที่ได้ยินคำพูดนี้ก็จะต้องพยายามลากหน้าดึงหลัง เพื่อหาคำอธิบายที่เกินคาดให้กับคำพูดนั้นให้ได้
“คุณหนูว่าในแดนมนุษย์นี้จะมีสมบัติซ่อนอยู่จริงหรือไม่เจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
ในเรื่องเล่าจอมยุทธ์ ครึ่งเรื่องมีคนชั่ว ส่วนอีกครึ่งเรื่องมีสมบัติ
ซึ่งเป็นคำที่เย้ายวนจิตวิญญาณคนยิ่ง
เมื่อใดที่เอ่ยถึงคำว่าสมบัติ ทุกคนล้วนใจเต้นแรง ชีพจรขยาย สองตามีความหวังพรั่งพรูออกมา
“นั่นต้องดูที่ตัวเจ้าเองแล้ว”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ยามที่ท้องหิว สำหรับเจ้าแล้วเกาลัดคั่วน้ำตาลห่อหนึ่งก็เป็นสมบัติล้ำค่าแล้วไม่ใช่หรือ”
เจ้าหมิงหมิงหยุดสักพักจึงพูดต่อ
“เป็นตามหลักการนี้จริงเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลคิดสักพักก็พยักหน้าแล้วเอ่ย
กลุ่มของจิ้งเหยาที่อยู่ข้างหลังรถม้า คอยตามอยู่อย่างไม่ช้าไม่เร็ว
พวกเขากับเจ้าหมิงหมิงต่างรักษาระยะห่างระหว่างกันด้วยความรู้ใจที่อธิบายได้ยากชนิดหนึ่ง
รถม้าของเจ้าหมิงหมิงแล่นไปเร็วเพียงใด พวกเขาก็เดินไวเท่านั้น
ไม่แข่งไม่แย่ง ไม่รุกไม่ชิง
ซึ่งสิ่งนี้ก็คือความสมดุลของระยะห่างระหว่างพวกเขากับเจ้าหมิงหมิง
มักวนเวียนอยู่ในที่ที่มองเห็นในระยะสายตา ใกล้จะถึงแต่ยังไม่ถึง
“ฮ่าๆ นางกินผลไม้นั่นเขาไปเเล้ว…”
เกาเหรินเอ่ยเมื่อเห็นเกาลัดคั่วน้ำตาลกินผลไม้ป่าสีแดงบนต้นไม้ไปคำหนึ่ง
จิ้งเหยาถาม
“ผลไม้นี้เรียกว่าลูกซานจา!”
เกาเหรินกล่าว
จิ้งเหยาขมวดคิ้ว
ชื่อนี้ฟังดูแล้วก็ปกติดี เหตุใดจึงทำให้เกาเหรินดีอกดีใจเพียงนี้
“ผลไม้นี้มีสิ่งใดผิดปกติหรือ”
จิ้งเหยาอดถามไม่ได้
ของหลายอย่างในอาณาจักรห้าอ๋อง เขาเองก็ไม่ค่อยรู้จักลึกซึ้งนัก
มาอาณาจักรห้าอ๋องเป็นเวลานานแล้ว มีผลไม้อย่างน้อยนับร้อยชนิดที่เขาไม่เคยได้ยินและไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“ก็ไม่มีข้อเสียใหญ่โตใด…เพียงแต่เมื่อกินเข้าไปแล้วธาตุลมที่หมุนเวียนจะพลุ่งพล่านอยู่ในท้องไม่หยุด สุดท้ายจะต้องหาทางออก เข้าทำนองพยัคฆ์กลับป่าดง มังกรลงมหานที แล้วก็จะโล่งในทันใด!”
เกาเหรินกล่าว
แต่จิ้งเหยากลับฟังไม่เข้าใจ
แม้เขาจะฟังออกทุกคำในคำพูดนี้
แต่เมื่อเรียงร้อยเข้าด้วยกันก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกาเหรินพูดมีความหมายใดกันแน่
“ก็คือผายลมอย่างไรเล่า! พอกินลูกซานจานั่นเข้าไป อย่างน้อยในเวลาหลายชั่วยามต้องเอาแต่ผายลม…!”
เกาเหรินพูดอย่างรำคาญใจ
เมื่อครู่นี้เขารู้สึกว่าคำพูดที่ตนพูดไปงดงามยิ่ง
ไม่เพียงสามารถบอกความหมายได้โดยอ้อม ยังรู้จักเลือกถ้อยคำทั้งไพเราะสวยหรู
นึกไม่ถึงว่ากลับได้มาเจอกับชาวทุ่งหญ้าที่หยาบกระด้างเช่นจิ้งเหยา จึงไม่สามารถเข้าใจความหมายแฝงอันแสนงดงามในถ้อยคำของเขาได้
ด้วยความจนใจ จึงได้แต่ต้องพูดออกไปตรงๆ ช่างน่าเบื่อนัก…
หลายเรื่องอย่างไรก็อ้อมค้อมสักหน่อยเป็นดี
หากว่าแผ่ออกจนหมดอยู่ตรงหน้า ไหนเลยจะยังหลงเหลือเสน่ห์อยู่
“ในเมื่อเป็นดังนี้ เหตุใดเจ้าจึงดีใจเพียงนี้”
จิ้งเหยาถาม
“ก็ข้ายังไม่เคยเห็นอสูรแปลงกายกินลูกซานจานี่มาก่อน…เรื่องที่ไม่เคยเห็นมาก่อนล้วนเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง ย่อมทำให้ข้าเบิกบานดีอกดีใจ!”
เกาเหรินกล่าว
จิ้งเหยากลับรู้สึกว่าเขาไร้สาระนัก
พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าบนยอดไม้ข้างหน้ามีนกอยู่ตัวหนึ่ง
พอบอกให้ผู้ติดตามเอาธนูมาให้ เขาก็ยิงนกตัวนั้นร่วงลงมาในทันใด
“เหตุใดเจ้าต้องยิงนกด้วย”
เกาเหรินถาม
“เดินทางอยู่เช่นนี้ น่าเบื่อเกินไป…ข้าอยากหาเรื่องทำสักหน่อย!”
จิ้งเหยากล่าว
“สรรพสิ่งล้วนมีวิญญาณ เหตุใดเจ้าจึงสังหารชีวิตอย่างไร้เหตุผลเล่า”
เกาเหรินเอ่ยคำทรงพลังเปี่ยมคุณธรรม
จิ้งเหยาตกตะลึงเพราะคำพูดของเขา ก่อนจะหัวเราะลั่นขึ้นมา
ยังไม่ต้องบอกว่าตัวเขาเป็นผู้นำหน่วยแห่งราชสำนักทุ่งหญ้า เดิมทีก็ฆ่าฟันมาตลอดทาง
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เกรงว่าเกาเหรินจะเป็นคนที่ไม่มีสิทธิ์พูดคำนี้เป็นที่สุดในใต้หล้า
สรรพสิ่งมีวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องเท็จ
เลือดสดและชีวิตคนที่เคยผ่านมือเกาเหรินหาได้มีน้อยกว่าจิ้งเหยา
เมื่อเห็นเขาพูดจาใหญ่โต ซ้ำยังเปี่ยมด้วยคุณธรรม จิ้งเหยาก็รู้สึกแค่อยากหัวเราะเท่านั้น
เบิกบานใจยิ่งกว่าตอนที่เกาเหรินเห็นเกาลัดคั่วน้ำตาลกินลูกซานจาก่อนหน้านี้ไม่รู้กี่เท่า!
“ดูจากทิศทางแล้ว พวกนางกำลังจะไปที่เหมืองแร่”
เกาเหรินเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
เมื่อเอ่ยถึงเหมืองแร่ ใจของจิ้งเหยาก็ ‘ชะงัก’ หนหนึ่ง
นับตั้งแต่เกาเหรินบอกว่าไม่สามารถซื้อศรธนูจากร้านเครื่องธนูได้ ได้แต่ต้องไปซื้อเหล็กที่เหมืองแร่เพื่อนำมาหลอมและตีเอาเอง จิ้งเหยาก็คอยคิดถึงที่แห่งนี้ไม่เคยลืม
นึกไม่ถึงว่าเดินอ้อมมารอบใหญ่ ในที่สุดก็ได้ไปที่นั่นแล้ว
คิดๆ ไปใจของจิ้งเหยาก็กลับหวาดกลัวขึ้นมา
ความรู้สึกประเภทนี้ เขาไม่เคยมีมาก่อน
ครั้งแรกที่เขาได้ขึ้นขี่หลังหมาป่าและขี่มันทำศึก เขาก็เคยหวาดกลัวมาก่อน
แต่หลังจากความกลัวนั้นกลับเป็นความตื่นเต้นสุดขีด
เจตจำนงแห่งความกระหายเลือดและการรบราฆ่าฟันภายในกายของชาวทุ่งหญ้า ถูกการสังหารในสนามรบกระตุ้นให้ออกมาเต็มที่ ท้ายที่สุดก็สามารถเอาชนะความหวาดกลัวและพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวตาย
แต่ความกลัวที่เป็นอยู่ในตอนนี้ คือความกลัวที่ไม่มีความรู้สึกอื่นใดที่สามารถมาบดบังหรือแทนที่ได้
เหมืองแร่แห่งนั้นก็เหมือนกับเกาะกลางทะเลเกาะหนึ่ง
บนเกาะมีหมอกหนาแผ่ปกคลุม
ไม่ว่าจะเข้าใกล้เกาะกลางทะเลแห่งนี้เท่าใด แต่หากยังไม่ได้ขึ้นไปบนเกาะก็จะไม่มีทางเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงได้
ความหวาดกลัวที่ความไม่รู้นำมานี้ ไม่อาจขนานนามได้
อย่างน้อยจิ้งเหยาก็ไม่อาจหาภาษาใดหรือถ้อยคำใดมาอธิบายมันได้
แต่เมื่อเทียบกับความไม่รู้ประเภทนี้ สิ่งที่เขาหวาดกลัวยิ่งกว่ากลับเป็นเกาเหริน…
จะอย่างไรเหมืองแร่ก็เป็นสิ่งไร้ชีวิต เป็นเพียงสถานที่แห่งหนึ่ง
อยู่ตรงนั้นนิ่งๆ
วิ่งไม่ได้ ทั้งกระโดดโลดเต้นไม่ได้ ยิ่งไม่ร่ำไห้ไม่โวยวาย
แต่เกาเหรินกลับต่างออกไป
เขามีสมอง มีปาก
มีมือมีเท้า
สามารถทำทุกเรื่องในหล้านี้ที่เกินกว่าคนจะคิดได้
ซึ่งข้อนี้ยากจะไม่ทำให้จิ้งเหยาคิดมาก
ทั้งหมดนี้จะเป็นอุบายที่เกาเหรินวางแผนมาอย่างดีอยู่ก่อนหน้าแล้วหรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง เหมืองแร่ หรือสำนักปากสอบที่ปรากฏตัวออกมาท้ายสุด และเจ้าหมิงหมิงซึ่งเป็นชนชั้นสูงของอสูร
เบี้ยหวัดสามล้านตำลึงของทัพทหารชายแดนอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง ดูไปแล้วเป็นผลลัพธ์ที่ไม่น้อยทีเดียว
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เพียงพอให้ต้องชักนำทั้งลมทั้งฝนจากทั่วทิศ และอำนาจหลากหลายรูปแบบมากมายเพียงนี้มารวมไว้ด้วยกัน
จิ้งเหยายังไม่รู้ว่ากรมสอบสวนที่หลิวรุ่ยอิ่งเป็นผู้แทนนั้นไปดักรอเขาอยู่ที่เหมืองแร่นานแล้ว
หากรู้สถานการณ์นี้ จิ้งเหยาผู้ฮึกเหิมโหดเหี้ยมก็จะต้องหยุดไม่ไปต่อและใคร่ครวญดูให้ถี่ถ้วน
“เงินทองพวกเราล้วนนำมาด้วย”
จิ้งเหยากล่าว
หากต้องมากังวลกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ไม่สู้จัดการเรื่องใต้เปลือกตาให้เรียบร้อยไปทีละเรื่องตามลำดับดีกว่า
คนของสำนักปากสอบย่อมไม่ได้หมายตาเบี้ยหวัดสามล้านตำลึงนี้…
เรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
สิ่งที่ต้องการก็มีเพียงแม่นางน้อยผู้มีฐานะลึกลับเท่านั้น
ใช้คนแลกคนเป็นการค้าที่คุ้มค่าและน่าเชื่อถือที่สุด
ก้อนเงิน อย่างไรก็คือเงิน สามารถบอกจำนวนที่ชัดเจนได้
แต่ที่นำมาเปรียบเทียบกัน ไม่ได้จะบอกว่าคนมีค่ามากมายอันใด
แต่ความผูกพันระหว่างคนด้วยกันกลับประเมินค่าไม่ได้ และเกรงว่าจะเป็นของเพียงสิ่งเดียวในหล้าที่ไม่มีทางตั้งราคาได้ชัดเจน
เจ้าจะไม่มีทางรู้ว่าความผูกพันนี้เริ่มขึ้นอย่างไร ทั้งไม่รู้ว่ามันจะยุติลงเมื่อใด
ในระหว่างนั้นจะมีความผันผวนมากมายเกิดขึ้น
บางทีแม้จะตัดขาดอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่จากนั้นเนิ่นนานกลับยังคงไม่อาจลบเลือนไปจากใจได้
คนของสำนักปากสอบมองออกว่าจิ้งเหยาเป็นบุรุษที่มีความรู้สึกตรงไปตรงมา
แต่ไรมาบุรุษเช่นนี้ล้วนมีความรับผิดชอบยิ่ง
ชายชาวทุ่งหญ้าพูดคำไหนคำนั้น พูดจามีน้ำหนักเชื่อถือได้เสมอมา และรังเกียจพวกตีสองหน้าเป็นที่สุด
แม้จิ้งเหยาไม่เก่งกาจในการใช้ภาษาถ่ายทอดสิ่งที่ตนคิดอยู่ในใจ แต่เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้วก็ยากจะคลอนแคลนได้
“ในช่วงเวลาหนึ่งทำได้เพียงเรื่องเดียว หากไม่จับตัวแม่นางน้อยนั่นกลับมาและกลับไปแลกเปลี่ยนคน ก็ต้องใช้เบี้ยหวัดซื้อแร่เหล็กเพื่อมาทำหัวศร”
เกาเหรินกล่าว
“ที่เจ้าพูดหมายถึงว่าข้าจะต้องเลือก?”
จิ้งเหยาถาม
“หากคนเราอยากนั่งเก้าอี้สองตัวในเวลาเดียวกัน ก็ยากจะไม่ตกลงไประหว่างกลาง”
เกาเหรินกล่าว
“แต่ตอนที่ข้ากินข้าวดื่มสุรา ก็ใช่ว่าตะเกียบจะคีบอาหารได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
จิ้งเหยายิ้มพลางโต้เถียง
เกาเหรินกลับไม่ได้ตอบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
คงเพราะเขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่จิ้งเหยาพูดนั้นก็มีเหตุผล
มุมมองของคนทั้งสองต่างกัน และต่างยืนอยู่ในจุดยืนของตนจึงถูกต้องทั้งสิ้น
หลายเรื่องก็เป็นเช่นนี้
มีแค่ต่างกัน แต่ไม่มีถูกผิด
………………………………………
…………….