ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 470 ราศีจอมยุทธ์ห้ามใช้พร่ำเพรื่อ-3
บทที่ 470 ราศีจอมยุทธ์ห้ามใช้พร่ำเพรื่อ-3
…………….
ณ เหมืองแร่รัฐหง
วันนี้หลิวรุ่ยอิ่งตื่นเช้ามาก
นับตั้งแต่เขาได้พบกับเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา เขามักรู้สึกว่าหลับไม่ค่อยสนิท
ส่วนที่ว่าเป็นเพราะเหตุใดนั้น….
ตัวหลิวรุ่ยอิ่งเองก็บอกสาเหตุออกมาไม่ได้เช่นกัน
แต่หลายวันมานี้เขาล้วนเข้านอนแต่หัวค่ำ
ยามพลบค่ำก็เอาอย่างพวกคนงานในเหมืองแร่ ด้วยการถือสุราหมักหนึ่งชาม บนชามสุราวางตะเกียบไว้คู่หนึ่ง บนตะเกียบวางเต้าหู้แห้งไว้หนึ่งแผ่น
พวกคนงานในเหมืองแร่ยึดพื้นที่ตรงหน้าประตูร้านซึ่งเป็นตำแหน่งที่สบายที่สุด
หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่มีแก่ใจจะไปยื้อแย่งที่นั่ง จึงได้แต่ไปย้ายม้านั่งยาวจากข้างในโถงออกมาวางตรงหน้าประตูและนั่งอยู่กลางม้านั่งอย่างเรียบร้อย
ตอนที่เพิ่งออกเดินทาง เขาไม่คุ้นเคยกับม้านั่งยาวแสนเรียบง่ายนี้มาก่อน
จะว่าไปแล้วม้านั่งยาวเช่นนี้ หากจะนั่งให้มั่นคงก็จำเป็นต้องมีความชำนาญเล็กน้อย
ประการสำคัญที่สุดก็คือห้ามเผื่อแผ่!
เผื่อแผ่เป็นคุณธรรมงดงามที่ไม่เลวทีเดียว นี่ไม่ใช่เรื่องเท็จ
เมื่อได้พบกับคนชราและคนอ่อนแอ ตนเองยอมช้าลงสักก้าวให้พวกเขาเดินไปก่อน
เมื่อได้รับคำชมจากผู้คน ต้องรู้จักประมาณตน อ่อนน้อม และปฏิเสธอย่างมีมารยาท
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อดีที่การเผื่อแผ่นำมาให้
อย่างน้อยก็ทำให้คนผู้หนึ่งมีชีวิตอยู่อย่างสงบ ดีกว่าพวกโลภมากจนหน้ามืดตามัวตั้งไม่รู้กี่เท่า
แต่คุณธรรมงดงามนี้ใช้ได้ดีแค่ในเมืองหลวง ในยุทธภพกลับใช้ไม่ได้การ…
ความเผื่อแผ่นี้ ยามเข้าร่วมงานพิธีใหญ่ๆ และนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีพนักพิงหลังก็ยังใช้ได้ดียิ่ง แต่กับม้านั่งยาวนี้กลับไม่ได้การแต่อย่างใด
วันนั้น หลิวรุ่ยอิ่งยังอยู่ในเมืองหลวง รู้สึกเพียงว่าแสงแดดกำลังพอดี สีสันแห่งฤดูใบไม้ผลิกำลังสดใส
ตัวเขาเบาดั่งนกนางแอ่น นั่งบนหลังม้าสะบัดแส้วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ความลิงโลดได้ใจเปี่ยมล้นในกายสามารถฟังออกได้จากเสียงฝีเท้าม้าอันแสนรวดเร็วนั้น
คืนก่อนเขาไปพบชายชราเลี้ยงม้า
ต่างฝ่ายต่างค่อนแคะกันสองสามประโยคเป็นการกระเซ้าเย้าแหย่
ชายชราเลี้ยงม้าก็มองออกว่าหลิวรุ่ยอิ่งตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุด
เกรงว่าคืนนี้ยากจะนอนหลับสนิทได้
นี่เป็นเรื่องปกติเมื่อได้สมดังปรารถนา
ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น
เรื่องที่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุดเมื่อครั้งยังเล็กก็คือคืนส่งท้ายปี
แม้เขาจะเติบโตมาในกรมสอบสวนซึ่งเรียกได้ว่าเป็นที่ที่ไม่มีวันสิ้นปีที่สุดในใต้หล้า
ไม่มียันต์ไม้ท้อทำใหม่ๆ ทั้งไม่มีโคมสีแดงสว่างไสว ไม่มีแม้แต่เสียงประทัด
ว่ากันตามหลักแล้ว ในสภาพแวดล้อมที่สงบเงียบเช่นนี้ ย่อมสามารถหลับไปได้จนถึงเที่ยงของอีกวัน
ช่วงปีใหม่เป็นเวลาถึงห้าวันเต็มๆ หลิวรุ่ยอิ่งไม่ต้องตื่นไปสำนักศึกษาแต่เช้า และไม่มีเรื่องสำคัญจำเป็นอื่นๆ ที่ต้องทำ
เรื่องที่ต้องเป็นกังวลเพียงเรื่องเดียวก็คือจะเล่นอะไรและเล่นอย่างไร
ในคืนส่งท้ายปี ช่วงเวลาที่ฟ้ากำลังจะมืดแต่ยังไม่มืด พ่อบ้านของกรมสอบสวนจะพาลูกสมุนสองสามคนถือตะกร้าใส่ของกินหนึ่งตะกร้ามาแจกจ่ายให้ทุกคนตามลำดับห้องพัก
นอกจากหลิวรุ่ยอิ่งแล้ว เด็กที่เหมือนกับเขาก็ยังมีอีกสองสามคน
บิดามารดาล้วนเป็นผู้เสียสละแห่งกรมสอบสวน นอกจากบิดามารดาแล้วก็ไม่มีญาติอื่นอีก จึงได้แต่ให้กรมสอบสวนเลี้ยงดู
ดูคล้ายเลี้ยงมาอย่างดี แต่ความจริงแล้วกลับบ่มเพาะให้เด็กเหล่านี้กลายเป็นอาวุธที่คมกริบที่สุดของกรมสอบสวน
ตะวันเพิ่งคล้อยลงประจิมทิศ เขาก็เปิดประตูห้อง ยกเก้าอี้มาวางอยู่ตรงกลางห้องและนั่งลง
ขาข้างหนึ่งพาดอยู่บนที่วางแขน
ท่านั่งเช่นนี้ ปกติแล้วจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำ
ไม่ว่าพ่อบ้านหรืออาจารย์ในสำนักศึกษามาเห็นเข้าก็เลี่ยงถูกบ่นว่าไม่ได้
ยกเว้นแค่หลายวันนี้เท่านั้น
ปีใหม่มักมีมนต์ขลังแสนพิเศษอย่างหนึ่ง เมื่อคนที่ตกทุกข์ได้ยากได้ยินว่าถึงปีใหม่ก็จะเบิกบานใจมีความสุขขึ้นมาในทันที
ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคน มีแค่คนส่วนมากที่เป็นเช่นนี้เท่านั้น
ขอเพียงผ่านพ้นปีหนึ่งไป ความทุกข์ทั้งมวลที่ผ่านมาก็จะหายวับไปดั่งควันจางเมฆสลายทันที แสงสว่างของปีใหม่ต้องเป็นการเริ่มต้นที่ดี ควรค่าแก่การปรารถนาและก้าวไปข้างหน้า
หลิวรุ่ยอิ่งนั่งๆ ไปก็หลับไปบนเก้าอี้
ลำตัวท่อนบนเอนไปข้างหลัง อ้าปากกว้าง หลับไปด้วยท่าทางไม่น่าดูเป็นที่สุด
หากเป็นเวลานี้ ถ้าให้เขานั่งในท่านั้น อย่าว่าแต่จะนอนหลับเลย แม้แต่ให้นั่งอยู่เฉยๆ เป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาก็เกรงว่าจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
ตอนยังเด็กคงเพราะมีความพิเศษ
เพียงแต่ความพิเศษนี้กลับค่อยๆ จางหายไปเมื่อเติบโตขึ้น
ในวันนี้หลิวรุ่ยอิ่งจะต้องตื่นขึ้นด้วยเสียงฝีเท้าที่เร่งร้อน
พ่อบ้านสวมรองเท้าหุ้มข้อ พื้นรองเท้าหนาซึ่งเป็นเครื่องแบบที่กรมสอบสวนกำหนด ยามเขาเดินอยู่บนระเบียงทางเดินยาวที่ปูด้วยหินครามข้างนอกประตูจะทำให้เกิดเสียงดังสะท้อน
ฟังดูแล้วคล้ายเสียงฝีเท้าม้าที่เพิ่งเปลี่ยนเกือกมาใหม่ แต่ผู้ติดตามข้างหลังพ่อบ้านกลับสวมร้องเท้าผ้าฝ้ายพื้นพันชั้นธรรมดาซึ่งมีเสียงทุ้มหนัก จึงสามารถลดทอนเสียงดังสะท้อนนั้นไปได้
เมื่อได้ยินเสียงเหล่านี้ หลิวรุ่ยอิ่งก็จะสะดุ้งขึ้นมาจากเก้าอี้และกระโดดลงมา ซ้ำยังไม่ลืมดึงเก้าอี้กลับไปที่เดิมอย่างรวดเร็วด้วย
เมื่อพ่อบ้านเห็นประตูห้องเปิดอยู่ก็จะเดินตรงเข้าไปทันใด
มีรอยยิ้มอ่อนๆ บนใบหน้า ประสานมือเข้าด้วยกัน พูดคำมงคลกับหลิวรุ่ยอิ่งจนเมื่อหลิวรุ่ยอิ่งคำนับกลับจึงพยักหน้าหันหลังจากไปและไปยังห้องถัดไป
ทุกสิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คล้ายกับเป็นความฝันที่ดูไม่เหมือนจริง
จะมีก็แต่ตะกร้าไม้ไผ่ใบหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาตรงชั้นวางตรงขอบหน้าต่างภายในห้องเท่านั้น
ของทุกอย่างในตะกร้าล้วนใช้กระดาษแดงห่อเอาไว้ ดูแล้วเป็นสิริมงคลยิ่ง
และยังเป็นของที่มีสีสดเพียงชิ้นเดียวภายในห้องด้วย
หลิวรุ่ยอิ่งรีบปิดประตูห้อง ก่อนวิ่งไปตรงชั้นวางตรงขอบหน้าต่างอย่างอดใจรอไม่ไหว และฉีกกระดาษแดงที่ห่ออยู่ข้างนอกออกอย่างรวดเร็ว
ของจำพวกของกินและตุ๊กตาปั้นข้างในนั้น เขากลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือซองอั่งเปาที่อยู่ก้นตะกร้า
ในช่วงปีใหม่ของทุกปีกรมสอบสวนจะให้ค่าขนมเพิ่มเติมแก่เด็กเหล่านี้
แม้ย้อนกลับไปมองในตอนนี้จะไม่ใช่เงินมากมาย แต่ในเวลานั้นกลับเป็นเงินก้อนโตทีเดียว
ปีก่อนได้สามตำลึงเงิน
ปีนี้กลับได้มากกว่าปีก่อนสองตำลึง เป็นเงินตั้งห้าตำลึงทีเดียว
นอกจากอั่งเปาแล้ว ข้างในตะกร้ายังมีส้มลูกโตๆ อีกสองผล
ตรงขั้วส้มที่บุ๋มลงไปจะเอาชาดแต้มเป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่ง
ว่ากันว่านี่เป็นสวรรค์ประทานพร
ขอเพียงกินส้มแห่งพรประเสริฐไปหนึ่งผลในเช้าวันปีใหม่ก็จะทำให้ตลอดทั้งปีนี้ไร้เรื่องขัดข้อง
ส่วนส้มอีกผลนั้นต้องรอให้ถึงวันที่ห้าหลังปีใหม่ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลปีใหม่ก่อนจึงจะกินได้
เพื่อให้แน่ใจว่าตลอดทั้งปีนี้จะมีแต่ความราบรื่น
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ใช่คนงมงาย และเขาก็ไม่ชอบกินส้ม
ส้มแห่งพรเมื่อปีก่อนถูกเขาวางเอาไว้บนชั้นวางตรงขอบหน้าต่างจนมันกลายเป็นส้มตากแห้งไปทั้งเช่นนั้น
เมื่อสหายคนอื่นๆ เห็นเข้ายังต่อว่าเขาอย่างหนัก
เพราะรู้สึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งแหกกฎ ตลอดทั้งปีนี้จะไม่ได้มีชีวิตดีๆ
แต่แรกนั้นหลิวรุ่ยอิ่งฟังคำเหล่านี้ก็ยังรู้สึกหวั่นๆ อยู่ในใจ…
หากว่ามีเทพสวรรค์อยู่จริงๆ เล่า
แล้วตนเองไม่กินส้มที่เขาประทานพรมาให้ เขาจะโกรธหรือไม่
ความหวั่นใจนี้คงอยู่มาเนิ่นนาน
ทว่าก็ทำให้เขาย้อนคิดถึงหนึ่งปีที่ผ่านมา และพบว่าไม่ได้มีเรื่องขัดข้องใหญ่โต
คนที่กินส้มแห่งพรกับคนที่ไม่ได้กินเช่นเขาก็ไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่โตอันใด
คิดถึงตรงนี้หลิวรุ่ยอิ่งก็ยิ้มออกมา จึงได้วางส้มแห่งพรนั้นไว้ตรงชั้นวางตรงขอบหน้าต่างต่อไป
คืนวันนั้น เหมือนถูกกำหนดมาว่าจะไม่ได้นอน
เพราะเมื่อใดที่หลับตาลงก็จะเห็นภาพแห่งความครึกครื้นในตลาดตอนเดินออกจากกรมสอบสวนในวันพรุ่ง
เขาคิดคำนวณอยู่ในใจว่าจะใช้เงินห้าตำลึงนี้อย่างไรดี
อย่าได้กลายเป็นว่าซื้อแต่สิ่งนี้แต่ไม่ได้ซื้อสิ่งนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้เป็นคนตะกละ สิ่งที่เขาอยากซื้อที่สุดก็คือพวกของเล่นที่ดูน่าสนุก
แต่ของเล่นดังที่ว่ามักแพงกว่าของกินมากนัก
แม้เงินห้าตำลึงก็นับว่าไม่น้อยเลย แต่การซื้อของจะมีวันพอได้อย่างไร
และเขาก็ยังชอบการแสดงปาหี่ผาดโผนต่างๆ
คนอื่นดูจบแล้วก็พากันแยกย้ายทันใด แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับทำหน้าหนาไม่ลง…
ไม่ว่าจะมากน้อย อย่างน้อยเขาก็ต้องให้ไปสักสองสามอีแปะ
เขาก็เคยได้พบกับเด็กในวัยไล่เลี่ยกับเขา หลังดูการแสดงจบแล้ว พอถาดขอรับเงินรางวัลมาถึงตรงหน้าก็ฉวยโอกาสหยิบเงินไปกำหนึ่ง ก่อนจะถอยหลังและสาวเท้าวิ่งหนีไป
แต่เพราะเขาไม่กล้าพอ
นอกจากนี้ เขาก็ไม่ค่อยมั่นใจกับความเร็วที่ตนเองจะวิ่งได้
หากบังเอิญถูกจับได้ วันหน้าจะเงยหน้ามองใครได้อีก
ผ่านไปอีกหลายปี ยังไม่ต้องเอ่ยว่าหลิวรุ่ยอิ่งเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกี่มากน้อย แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถนอนหลับได้ในคืนส่งท้ายปี
จนอายุเท่าทุกวันนี้ ก็ไม่มีเงินค่าขนมที่ให้เพิ่มมานั้นอีกแล้ว
นั่นเพราะเขาสามารถทำงานต่างๆ ตามความสามารถภายในกรมสอบสวนและหาเงินเองได้แล้ว
กรมสอบสวนไม่ใช่โรงทานโจ๊กจุนเจือคนตกทุกข์ได้ยาก ไหนเลยจะเอาแต่ให้อย่างไร้ข้อจำกัดและไม่ขอสิ่งใดตอบแทน
ตอนไม่มีเงินที่เพิ่มมานี้ หลิวรุ่ยอิ่งก็ล่วงเลยวัยที่ชอบซื้อของเล่นและชอบเรื่องครึกครื้นพอดี ปีใหม่จึงดูจืดชืดลง
ราวกับว่าไม่ได้ต่างกับวันทั่วไป เพียงแต่อากาศหนาวขึ้น ข้างบนหลังคาและบนประตูมีหิมะเกาะอยู่บางๆ ชั้นหนึ่ง
หลังจากได้รับหน้าที่เป็นผู้แทนการตรวจสอบพิเศษภาคตะวันตกเฉียงเหนือแห่งกรมสอบสวนในครั้งนี้ หลิวรุ่ยอิ่งก็ค้นเอาตะกร้าไม้ไผ่ทั้งหมดที่เคยได้รับตอนยังเล็กออกมา เอาของเล่นที่เคยซื้อทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้า และมอบให้ชายชราเลี้ยงม้าไปทั้งหมด
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองต้องทำเช่นนี้ แต่ภายในใจของเขามีความคิดดังที่ว่านั้นอย่างรุนแรงเหลือประมาณ
ชายชราเลี้ยงม้ากำชับเขาว่าเมื่อออกเดินทางไปข้างนอกให้เตรียมชุดถ้วยตะเกียบและเสบียงกรังติดตัวไปด้วยเป็นดีที่สุด
ข้างนอกไม่ได้สะดวกและปลอดภัยเช่นในเมืองหลวง
ปกติแล้วเมื่อผ่านหมู่บ้านหนึ่งไปก็จะไม่มีร้านค้า
ความรู้สึกยามต้องเดินทางระหว่างท้องหิวนั้นทรมานยากทานไหว
แต่เห็นชัดว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้เอาคำพูดนี้ใส่หู
แค่คิดว่าเป็นคำบ่นของคนชรา เป็นแค่ลมผ่านหูไปเท่านั้น
คืนนั้นเขานอนไม่หลับทั้งคืน เพราะความตื่นเต้นจิตใจจึงกระปรี้กระเปร่า
หลังจากออกจากกรมสอบสวน เขาก็ตรงไปยังประตูเมืองหลวงทันที
นอกประตูเมืองมีร้านน้ำชาสำหรับให้คนแวะพัก ขายแค่น้ำชาถ้วยใหญ่ที่แสนธรรมดาชนิดเดียว ซึ่งรสชาติออกเค็มๆ
น้ำชาถ้วยใหญ่เช่นนี้ล้วนใส่เกลือเล็กน้อยจึงจะมีรสชาติ
คนที่เดินทางด้วยเท้ามีเหงื่อออกมาก แม้จะเป็นในฤดูหนาวก็เป็นเช่นกัน
เมื่อดื่มน้ำชาที่มีรสเค็มเล็กน้อยก็จะทำให้ร่างกายสดชื่น
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้ เขาไม่คุ้นเคยกับการดื่มน้ำชาที่มีรสเค็มเลย
ยังดีที่ข้างๆ ร้านน้ำชามีแผงขายบะหมี่
ตอนนี้เองหลิวรุ่ยอิ่งจึงเพิ่งนึกถึงคำที่ชายชราเลี้ยงม้ากำชับเขา
เขามักบอกว่าต้องกินให้อิ่มก่อนจึงจะเดินทางง่ายดาย ในเมื่อเขาไม่ได้นำเสบียงกรังมาด้วยก็ไม่สู้กินอาหารให้มากอีกสักหน่อย
แม้ว่าเขาเพิ่งกินอาหารเช้ามาเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก่อนหน้า เวลานี้ไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่หิว แต่เขาก็ยังสั่งบะหมี่ซอยมีด[1]มาหนึ่งชามใหญ่ และพยายามยัดลงท้องไป
เขาลูบท้องที่ป่องออกมา รู้สึกพึงพอใจนัก
เสบียงกรังของผู้อื่นล้วนเอาใส่ไว้ในห่อสัมภาระ แต่เสบียงกรังของเขากลับเก็บไว้ภายในท้อง
นับได้ว่าโดดเด่นกว่าผู้อื่นจริงๆ
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้นั่งม้านั่งยาว
แต่แรกนั้นเขานั่งตรงริมด้านซ้าย
นึกไม่ถึงว่าม้านั่งยาวนี้กลับพลิกหงาย เกือบทำให้เขาล้มคะมำไปบนพื้นเสียแล้ว
แต่พอเป็นเช่นนี้ กลับทำให้คนที่อยู่รอบข้างพากันแอบหัวเราะ
ครั้งนี้หลิวรุ่ยอิ่งพบว่า คนอื่นๆ หากไม่นั่งตรงกลางม้านั่งยาวคนเดียว ก็ต้องนั่งด้วยกันสองคนบนม้านั่งหนึ่งตัว
แม้เสียงฝีเท้าม้าแสนว่องไวจะไปกระตุ้นความได้ใจของเขา แต่ก็ค่อยๆ เหยียบย่ำความเปรมปรีดิ์และตื่นเต้นดีใจของหลิวรุ่ยอิ่งจนสลายไปด้วยเช่นเดียวกัน
…………………
มาถึงยามนี้ ในเหมืองแร่รัฐหงแห่งดินแดนเจิ้นเป่ยอ๋องอันแสนเวิ้งว้าง หลิวรุ่ยอิ่งกลายเป็นคนใจเย็นราวกับน้ำนานแล้ว
ม้านั่งยาวก็นั่งได้อย่างคุ้นเคยมานานแล้ว
แม้แต่สุรากับเต้าหู้แห้งในมือก็ยังกินได้อย่างลื่นคอ
………………………………………
[1] บะหมี่ซอยมีด คือบะหมี่จากแป้งนวดก้อนใหญ่ ใช้มีดหั่นแป้งออกมาเป็นเส้นหนาๆ และนำไปต้ม
…………….