ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 471 ราศีจอมยุทธห้ามใช้พร่ำเพรื่อ-4
บทที่ 471 ราศีจอมยุทธห้ามใช้พร่ำเพรื่อ-4
…………….
ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว หลิวรุ่ยอิ่งก็เป็นเหมือนกับสวีเหล่าซื่อไม่ผิดเพี้ยน
ดื่มสุราอึกหนึ่ง กินเต้าหูแห้งคำหนึ่ง
ตอนแรกๆ นั้นเขายังจับจังหวะได้ไม่ดี
บ่อยครั้งที่ดื่มสุราจนหมดแล้วแต่เต้าหู้แห้งยังเหลืออยู่อีกมาก หรือไม่เช่นนั้นก็กินเต้าหู้แห้งหมดแล้ว แต่ยังคงมีสุราเหลืออยู่ที่ก้นชาม
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าตนเองน่าขำนัก
เรื่องง่ายๆ แค่เรื่องเดียว แต่กลับยังทำไม่ได้ดีเสียที
แต่เขาก็ไม่มีแก่ใจไปศึกษาให้ลึกซึ้งแต่อย่างใด
หากมีของอย่างหนึ่งหมดไปก่อน เขาก็จะลุกขึ้น เดินขึ้นชั้นบนและกลับไปนอนในห้องทันที
หลายวันมานี้จิ้นเผิงคุ้นเคยกับเถ้าแก่เนี้ยมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มสนิทกับนางอย่างมาก
เดิมทีเขาก็เป็นคนเจ้าชู้อยู่แล้ว ท่าทีผลักไสแต่ไม่หนักแน่นของเถ้าแก่เนี้ย ทำให้เขาอยากหยุดแต่ก็หยุดไม่ได้
หลิวรุ่ยอิ่งนอนอยู่บนเตียงแต่ก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะเบิกบานใจของเถ้าแก่เนี้ยดังมาจากโถงชั้นล่าง
เสียงหัวเราะแทรกมากับเสียงคนกินดื่มสนุกสนานกลับทำให้เขาเข้าใจเรื่องหนึ่ง…
หลายคนล้วนรู้สึกว่านอนหลับได้ยากในสภาพแวดล้อมที่เอะอะ
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับพบว่าหากเงียบสงัดเกินไป จะได้ยินกระทั่งเสียงหายใจและเสียงชีพจรของตนเอง ยิ่งทำให้หลับยากขึ้นกว่าดิม
เสียงสนทนาที่ประเดี๋ยวดังประเดี๋ยวเบา เสียงหัวเราะที่ประเดี๋ยวมาประเดี๋ยวหยุดในโถงข้างล่าง กลายเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขานอนหลับได้ดีที่สุด
แม้จะเข้านอนตอนดึกและนอนไม่สนิทเท่าใด แต่อย่างน้อยก็ยังนับว่าได้นอน
คืนวานหลิวรุ่ยอิ่งสามารถดื่มสุราและกินเต้าหู้แห้งได้หมดพร้อมกันเป็นประวัติการณ์
ยามมองชามสุราที่ว่างเปล่ากลับรู้สึกเบิกบานใจอย่างประหลาด
หลิวรุ่ยอิ่งพกพาความสบายใจนี้เตรียมขึ้นชั้นบนไปนอนพักอย่างเคย แต่กลับถูกนายท่านจินเรียกเอาไว้
“นายกองหลิว!”
นายท่านจินกำลังนั่งสนทนากับเหวินฉีเหวินและชิงเสวี่ยชิงอยู่ที่โต๊ะ
บนโต๊ะมีกาสุราวางอยู่หลายกา แก้มของชิงเสวี่ยชิงเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นมาบ้างแล้ว แต่นัยน์ตาทั้งคู่ยังคงสุกใสแวววาว เห็นชัดว่านางได้ฟังหลายเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจากนายท่านจิน
“นายท่านจินมีเรื่องใดขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามขณะเอาชามสุรากลับไปวางที่โต๊ะเก็บเงิน
นายท่านจินลุกขึ้น เชิญหลิวรุ่ยอิ่งมานั่ง เหวินฉีเหวินรินสุราให้หลิวรุ่ยอิ่งหนึ่งจอกอย่างมีมารยาทยิ่ง
“พรุ่งนี้ข้าต้องไปตรวจตราที่เหมืองแร่ จากนั้นเนื่องจากที่จวนยังมีธุระต่างๆ จึงต้องกลับไปจัดการให้เรียบร้อย”
นายท่านจินกล่าว
นี่ล้วนเป็นเรื่องส่วนตัวของนายท่านจิน หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องบอกตน
แม้เขาจะเป็นนายกองกรมสอบสวน แต่พวกของนายท่านจินไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือสหายร่วมงานของเขา
จึงไม่มีเหตุผลที่ต้องมารายงานความเป็นไปของตนกับเขา
“นายท่านจินมีเรื่องจะไหว้วานหรือ เชิญกล่าวมาได้ขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งคิดสักพักจึงเอ่ย
เขารู้สึกว่าคงเพราะนายท่านจินมีเรื่องจะไหว้วานให้ตนทำ
หากต้องเอาแต่พูดจาตามธรรมเนียมประโยคแล้วประโยคเล่า ไม่สู้พูดออกมาตรงๆ
“นายกองหลิวคิดมากแล้ว อีกอย่างข้าจะกล้าชี้นิ้วสั่งนายกองแห่งกรมสอบสวนได้อย่างไรกัน!”
นายท่านจินกล่าวด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังกระเซ้าไปหนหนึ่งด้วย
หลิวรุ่ยอิ่งและนายท่านจินรู้จักกันมานานแล้ว คำล้อเล่นที่ไม่รุนแรงเช่นนี้พูดออกไปก็ไม่เป็นอันใด
“มังกรแกร่งไม่ข่มงูเจ้าถิ่น แม้กรมสอบสวนกลางจะมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ แต่ผู้ใดบ้างจะไม่รู้ว่าเหมืองแร่รัฐหงล้วนเป็นเขตอิทธิพลของนายท่านจิน ท่านดูจากเนื้อเรื่องในบทละครเถิด ต่างบอกว่าต่อให้เป็นเทพเซียนที่เก่งกาจสักเท่าใด เมื่อมาพบกับท่านเจ้าที่ก็ยังต้องเกรงอกเกรงใจยิ่ง”
นายท่านจินได้ฟังก็หัวเราะเสียงดังหลายครั้ง พลางยกจอกขึ้นมาชนกับหลิวรุ่ยอิ่งแล้วดื่มจนหมด
“ข้ากำลังคิดว่าในเมื่อพวกโจรนั่นคิดจะมาซื้อแร่เหล็กที่เหมืองแร่ ไม่สู้พรุ่งนี้นายกองหลิวออกไปตรวจตราพร้อมกันสักรอบ? เมื่อรู้รากรู้ฐานเช่นนี้แล้ว ย่อมสะดวกต่อการลงมือในวันหน้า”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งจึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้แล้วนายท่านจินมีแผนการเช่นนี้
แต่เขาเชิญแค่ตนคนเดียว
คิดๆ ไปที่แท้แล้วนี่เป็นเรื่องหลวงหรือเรื่องราษฎร์กันแน่?
หลิวรุ่ยอิ่งเหลือบตามองเยว่ตี๋กับจิ้นเผิงหนหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
เยว่ตี๋กำลังตั้งใจฟังจิ้นเผิงกับเถ้าแก่เนี้ยเล่าเรื่องน่าสนใจแปลกหูจากทั่วสารทิศอย่างออกรสออกชาติ
ส่วนจิ้นเผิงที่นั่งหันหลังให้ตน ในมือยังถือกาสุรา ทุกครั้งที่พูดไปสองสามประโยคก็จะคอยเติมสุราอึกหนึ่งใส่ปาก คิดว่าอีกไม่นานจะต้องเมาเละเทะแน่…
หลังจากคิดทบทวนดูแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งก็ตัดสินใจว่าจะไปสักหน
มาที่นี่นานแล้ว แต่กลับยังไม่เคยได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเหมืองแร่เลย ไม่ว่าอย่างไรก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผล
“ท่านพี่ เหมืองแร่อยู่ไกลจากที่นี่หรือไม่เจ้าคะ”
ชิงเสวี่ยชิงถาม
“ออกเดินทางแต่เช้า หากไม่เสียเวลาระหว่างทาง ตอนเที่ยงก็จะถึงแล้ว”
นายท่านจินกล่าว
“เช่นนั้นยังต้องเตรียมของกินไปด้วยสักหน่อยหรือไม่ขอรับ”
เหวินฉีเหวินกล่าว
ความคิดอ่านของเขาละเอียดถี่ถ้วนกว่าชิงเสวี่ยชิงมากนัก
แม่นางน้อยรู้สึกแต่ว่าอยากรู้อยากเห็น แต่เหวินฉีเหวินกลับไตร่ตรองรายละเอียดต่างๆ ระหว่างทางไปแล้วรอบหนึ่ง
“คนของข้าจะไปรอข้าอยู่ที่เหมืองแร่ พวกเจ้านำน้ำสะอาดไปด้วยเล็กน้อยก็พอแล้ว”
นายท่านจินกล่าว
“ที่เหมืองแร่มีเหยี่ยวหรือไม่เจ้าคะ”
ชิงเสวี่ยชิงถามต่อ
นับแต่นายท่านจินบอกนางว่าที่นี่มีเหยี่ยวอยู่จำนวนมาก ชิงเสวี่ยชิงก็อยากเห็นมาโดยตลอด
“ฮ่าๆ หนนี้ไม่มี…แต่หลังจากพวกเราออกไปจากเหมืองแร่ ยังจะไปที่จวนของข้าอีก ถึงยามนั้นก็จะได้เห็นแล้ว มอบให้เจ้าตัวหนึ่งก็ยังได้!”
นายท่านจินกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงยิ้มดีใจ และเอาแต่กล่าวขอบคุณนายท่านจิน
“นายกองหลิวรู้หรือไม่ว่าท่านทั้งสองข้างบนนั้นเป็นผู้ใด”
นายท่านจินนิ่งไปสักพัก จึงหันมาถามหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจว่าการไปเหมืองแร่วันพรุ่งนี้เป็นเพียงข้ออ้าง สาเหตุแท้จริงที่นายท่านจินเรียกตนมา เพราะต้องการสอบถามเรื่องของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากับซุนเต๋ออวี่ต่างหาก
นับแต่คนทั้งสองนี้มาถึงก็ไม่เคยลงมาข้างล่างเลยสักก้าว
อาหารทั้งสามมื้อล้วนเป็นเถ้าแก่เนี้ยทำเสร็จและนำขึ้นไปส่ง
ทุกวันซุนเต๋ออวี่จะมายืนรอที่หน้าประตูตรงเวลา
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วก็จะเอาถ้วยชามตะเกียบและถาดวางไว้ที่ประตู เถ้าแก่เนี้ยจะไปเก็บเอง
“ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้เท่าใดนัก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะปกปิดอย่างไร ทำได้แต่บอกไปเช่นนี้
“อืม…”
นายท่านจินพยักหน้าและมีท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมา
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
หลายวันนี้เขาไม่เห็นเสี่ยวจีหลิงเลย
“เขาไปมาไม่แน่นอน เหมือนลูกนกที่ไม่มีขา ผู้ใดจะรู้ว่าเขาบินไปถึงที่ใดแล้ว”
นายท่านจินกล่าว
“แต่ข้ารู้สึกว่าเขาต้องยังไม่ไปจากเหมืองแร่”
นายท่านจินเปลี่ยนเรื่อง กดเสียงลงต่ำและเอ่ยออกไป
“เหตุใดนายท่านจินจึงได้มั่นใจเช่นนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เพราะเวลานี้ที่แห่งนี้คือที่ที่คึกคักและคาดไม่ถึงเป็นที่สุดในใต้หล้า เสี่ยวจีหลิงต้องไม่พลาดงานชุมนุมใหญ่ครั้งนี้เป็นแน่”
นายท่านจินเอ่ยพลางชี้ลงที่พื้น
คืนนี้หลิวรุ่ยอิ่งบังคับตนเองว่าต้องเข้านอนเร็วสักหน่อย เพราะพรุ่งนี้ยังต้องรีบเดินทางไปเหมืองแร่ หากไม่กระปรี้กระเปร่า ไม่ว่าทำสิ่งใดก็จะเซื่องซึม
เมื่อเขากลับมาถึงห้องก็ดับตะเกียงทันที
ถอดเสื้อตัวนอกออก ก่อนค่อยๆ คลำทางกลางความมืดขึ้นไปบนเตียง
แก้มพึ่งแนบถึงหมอนก็กลับรู้สึกง่วงขึ้นมา
แต่ความรู้สึกง่วงนี้ไม่ได้มาจากความอ่อนเพลีย แต่มาจากฤทธิ์ของสุรา
เมื่อดื่มมากแล้วจะทำให้คึกคัก หากดื่มเหมาะเจาะก็จะช่วยกล่อมให้ง่วงนอน
จนบัดนี้หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่รู้ว่าความเหมาะเจาะที่ว่านั้นอยู่ที่ใดกันแน่ แต่ในคืนนี้เขากลับได้สัมผัสแล้ว
เพิ่งหลับตาลงก็ยังได้ยินเสียงเอะอะจากชั้นล่างดังขึ้นมา หลิวรุ่ยอิ่งใช้ผ้าห่มคลุมหัว ด้วยหวังว่าจะปิดกั้นเสียงเหล่านี้เอาไว้ได้
คืนนี้ที่ชั้นล่างผิดแผกจากเดิมเล็กน้อย
คล้ายกับว่าไม่มีคนสนทนากันเสียงดัง ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างเกรงใจยิ่ง
แต่ยิ่งกระซิบกระซาบก็ยิ่งรบกวนการนอนของหลิวรุ่ยอิ่ง
เพราะเขาอยากได้ยินทุกถ้อยคำอย่างชัดเจนจึงตั้งใจฟังอย่างเต็มกำลัง
แต่ผลสุดท้าย ยังไม่ทันฟังได้ชัดสักประโยค ยิ่งฟังก็ยิ่งมีสติแจ่มชัด
ทันใดนั้นเขาก็เกิดนึกถึงกระบี่ของตนขึ้นมาอีก พอเอื้อมมือออกไปพบว่ามันวางอยู่ตรงข้างหมอนพอดี
เขาจึงวางใจได้หลายส่วน เตรียมจะตั้งใจเข้านอนใหม่อีกครั้ง
แต่ในเวลานี้เอง ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอกห้อง
“ผู้ใด”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“อาจารย์อา ข้าเอง!”
เป็นเสียงหวาหนงดังเข้ามา
หลิวรุ่ยอิ่งสูดหายใจลึกครั้งหนึ่ง แล้วลุกขึ้นมานั่งบนเตียงเสียเลย
“เข้ามาเถิด”
หลิวรุ่ยอิ่งบอก
เขาให้หวาหนงจุดตะเกียงอีกครั้ง
พอตะเกียงสว่างก็ส่องให้เห็นหวาหนงที่อยู่ในอาการหนักอกหนักใจ และยืนนิ่งอยู่ข้างหลังตะเกียง
“มีเรื่องหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
หวาหนงส่ายหน้า
“มีเรื่องในใจหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามอีกครั้ง
หวาหนงคิดอยู่พักหนึ่งจึงพยักหน้า
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มบางๆ แม้เขาจะอายุมากกว่าหวาหนงไม่มาก แต่อย่างน้อยก็เป็นผู้ใหญ่กว่าเขามาก
หากเป็นคนอื่นหลิวรุ่ยอิ่งคงไม่กล้าถามตรงๆ
แต่กับหวาหนงเขาสามารถชี้แนะได้บ้าง
“ลองว่ามาดีหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ข้ารู้สึกเหมือนว่าทุกสิ่งรอบตัวล้วนมีความเชื่อมโยงกับข้าทั้งสิ้น แต่พอคิดดูให้ถี่ถ้วนกลับเหมือนว่าอยู่ห่างไกลนัก”
หวาหนงกล่าว
เป็นคำพูดที่ไม่มีความชัดเจนแต่อย่างใด
หากจะบอกว่านี่เป็นเรื่องเรื่องหนึ่ง แต่เขากลับไม่เอ่ยถึงสิ่งใดทั้งสิ้น
ทว่าพอฟังดูแล้วกลับควรค่าให้ใคร่ครวญอย่างจริงจัง
“เจ้ามีเรื่องราวอย่างที่เจ้าพูดมาจริงๆ หรือแค่มีความรู้สึกเช่นนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ข้าไม่รู้ หลังออกจากเขาก็ได้มาพบอาจารย์ อาจารย์ก็ให้ข้าติดตามท่านออกมาจากหอทรงปัญญาและไปเมืองหลวง”
หวาหนงกล่าว
“เจ้ารู้สึกว่าข้าไม่ได้พาเจ้าตรงไปเมืองหลวงทันทีจึงไม่ค่อยพอใจหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ข้าไม่ได้ไม่พอใจ จะว่าไปแล้วเมืองหลวงก็ดี หรือหอทรงปัญญาก็ช่าง สำหรับข้าแล้วก็เหมือนกัน ข้าไม่เคยฝันหาที่เหล่านั้นเป็นพิเศษ”
หวาหนงกล่าว
“เพียงแต่หลังออกมาจากเขาแล้ว ข้ามักรู้สึกสับสน…ควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้”
หวาหนงหยุดสักพักจึงพูดต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งจึงเข้าใจความหมายในคำพูดของเขาเสียที
แม้ชีวิตในป่าเขาจะยากลำบาก แต่ก็ตรงไปตรงมาทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นช่วงหนาวที่สุดของฤดูหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิ จะหิวหรือกระหาย ทุกความรู้สึกล้วนสามารถส่งไปยังแขนขาทั้งสี่กระดูกทั้งร้อยได้อย่างแม่นยำ
แต่สิ่งที่เป็นอยู่ในเวลานี้กลับต่างกันอย่างมาก
หวาหนงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าอาหารมื้อต่อไปจะกินสิ่งใด และไม่ต้องทนต่อความหนาวเย็น กระหายน้ำ หิวโหยและอื่นๆ
เรื่องที่คนทั่วไปมองว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง และเป็นชีวิตที่คนมากมายใฝ่ฝัน
แต่หวาหนงไม่คิดเช่นนั้น
เขารู้สึกราวกับว่าชีวิตหลุดจากการควบคุมของตนเอง เขาสามารถเผชิญหน้ากับทุกสิ่งโดยไม่ต้องใส่ใจมาก
ต่อให้เขาพยายามรู้สึกและหลอมรวมกับมันอย่างสุดกำลัง แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่ามีแต่ใจทว่ากำลังไม่พอ
“พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้า ข้าจะพาเจ้าไปดูเหมืองแร่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หวาหนงพยักหน้า เขาเองก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกจริงๆ
จึงเป่าลมให้ตะเกียงดับ และถอยออกไปจากห้องของหลิวรุ่ยอิ่ง
ประเดี๋ยวนั่น ประเดี๋ยวนี่อยู่เช่นนี้ กลับทำให้หลิวรุ่ยอิ่งตื่นเต็มตาเสียแล้ว
เขาลุกขึ้นมาผลักหน้าต่างให้เปิดออก พายุทรายยามกลางคืนน้อยลงกว่ากลางวันไม่น้อยเลย
แสงจันทร์คืนนี้ไม่ได้สว่างเท่าใด แต่ยังคงสาดแสงให้ทุกสิ่งในห้องทอดเงาออกไป
………………………………………
…………….