ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 472 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-1
บทที่ 472 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-1
…………….
ตะวันยังไม่ทันขึ้นสูง หวาหนงก็มาถึงหน้าห้องของหลิวรุ่ยอิ่งแล้ว
ขณะที่เขาลังเลว่าจะเคาะประตูดีหรือไม่ หลิวรุ่ยอิ่งก็เปิดประตูออกมาพอดี
“เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
หวาหนงพยักหน้า ที่จริงแล้วเขาไม่มีอะไรต้องเตรียมมากนัก
นอกจากกระบี่โกโรโกโสเล่มหนึ่งที่เขาถืออยู่ในมือ
ทั้งคู่ลงบันไดไป ดูเหมือนว่าพวกนายท่านจินจะยังไม่ตื่น
ในห้องโถงก็ว่างเปล่า มีเพียงเถ้าแก่เนี้ยที่นั่งอยู่ข้างเตาผิงที่ต้มชา
“พวกเจ้าทั้งสองตื่นเช้ากันจริงๆ!”
เถ้าแก่เนี้ยพูดขึ้น
“สำหรับคนที่ไม่ได้นอน คงใช้คำว่าตื่นเช้าไม่ได้”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบกลับ
“ข้านึกว่ามีแค่ข้าที่นอนไม่หลับ ไม่คิดว่าหนุ่มน้อยอย่างเจ้าก็ด้วย”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ถ้าไม่มีเรื่องกังวลใจย่อมนอนหลับ แต่เมื่อได้ลิ้มรสความทุกข์ ไหนเลยจะยังนอนหลับสบาย”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“ใช่ๆ นายกองหลิวงานล้นมือ…ไม่เหมือนพวกเราคนธรรมดาที่จะอยู่ว่างๆ”
เถ้าแก่เนี้ยพูดติดตลก
กำลังถือพัดใบลานพัดไฟในเตาผิงอย่างต่อเนื่อง
เหมือนดาวบนท้องฟ้าในยามราตรี
ทั้งไฟถ่านและแสงดาวล้วนแปรเปลี่ยนไม่แน่นอน แต่แสงดาวเยือกเย็น ในขณะที่ไฟถ่านให้ความอบอุ่น
ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันสิ้นเชิง
แม้ว่านักกวีจะมีบทกวีอันงดงามเกี่ยวกับดวงจันทร์และดวงดาวมากมาย แต่กลับไม่มีใครสรรเสริญถ่านที่เผาไหม้อย่างเงียบงันซึ่งนำแสงสว่างและความอบอุ่นมาให้…
หลิวรุ่ยอิ่งจ้องมองไฟถ่านไม่กะพริบตาจนเผลอสติไปโดยไม่รู้ตัว
“อะไรกัน นายกองหลิวไม่เคยเห็นเตาหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยถามขึ้น
“เคยเห็น แต่ไม่เคยมองให้ละเอียด”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
เตาเช่นนี้เขาเห็นครั้งแรกในคอกม้าของชายชราเลี้ยงม้า
คอกม้าที่ชื้นและเย็นต้องใช้เตาตั้งไว้ข้างเตียงในยามกลางคืนเพื่อคลายความหนาวจนถึงเดือนสี่
ไม่เช่นนั้น คืนสองคืนแรกยังพอไหว แต่นานวันเข้าก็จะเริ่มรู้สึกปวดขาปวดหลังเพราะความชื้น
แต่เตาของชายชราเลี้ยงม้านั้นค่อนข้างเรียบง่าย…
ท่อนเหล็กเก่าที่เป็นสนิมและไม่มีก้น
ห่างจากพื้นประมาณสามถึงห้าชุ่น มีตะแกรงติดอยู่เพื่อกั้นขี้เถ้าและเศษถ่าน
ถ่านที่เขาใช้มีคุณภาพต่ำที่สุด
ในเมื่อไม่ได้ใช้ย่างเนื้อหรือหลอมเหล็ก เหตุใดต้องใช้ถ่านไม้หรือถ่านคุณภาพสูงที่มีราคาแพง?
ขอแค่อุ่นก็พอ
เตาผิงของชายชราเลี้ยงม้าไม่ควรวางไว้ที่เดิมนานๆ
ไม่เช่นนั้น ขี้เถ้าและเศษถ่านจะสะสมจนทำให้เปลวไฟดับ
หากเวลากลางวันตื่นอยู่ก็ไม่เป็นไร แต่หากหลับไปก็จะลืม
กระทั่งตื่นขึ้นมาในช่วงกลางดึกและพบว่าไฟถ่านในเตาดับสนิทแล้ว
เตาที่ประณีตที่สุดย่อมเป็นเตาดินเผาขนาดเล็กของติ้งซีอ๋องฮั่ววั่ง
เตาของเถ้าแก่เนี้ยนั้นอยู่กึ่งกลางระหว่างเตาของชายชราเลี้ยงม้ากับติ้งซีอ๋องฮั่ววั่ง
ภายนอกอาจจะไม่มีความสวยงามมากนัก แต่ก็ยังดีกว่าเตาเหล็กเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยสนิมของชายชราเลี้ยงม้า
“เตาก็ไม่มีอะไรน่าดู แค่ใช้งานได้ดีและสะดวกก็พอ ถ้าต้องใช้เตาใหญ่เพื่อต้มน้ำชาก็ยุ่งยากเกินไป”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้าแล้วเตรียมเดินออกไปข้างนอก
ลมในตอนเช้าช่วยให้กระปรี้กระเปร่า โดยเฉพาะคนที่นอนไม่ค่อยหลับอย่างเขาแล้ว ในช่วงเวลานี้ความเย็นสดชื่นมีประโยชน์กว่าความอบอุ่น
“ดื่มชาหน่อยหรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยถาม
“มันร้อนไป ดื่มแล้วจะง่วงนอน”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“วันนี้มีชานม”
เถ้าแก่เนี้ยพูดต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งเคยได้ยินคำว่าชานมมาก่อน มันเป็นเครื่องดื่มที่ผสมระหว่างนมและชา
เป็นสิ่งจำเป็นในทุกครัวเรือนของราชสำนักทุ่งหญ้า แต่ในยุคที่สงบสุข อาณาจักรห้าอ๋องและราชสำนักทุ่งหญ้ามีการค้าขายกันบ่อยครั้ง ดังนั้นขนบธรรมเนียมและอาหารที่เป็นเอกลักษณ์บางอย่างจึงถูกส่งผ่านมาด้วย
“ชานมอร่อยหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เถ้าแก่เนี้ยถามยิ้มๆ
“อร่อย!”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
ทางพายัพของอาณาจักรห้าอ๋อง ผู้คนส่วนใหญ่จะดื่มเครื่องดื่มประเภทนม
ส่วนทางภาคใต้และชายฝั่ง น้ำเต้าหู้และโจ๊กจะได้รับความนิยมมากกว่าเนื่องจากข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์
ส่วนในเมืองหลวง ไม่เอนเอียงไปทางใด อยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งคู่
“แล้วชาล่ะ อร่อยหรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยถามต่อ
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นชาชนิดใด…นอกจากชาดอกไม้และชาเขียวแล้ว ชาชนิดอื่นก็ไม่เลว”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
หลิวรุ่ยอิ่งเคยไปเยือนร้านชาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงหลายแห่ง
ชาเขียวให้ความสำคัญกับฤดูกาลเกินไป
หลังเทศกาลเช็งเม้งก็เหมือนกับมะเขือยาวที่โดนน้ำค้างแข็ง ขายถูกก็ยังไม่มีใครสนใจ
แม้ว่าชาดอกไม้จะมีตลอดทั้งปี แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าชาดอกไม้หอมหวนจนเกินไปและค่อนข้างฉุน
ส่วนรูปร่างของดอกไม้แห้งในถ้วยชาที่ถูกชงด้วยน้ำเดือดก็ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกรังเกียจเป็นที่สุด
การมองดอกไม้แห้งที่บิดเบี้ยวนั้นก็เหมือนกับการมองหญิงชราที่ไม่สวมเสื้อผ้า…
ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเลย มีเพียงความรู้สึกน่ารังเกียจ
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเถ้าแก่เนี้ยหยิบของสี่เหลี่ยมออกมาจากข้างเตา มันมีสีดำเข้มและดูเรียบเนียน
จากนั้นนางก็ดึงดาบซ่อนคมออกมาราวๆ กว่าครึ่งฉื่อ และปักลงบนก้อนสี่เหลี่ยมสีดำนั้น
“เจ้าคงไม่เคยเห็นการชงชาเช่นนี้แน่ๆ”
เถ้าแก่เนี้ยพูดขึ้นมา
“นี่คือชาหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามด้วยความเหลือเชื่อ
เขาไม่เคยเห็นก้อนชาขนาดใหญ่ขนาดนี้มาก่อน และไม่คิดว่าจะมีชาแบบไหนที่ต้องใช้มีดตัดแบ่ง
“นี่คือชาอิฐ[1] ก็นับเป็นสินค้าพิเศษอย่างหนึ่ง หากมุ่งไปทางใต้กว่านี้ก็คงไม่พบ…ในเมืองหลวงน่าจะมี แต่เจ้าต้องใช้เวลาหาหน่อย”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ชาอิฐ…ชื่อแปลกดี เป็นสินค้าพิเศษของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เหนือพายัพ”
เถ้าแก่เนี้ยตอบ
หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดและเข้าใจทันที
อาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องอยู่เหนือสุดของอาณาจักรห้าอ๋อง ต้องเหนือทางพายัพขึ้นไปอีก ก็หมายถึงราชสำนักทุ่งหญ้าไม่ใช่หรือ
มองก้อนชาสีดำนั้น หลิวรุ่ยอิ่งก็เบ้ปาก…
ราชสำนักทุ่งหญ้าจะมีของดีอะไร?
ชาที่ดูไม่สวยงามเช่นนี้จะอร่อยได้อย่างไร
แต่เมื่อเถ้าแก่เนี้ยใช้ดาบหั่นชาอิฐเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วทิ้งลงในน้ำเดือด กลิ่นหอมข้นก็อบอวลขึ้นมาทันที
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยได้กลิ่นชาที่แรงและเข้มข้นเช่นนี้มาก่อน ราวกับสิ่งที่เข้าไปในจมูกไม่ใช่กลิ่น แต่เป็นไขมันชนิดหนึ่ง
“ชานี้…หอมจริงๆ!”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดพลางกลืนน้ำลายลงคอ
“การชงชานมต้องใช้ชาอิฐ ไม่เช่นนั้นรสชาติจะผิดแปลกไป”
เถ้าแก่เนี้ยพูด
“เหตุใดถึงเรียกว่าชาอิฐ กลิ่นหอมขนาดนี้ไม่สามารถตั้งชื่อที่ดีกว่านี้ให้มันได้แล้วหรือ”
“ชื่อที่ชาวทุ่งหญ้าเรียกมันก็ไม่รู้ว่าควรจะแปลอย่างไร แต่ตามที่พวกเขาออกเสียงมันฟังดูคล้ายคำว่า ‘หมุน’ อย่างมาก และลักษณะก็คล้ายกับ ‘อิฐ’ ใช่หรือไม่ มันก็แค่ชื่อ ไม่ต้องจริงจังถึงเพียงนั้น ข้ากลับคิดว่าชาอิฐนั้นฟังดูดียิ่ง อย่างน้อยก็รู้ว่ามันคืออะไร แม้โรงน้ำชาในหัวเมืองรัฐชิงไม่อาจเทียบเท่ากับในเมืองหลวงได้ แต่ถ้าเจ้าลองอ่านชื่อชาที่เพราะพริ้งบนป้าย คงหนีไม่พ้นสับสนงุนงง ไปสถานที่เช่นนั้นก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม หากจะถามก็เหมือนรู้น้อย ได้แต่ก้มหน้าเลือกไปอย่างส่งเดช สุดท้ายถ้าไม่อร่อยก็ต้องทนกลืนลงไป คิดเสียว่าจ่ายค่าเรียนรู้วัฒนธรรมชาไปแล้วกัน”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
นางพูดกับหลิวรุ่ยอิ่งยาวเป็นพรืด
เห็นได้ชัดว่านางชอบชาอิฐอย่างยิ่ง
“มาอยู่ตั้งนาน ไม่เคยได้ยินว่าที่นี่มีชานม”
หลิวรุ่ยอิ่งพูด
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าใครอยู่ที่นี่ พี่ชายข้าต้องดื่มชานมทุกเช้า ถ้าไม่ได้ดื่ม เจ้าก็รอดูเขาเดือดดาลทั้งวันได้เลย”
เถ้าแก่เนี้ยพูด
“ข้านึกว่านายท่านจินชอบดื่มสุรา ไม่คิดว่ายังติดชานมขนาดนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดพลางยิ้ม
“นิสัยการดำเนินชีวิตเปลี่ยนยาก ดื่มสุราเพื่ออารมณ์ความรู้สึก ดื่มชานมเพื่อชีวิต ชีวิตควรมาก่อนอารมณ์ความรู้สึกกระมัง? ถ้าไม่มีชีวิต ไหนเลยจะมีอารมณ์ความรู้สึก”
เถ้าแก่เนี้ยพูด
คำพูดนี้หลิวรุ่ยอิ่งฟังแล้วรู้สึกว่าค่อนข้างลึกซึ้ง แต่เมื่อเขาพยายามคิดอย่างละเอียด กลับเหมือนว่าตนไม่สามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงได้
แต่เขาก็เหมือนกับคนที่เข้าโรงน้ำชาแล้วสั่งชาครั้งแรก อายที่จะเอ่ยปากถามจึงได้แต่เก็บไว้ในใจ
“เจ้ามีความเคยชินอะไรบ้าง”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“ข้า? วิ่งไปมาไปทั่วจะมีความเคยชินอะไรได้? ความเคยชินต้องการความมั่นคงและเวลาในการบ่มเพาะ”
เขาไม่มีความเคยชินจริงๆ
ชีวิตครั้งที่อยู่ในกรมสอบสวนนั้นมีเสถียรภาพพอสมควร และมีเวลาว่างอยู่บ้าง
แต่เขาก็ไม่ได้สร้างความเคยชินอะไรขึ้นมา
เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ก็แค่ใช้ชีวิตตามปกติ
การมีความเคยชินในชีวิตอาจเรียกได้ว่าเป็นอีกขอบเขตหนึ่ง เกรงว่าหลิวรุ่ยอิ่งยังมีอายุไม่มากพอที่จะไปถึงขอบเขตนั้น
เถ้าแก่เนี้ยเปิดฝากาน้ำชาออก แล้วเทนมวัวลงไปสองชั่ง
ใช้ดาบซ่อนคมคนกาน้ำชาไม่หยุด เพื่อให้นมวัวและชาผสมกันได้ดีและเร็วขึ้น
นมวัวบริสุทธิ์เริ่มถูกสีชาปกคลุมกลายเป็นสีเข้ม
กลิ่นนมผสมกับกลิ่นชาช่างยั่วยวนเหลือเกิน
จนหลิวรุ่ยอิ่งลืมไปแล้วว่าเขาจะไปสูดอากาศเย็นๆ ที่หน้าประตู ตอนนี้กลับนั่งรอให้ชานมได้ที่อย่างใจจดใจจ่อยิ่ง
“ดาบซ่อนคมของเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ…นอกจากการฆ่าคนแล้ว ยังมีประโยชน์อีกมากมาย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“วางใจเถิด ข้าล้างให้สะอาดทุกครั้งเสมอ! รับรองว่าไม่มีกลิ่นแปลกๆ แน่นอน!”
เถ้าแก่เนี้ยตอบ
หลังจากที่คนอยู่ประมาณครึ่งถ้วยชา เถ้าแก่เนี้ยจึงดึงดาบซ่อนคมออกจากกาน้ำชา แล้วเลียชานมที่ไหลย้อยอยู่บนดาบให้สะอาด
หลิวรุ่ยอิ่งมองดูแล้วรู้สึกรังเกียจ…
หากนี่คือการ ‘ล้างให้สะอาด‘ ตามที่เถ้าแก่เนี้ยบอก แม้ว่าชานมนั้นจะหอมหวนและเย้ายวนเพียงใด เขาก็ไม่อยากดื่มแล้ว
หลังจากใส่นมวัวลงไป ต้มได้ไม่นานนัก เถ้าแก่เนี้ยก็หยิบผ้าขนหนูแล้วยกกาน้ำชาลงจากเตาและวางลงบนโต๊ะ
เมื่อกาน้ำชาตั้งลงบนโต๊ะ หลิวรุ่ยอิ่งก็ได้ยินเสียงคนเดินลงบันไดมา
“นายท่านจินคำนวนเวลาได้แม่นยิ่งนัก! ไม่เร็วไปไม่ช้าเกินไป”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
บนโต๊ะมีชามหยาบๆ วางอยู่ห้าใบ ขนาดไม่ใหญ่มาก เล็กกว่าชามที่ใช้ดื่มสุราก่อนหน้านี้เสียอีก
“นายกองหลิวก็ชอบดื่มชานมหรือ”
นายท่านจินถามอย่างประหลาดใจ
การพบใครสักคนที่มีนิสัยเหมือนตัวเองนั้นยากยิ่งกว่าการพบใครสักคนที่มีความเห็นพ้องต้องกัน
แต่การมีนิสัยที่เหมือนกัน ในแง่หนึ่งก็ถือว่าเป็นความเห็นพ้องต้องกันได้เช่นกัน
………………………………………………………………………
[1] ชาอิฐ ชาที่อัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้า รูปร่างเหมือนก้อนอิฐ
…………….