ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 473 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-2
บทที่ 473 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-2
…………….
“ฟังจากเถ้าแก่เนี้ยแนะนำเมื่อครู่นี้ ข้าอยากลองชิมดู แถมกลิ่นหอมนี้ก็ยั่วยวนจริงๆ ข้าน้อยเองก็ทนไม่ได้ขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
นายท่านจินเดินมาพลางหัวเราะร่า ยกกาน้ำชาขึ้น เทให้หลิวรุ่ยอิ่งหนึ่งชามเต็มๆ
จากนั้นเขาก็เทลงชามอื่นๆ บนโต๊ะที่ว่างอยู่อีกสี่ชาม
หลิวรุ่ยอิ่งมองดูชามชานมที่กำลังมีไอร้อนพวยพุ่ง แล้วก้มหน้าเป่าเบาๆ
มันร้อนเกินไป ยากที่จะดื่มได้
เขามองไปยังชิงเสวี่ยชิง เหวินฉีเหวิน และหวาหนง ทั้งสามก็เหมือนกับตน
นึกไม่ถึงในขณะที่พวกเขากำลังเป่าชานมอยู่นั้น นายท่านจินกลับดื่มหมดหนึ่งชามแล้ว!
ตอนนี้เขากำลังอ้าปากกว้าง และพ่นไอร้อนออกมา
นายท่านจินดื่มชานมราวกับดื่มสุรา
ทว่าสุราไม่มีอุณหภูมิ แต่ชานมร้อนมาก หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจเลยว่าเขาดื่มเข้าไปได้อย่างไร
หรือว่าคอของนายท่านจินจะทำด้วยเหล็ก?
“นายกองหลิว ชานมต้องดื่มรวดเดียวหมดชาม! ต่อให้อุ่นๆ ก็เสียรสชาติ…หากปล่อยให้เย็นยิ่งไม่มีรสชาติเข้าไปใหญ่! ไม่สู้ดื่มน้ำบาดาลยังดีเสียกว่า!”
นายท่านจินกล่าว
หลังจากพูดจบ เขาก็เทชานมให้ตัวเองอีกหนึ่งชาม แล้วดื่มหมดในพริบตา
หลังจากดื่มไปสองชาม หน้าผากและปลายจมูกของนายท่านจินเริ่มมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้น
ที่เขาต้องการคือความรู้สึกสบายและปลอดโปร่งเช่นนี้
ชามที่สามนั้นเขาดื่มช้าลง
หลิวรุ่ยอิ่งก็เอาอย่างเขา ดื่มชานมในมือจนหมดชาม
“ชานมไม่เพียงแต่อร่อย แต่ยังทำให้อิ่มท้องด้วย พวกเจ้าดื่มอีกสักชาม แล้วพวกเราจะไปถึงเหมืองแร่โดยไม่รู้สึกหิวแม้แต่น้อย”
นายท่านจินพูดขึ้น
หลังจากที่หลิวรุ่ยอิ่งชิมรสชาติแล้วก็รู้สึกว่ามันอร่อยดังว่า จึงเทให้ตัวเองเพิ่มอีกชาม
หลังจากที่ทุกคนดื่มจนหมด ชานมก็เหลือเพียงก้นกาเท่านั้น
นมวัวผสมกับชาและตะกอนชา เมื่อเทออกมาก็มีผลต่อรสชาติ
นายท่านจินเห็นว่าทุกคนดื่มจนหมดแล้ว จึงลุกขึ้นเดินไปทางห้องโถงด้านหลัง
ในสวนด้านหลังมีคอกม้าเรียบง่าย ม้าห้าตัวพร้อมจะออกเดินทาง
ขณะกำลังขึ้นม้า ชิงเสวี่ยชิงเห็นกระบี่ที่เอวของหวาหนงและหัวเราะขึ้นมา
ในสายตาของนางมันดูไม่ใช่กระบี่
ไม้เท้าตีสุนัขของขอทานยังดูดีกว่า…
แม้ว่าชิงเสวี่ยชิงจะเป็นนักดาบ แต่นางก็เคยใช้กระบี่มาก่อน อย่างน้อยนางก็รู้ว่ากระบี่ไม่ควรทรุดโทรมเช่นนี้
กระบี่ยาวของหลิวรุ่ยอิ่งในโรงเตี๊ยม แม้จะดูโบราณและเรียบง่าย แต่ก็ยังสมบูรณ์และเรียบเนียน
“น้องชิงเจ้าเป็นอะไร”
หลังจากที่เหวินฉีเหวินขึ้นม้า เขาก็โน้มตัวเอ่ยถาม
“พี่เหวิน ท่านดูกระบี่ของคนผู้นั้นสิ!”
ชิงเสวี่ยชิงกระซิบเบาๆ พร้อมชี้ไปที่กระบี่บนเอวของหวาหนง
กระบี่ที่ชำรุดนั้นเหวินฉีเหวินสังเกตเห็นมานานแล้ว
ด้วยนิสัยของเขาย่อมไม่เอ่ยถึงและยิ่งไม่หัวเราะเยาะ
เพียงแต่ตอนนี้เมื่อชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถึงมัน เขาก็จำต้องอธิบายบ้าง
“น้องชิง จงอย่ามองเพียงภายนอกเท่านั้น บางสิ่งบางอย่างมีคมที่มองไม่เห็น”
เหวินฉีเหวินพูดขึ้น
“พี่เหวินหมายความว่ากระบี่นี้ร้ายกาจหรือ”
ชิงเสวี่ยชิงถามด้วยความสงสัย
แน่นอนว่ากระบี่ต่างมีดีแตกต่างกัน
ทุกคนในใต้หล้าล้วนรู้จักกระบี่ที่หลอมขึ้นโดยตระกูลโอวในรัฐเวยใต้ว่าเป็นกระบี่ที่เลิศล้ำที่สุด
ส่วนกระบี่ยาวที่หวาหนงพกติดตัวเล่มนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะนับเป็นกระบี่ได้หรือไม่
ไม่เพียงแต่ไม่มีฝักกระบี่ ด้ามกระบี่ก็เป็นเพียงไม้สองชิ้นที่ถูกยึดด้วยตะปู
ดูไปแล้ว สู้ไม่ได้กระทั่งของเล่นของลูกหลานในตระกูลที่ร่ำรวย
แน่นอน ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะชิงเสวี่ยชิงไม่เคยเห็นหวาหนงใช้กระบี่
คนที่เคยเห็นเขาใช้กระบี่ ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จะไม่ดูถูกกระบี่ที่ทรุดโทรมนี้อีก
อีกทั้งพวกเขาจะรู้สึกหวาดกลัวและเคารพกระบี่เล่มนี้ขึ้นมาทันที
ทั้งเคารพและหวาดกลัว
ต้องยอมรับว่าการพกกระบี่ที่ทรุดโทรมเช่นนี้ไปมานั้นดูไม่ค่อยดีนัก
แม้แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็เคยถามหวาหนงว่าอยากจะเปลี่ยนเป็นกระบี่ดีๆ สักเล่มหรือไม่
แต่หวาหนงก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่น
เรื่องเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่สามารถบีบบังคับได้จึงปล่อยเลยตามเลย
อีกอย่าง ดูๆ แล้วกระบี่นี้คงใช้ได้อีกไม่นาน
เมื่อถึงวันที่มันแตกหัก หวาหนงก็ต้องเปลี่ยนไม่ว่าจะอยากเปลี่ยนหรือไม่ก็ตาม
ปล่อยให้เป็นเรื่องธรรมชาติ สิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติย่อมดีกว่าการบีบบังคับให้เกิดขึ้นเสมอ
เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตมนุษย์ล้วนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะมีโอกาสเลือก แต่หลายครั้งก็ยังคงปล่อยให้มันเป็นไป
ไม่มีใครอยากเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าไม่ถึงขั้นจำเป็นจริงๆ
การเปลี่ยนแปลงหมายถึงการต้องปรับตัวใหม่ ซึ่งต้องใช้ความกล้าอย่างมาก
มากสุดก็แค่คิดในใจให้สมใจอยากก็แค่นั้น
ความคิดเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ เหล่านักปราชญ์กลับตั้งชื่อให้ฟังดูดีว่า ‘ความปรารถนา‘
ยิ่งมีความปรารถนามากเท่าไร ก็ยิ่งทำน้อยลงเท่านั้น
ความคิดเยอะแยะมากมาย แต่ความสามารถไม่พอ
เหมือนกับคนที่ไม่สามารถใช้กระบี่ได้ แม้จะมีกระบี่ชั้นยอดก็ไม่มีประโยชน์
เขาอาจจะคิดว่ากระบี่ชั้นยอดเล่มนี้ ยังไม่ดีเท่ากับไม้เขี่ยฟืนในบ้านตัวเองด้วยซ้ำ
“กระบี่ไม่มีเก่งกาจหรือไม่เก่งกาจ ขึ้นอยู่กับคนใช้มากกว่า”
เหวินฉีเหวินกล่าว
“แล้วพี่เหวินรู้ได้อย่างไรว่าคนผู้นี้ใช้กระบี่เยี่ยมยอด…”
ชิงเสวี่ยชิงถามจนถึงที่สุด
คำถามนี้ทำให้เหวินฉีเหวินรู้สึกลำบากใจเพราะเขาไม่ค่อยรู้จักหวาหนง
ไม่แน่ใจเลยว่าเขาเป็นมือกระบี่ที่เก่งกาจหรือเป็นคนธรรมดาที่มีความคิดแปลกๆ
แต่เห็นว่าหลิวรุ่ยอิ่งให้ความสำคัญกับเขามาก เหวินฉีเหวินจึงเลือกที่จะเชื่อว่าเขาเป็นมือกระบี่ที่เก่งกาจ
ชิงเสวี่ยชิงเห็นว่าเหวินฉีเหวินไม่ตอบคำถามของตน แต่เลือกที่จะเงียบจึงรู้สึกไม่พอใจ
บุ้ยปาก ควบม้าด้วยขา และพุ่งไปข้างหน้าด้วยตัวเอง
หวาหนงหูไว ย่อมได้ยินบทสนทนาเกี่ยวกับตัวเขาอยู่ด้านหลัง
แต่เขาไม่ได้สนใจ
ใช่ว่าใครเก่งหรือไม่เก่งก็จะพูดออกมาได้ ของอะไรดีหรือไม่ดีก็ใช่ว่าจะดูแค่ภายนอก
แต่ในใจเขาได้ตั้งปณิธานลับๆ ว่าหากมีโอกาส เขาจะต้องชักกระบี่ออกมาสักครั้ง เพื่อให้เด็กสาวคนนี้ได้เห็นเป็นบุญตา
“นายท่านจิน รัฐหงมีแค่เหมืองแร่เหล็กหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เริ่มขอคำชี้แนะขึ้นมา
“นายกองหลิวรู้จักปัญจโลหะหรือไม่”
นายท่านจินเปิดประเด็นและไม่ตอบคำถามของเขาโดยตรง
“ทองคำ เงิน ทองแดง ตะกั่ว และเหล็ก เป็นปัญจโลหะขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
เรื่องพื้นฐานพวกนี้ เขาเคยเรียนในสำนักศึกษาของกรมสอบสวน
อาจารย์ที่สำนักศึกษาเคยกล่าวว่า ในสมัยโบราณมนุษย์ถูกแบ่งเป็นสิบระดับ
จากจักรพรรดิผู้สูงศักดิ์ไปจนถึงชนชั้นล่าง ทุกอย่างล้วนไม่อาจขาดไปได้
หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป กิจวัตรประจำวันของมนุษย์ก็จะพังทลาย และระเบียบของสังคมก็จะแปรปรวน
ทำให้การยืนหยัดในสังคมเป็นเรื่องยาก
ในทางกลับกัน ปัญจโลหะเป็นของขวัญจากฟ้าดิน
ทั้งเป็นทรัพยากรให้มนุษย์ใช้สอย และสอดคล้องกับวิธีการยืนหยัดในสังคม
ปัญจโลหะที่มีค่าที่สุด เกรงว่าในระยะพันลี้ถึงจะพบได้สักจุด หรืออย่างน้อยก็แปดร้อยลี้
และที่มีค่าต่ำที่สุด ไม่เพียงแต่มีปริมาณมาก แต่แหล่งผลิตก็แพร่หลาย
เหมือนกับกษัตริย์ในหมู่มนุษย์ ที่มีหนึ่งในหมื่น
แต่คนธรรมดาเป็นเหมือนปลาในแม่น้ำ แหวกว่ายไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด
“ถูกต้อง ปัญจโลหะในใต้หล้านี้ทองคำมีค่าที่สุด แต่ก็มีปริมาณน้อยที่สุดเช่นกัน ทว่าน้อยคนนักที่รู้ว่าทองคำและเหล็กเป็นสองสิ่งที่แพงที่สุดและถูกที่สุดในปัญจโลหะ แต่กลับสามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้”
นายท่านจินกล่าว
“เกิดขึ้นพร้อมกัน? หมายความว่าแร่เหล็กและแร่ทองคำอาจปรากฏพร้อมกันได้หรือ”
“ไม่แน่นอนเสมอไป แต่ก็มีความเป็นไปได้อยู่บ้าง ทองคำอาจปรากฏโดยลำพังได้ แต่ความต้องการของมนุษย์ทำให้มันไม่เป็นเช่นนั้น หากพบแร่เหล็กก็ต้องค้นหารอบๆ ให้ละเอียดเพื่อดูว่ามีทองคำหรือไม่ ถึงอย่างไรราคาทองคำสูงกว่าเหล็กถึงหนึ่งหมื่นหกพันเท่าเลยทีเดียว”
นายท่านจินพูด
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
แม้เขาจะไม่เคยเห็นเหมืองแร่ทองคำและเหมืองแร่เหล็ก แต่เขาคุ้นเคยกับทองคำและเหล็กเป็นอย่างดี
เพื่อนร่วมรุ่นในกรมสอบสวนบางคนถูกฉิงจงอ๋องเรียกตัวไปทำงานที่กรมหลอมโลหะ
ที่นั่นเป็นแหล่งหลอมโลหะที่ใหญ่ที่สุดในแดนห้าอ๋อง
หลิวรุ่ยอิ่งเคยได้ยินพวกเขาพูดถึงประสบการณ์ที่กรมหลอมโลหะ
เมื่อทองคำถูกหลอมละลายเป็นรูปร่างแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลงอีก
จุดนี้จะแตกต่างจากเงิน
ที่เมื่อหลอมในเตาจะไม่สูญเสียและไม่มีประกายไฟ
แต่เมื่อทองคำเข้าเตา ทุกครั้งที่มีลมพัดผ่านจะมีประกายทองสว่างขึ้น ยิ่งไฟแรงเท่าไร ประกายทองก็ยิ่งเกิดขึ้นบ่อยเท่านั้น
ทุกครั้งที่เกิดประกาย ก็จะสูญเสียทองคำไปเล็กน้อย
นี่คือสาเหตุที่หลอมทองแล้วได้เพียงแปดในสิบส่วน ทำให้ทองคำมีค่าสูงขึ้น
“ใกล้เหมืองแร่เหล็กของรัฐหงมีทองคำด้วยหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“จนถึงตอนนี้ยังไม่พบ ปัญจโลหะเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น สิ่งใดจะปรากฏขึ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับมนุษย์ และไม่สามารถบังคับได้”
นายท่านจินกล่าว
“พื้นที่ที่มีทองคำมากน่าจะอยู่ในอาณาจักรผิงหนานอ๋องและอาณาจักรอันตงอ๋อง ทองคำที่นั่นแปลกตรงที่มักจะปรากฏขึ้นเดี่ยวๆ ไม่มีแร่เหล็กหรือแร่อื่นๆ อยู่รอบข้าง มีเพียงหินที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘หินเคียงทอง‘ เท่านั้น เมื่อพบเห็นหินชนิดนี้ คนขุดเหมืองก็จะเริ่มขุดลึกลงไปหลายสิบจั้งจนพบหินสีน้ำตาลที่มีกลิ่นไหม้คล้ายถ่านหมดสภาพ หากพบหินประเภทนี้ ก็สามารถเริ่มเฉลิมฉลองได้เลย!”
นายท่านจินกล่าว
“ว่ากันว่าบิดามารดาเป็นเช่นไร ลูกก็เป็นเช่นนั้น ข้านึกว่าสิ่งที่เกิดมาพร้อมกับทองคำก็ควรจะมีค่าไม่ต่างกัน นึกไม่ถึงว่าจะไร้ค่าเช่นนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มพลางส่ายหัว
“นายกองหลิวอาจคิดเอนเอียงไปบ้าง…แม้ว่าทุกคนในโลกนี้จะคิดเช่นนั้น แต่ข้าคิดว่าธรรมชาติไม่น่าจะสร้างสิ่งใดโดยไร้เหตุผล ให้มันนอนเงียบๆ ข้างทองคำเพียงเพื่อให้คนพบแล้วทิ้งมันไป”
นายท่านจินกล่าว
“นายท่านจินหมายความว่า ‘หินเคียงทอง’ มีประโยชน์อื่นอีกหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ข้าก็ไม่แน่ใจว่ามันมีประโยชน์อะไรกันแน่…แต่มันไม่น่าจะไร้ประโยชน์ ธรรมชาติสร้างขึ้นมาย่อมต้องมีประโยชน์สักทาง หาก ‘หินเคียงทอง’ ไม่มีประโยชน์ใดเลย แล้วเหตุใดธรรมชาติจึงสร้างมันขึ้นมาเล่า นี่จะไม่เกินความจำเป็นไปหน่อยหรือ?”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดแล้วรู้สึกว่าเหตุผลนี้มีน้ำหนักไม่น้อย
แต่สิ่งของกับคนนั้นต่างกัน
คนมีความคิดและสามารถดำเนินการได้
สิ่งของเป็นสิ่งตายตัว
โดยเฉพาะแร่ธาตุที่ฝังอยู่ใต้ดิน ไม่เปลี่ยนแปลงหลายหมื่นปี
ต่อให้แร่ธาตุจะมีความคิด มันก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ทว่าหลิวรุ่ยอิ่งรู้จักหินทดสอบทอง ปกติแล้วจะถูกทิ้งร้างไว้ในร่องน้ำ แต่เมื่อมีทองคำปรากฏ หินชนิดนี้ก็กลายเป็นที่ต้องการทันที
หินทดสอบทองบางก้อนใหญ่เท่าถังน้ำ บางก้อนเล็กเท่ากำปั้น
หากใส่ลงในน้ำแกงห่านก็จะกลายเป็นสีดำเงางาม ราวกับได้ทาสีใหม่
ส่วนวิธีใช้หินทดสอบทองนั้น หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รู้เช่นกัน เขาเพียงอ่านเจอจากหนังสือเท่านั้น
แต่พอคิดเช่นนี้เขาก็ยิ่งเห็นด้วยกับคำพูดของนายท่านจินเข้าไปอีก
ตอนนี้ผู้คนมองว่าหินเคียงทองนั้นไม่มีประโยชน์อะไร ก็เหมือนกับที่คนเก่าก่อนมองหินทดสอบทองไม่ใช่หรือ?
ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ แค่ยังไม่ถึงเวลาที่จะใช้ประโยชน์จากมันเท่านั้น
หากวันใดพบประโยชน์ของหินเคียงทองเหล่านี้ ราคาของพวกมันก็คงไม่ต่างจากทองคำมากนัก
อย่างน้อยหินทดสอบทองที่ดีก้อนหนึ่ง ก็อาจมีมูลค่าสูงกว่าทองคำได้เลยทีเดียว
“นายท่านจินมองการณ์ไกลจริงๆ! ลำพังแค่ความเห็นต่อ ‘หินเคียงทอง’ นี้ คิดว่าใต้หล้านี้ก็คงพบได้ยากนัก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ไหนเลยจะนับว่าเป็นข้อคิดเห็นอะไร เป็นเพียงความคิดและพูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง ทว่านายกองหลิว ข้าไม่ปิดบัง ข้าเก็บ ‘หินเคียงทอง’ ไว้ในคลังใต้ดินในจวนมากมาย ราคาถูก แต่ไม่แน่ว่าวันหนึ่งอาจมีประโยชน์ก็ได้ การเตรียมพร้อมย่อมดีกว่าขาดตกบกพร่อง”
นายท่านจินกล่าว
“การมองการณ์ไกลไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะมี สิ่งสำคัญคือการมีพลังเพื่อสนับสนุนมุมมองนั้น เช่นเดียวกับข้าตอนนี้ก็รู้สึกว่า ‘หินเคียงทอง’อาจมีประโยชน์อย่างมาก แต่ข้าน้อยยังไม่มีกำลังมากพอเหมือนนายท่านจิน”
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มและกล่าว
“เฮ้อ…ข้าเองก็รีบร้อนเกินไปบ้าง ข้อเสียของการมีกำลังมากก็คือกล้าคิดกล้าทำ หากไม่ระวังเพียงนิดก็อาจนำไปสู่การสูญเสีย…”
นายท่านจินถอนหายใจ
………………………………………………………………………