ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 474 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-3
บทที่ 474 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-3
…………….
“หรือว่านายท่านจินก็เคยเดินผิดทาง?”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าคำพูดของนายท่านจินเมื่อสักครู่นั้นมีอารมณ์แฝงอย่างยิ่ง ไม่เหมือนคำพูดที่แสดงความรู้สึกปกติทั่วไป
“มีสิ! ตอนนั้นข้าเพิ่งมาถึงแหล่งแร่ไม่นาน เกิดเหตุการณ์ที่พวกทหารหมาป่ารุกรานพอดี ต้องรู้ว่า การทำการค้าเหมืองแร่เหล็กนั้น สิ่งที่ชอบที่สุดคือสงคราม ในหนึ่งปีประชาชนทั่วไปจะใช้เหล็กมากเท่าไรกัน? ทำหม้อสักใบ ไม่แน่ว่ามีดก็ยังคงใช้งานได้ดีในรุ่นหลานๆ แต่พอถึงเวลาที่มีสงคราม สิ่งที่เหล่าทหารต้องการเพื่อผลิตอาวุธจำนวนมหาศาล โล่ ธนู หรือแม้แต่ม้าที่ใช้สำหรับรบ ก็ยังต้องการเหล็กสำหรับทำเกือกทั้งสี่ข้างไม่ใช่หรือ? ข้ามาถูกเวลาพอดี ขายแร่เหล็กให้กับอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องและอาณาจักรติ้งซีอ๋อง ขณะเดียวกันก็หาวิธีให้ได้มาซึ่งคัมภีร์สำหรับการหลอมเหล็กเพื่อทำอาวุธ”
นายท่านจินกล่าว
แม้อาณาจักรห้าอ๋องจะอนุญาตให้ขุดเหมืองส่วนตัว แต่ไม่อนุญาตให้หลอมเกราะอาวุธเอง หากจับได้ก็เท่ากับก่อกบฏ มีโทษต้องตัดหัวเท่านั้น
แต่ในช่วงสงคราม กฎหมายนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่คลุมเครือ
หลักๆ คือกรมธนูและกรมยุทโธปกรณ์ของรัฐไม่มีเจ้าหน้าที่เพียงพอ
ไม่มีใครสามารถคาดเดาขนาดและระยะเวลาของสงครามได้
ในเวลานี้ เจ้าของเหมืองอย่างนายท่านจินคือคนที่ทางการเลือกเป็นพันธมิตรหลัก
กรมธนูและกรมยุทโธปกรณ์ของทางการจะมอบเอกสารอนุญาตให้แก่นายท่านจิน เขาจึงเริ่มหลอมศรธนูและอาวุธได้
แน่นอนว่าสินค้าทุกชิ้นที่ผลิตออกมาต้องขายให้ทางการเท่านั้น ห้ามซุกซ่อนเอาไว้เอง
แม้ว่าราคาจะถูกกดต่ำ แต่ด้วยจำนวนมหาศาล
ชุดเกราะหนึ่งชุดแม้จะได้กำไรเพียงเล็กน้อย แต่หลายหมื่นชุดก็เป็นรายได้ไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นใครที่ได้รับเอกสารนี้ ก็ไม่ใช่คนธรรมดา
หลายคนอิจฉาอยากมีส่วนร่วม ต่อให้พูดจนปากแห้ง เดินจนขาหักก็ไม่มีประโยชน์
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่านายท่านจินร่ำรวยจากเหมืองแร่เหล็ก แต่ไม่คิดว่าเขาจะร่ำรวยจากสงครามจริงๆ
“ยุครุ่งเรืองนิยมทองคำ ยุคแห่งความวุ่นวายนิยมโบราณวัตถุ คำพูดนี้นายกองหลิวก็คงคุ้นเคยดี”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
ในยุคที่บ้านเมืองสงบสุขโบราณวัตถุจะมีค่าสูง แต่ในยุคที่บ้านเมืองวุ่นวายทองคำจะมีค่ามากกว่า
ในยุคสงคราม การเก็บสะสมทองคำเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดสำหรับคนที่ร่ำรวย
เพราะสิ่งอื่นๆ ทั้งหลายจะถูกลดค่าลงเนื่องจากสภาพความวุ่นวายของสงคราม
ของโบราณอย่างโบราณวัตถุก็จะยิ่งไม่มีค่า!
บางทีกระถางสัมฤทธิ์อายุสามร้อยปีอาจแลกโจ๊กชามเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน จึงได้ซื้อทองจำนวนมากจากอาณาจักรอันตงอ๋อง แต่กลับถูกหลอกจนหมดตัว…”
นายท่านจินพูดพลางยิ้มขมขื่น
“เอ่อ…ทองคำยังสามารถทำของปลอมได้ด้วยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ทองคำไม่เพียงแต่สามารถปลอมแปลงได้เท่านั้น แต่วิธีการปลอมแปลงยังชาญฉลาดอีกด้วย ผู้ที่สามารถปลอมแปลงทองคำได้ล้วนเป็นคนที่ไม่ธรรมดา! นายกองหลิวรู้หรือไม่ว่าสามารถผสมอะไรเข้ากับทองคำได้บ้าง”
นายท่านจินถาม
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้จึงมองนายท่านจินด้วยความสงสัย
“ทองสามารถผสมกับแร่ธาตุได้เพียงชนิดเดียวก็คือเงิน!”
นายท่านจินกล่าว
“เงิน? แต่หากผสมเงินเข้ากับทอง มันก็ยังมีค่าอยู่ไม่ใช่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งพูด
“ถึงเงินจะมีค่ากว่าเหล็ก แต่หากเทียบกับทองแล้ว มันถูกกว่ามาก…ทองคำที่ข้าซื้อมารอบนั้น มีส่วนผสมของเงินถึงสามต่อสิบส่วน”
แม้จะผ่านมาหลายปี แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดใจ
“สุดท้ายแล้วจัดการทองคำและเงินเหล่านี้อย่างไรหรือขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามด้วยความสนใจ
เขายังไม่เคยรู้และไม่เคยสัมผัสเรื่องนี้มาก่อน จึงรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง
“หากต้องการแยกเงินออกและเก็บทองคำไว้ ก็ต้องทุบทองที่มีส่วนผสมของเงินเหล่านั้นให้เป็นแผ่นบางๆ แล้วให้ช่างใช้กรรไกรตัดเป็นเศษเล็กๆ จากนั้นต้มในหม้อน้ำเดือดเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้วตักออกมา ต่อจากนั้นหุ้มด้วยโคลนขณะที่ยังร้อนอยู่และตรวจสอบให้แน่ใจว่าปิดมิดชิดดี ไม่มีอากาศเข้า ทิ้งไว้ในที่ร่มประมาณสามวันสองคืน จากนั้นก็โยนทั้งหมดลงในเตาหลอม ให้โคลนดูดซับเงินออก และทองคำก็จะไหลออกมา นั่นแหละคือทองคำที่แท้จริง”
นายท่านจินกล่าว
“เวลาเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้…”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดกับตัวเอง
“แล้วเงินที่ถูกโคลนดูดซับไปจะทำอย่างไร มีวิธีนำมันออกมาได้หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“วิธีน่ะมี แต่การลงทุนไม่คุ้มค่า เมื่อได้เรียนรู้แล้วก็ปล่อยมันไป คนอื่นคิดว่าข้าเปลี่ยนเป็นแซ่จินเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกครหา อีกอย่าง ‘จิน’ และ ‘ชิง’ ก็ออกเสียงคล้ายกัน แต่จริงๆ แล้ว ข้าเปลี่ยนแซ่ของตัวเองเพื่อให้จดจำบทเรียนครั้งนั้นไว้”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแซ่ ‘จิน’ ของนายท่านจินมีที่มาที่ไปที่ซับซ้อนเช่นนี้
เริ่มแรกสุดตอนที่เถ้าแก่เนี้ยเล่าเรื่องนายท่านจิน หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าด้วยสถานะเจ้าของเหมืองและความมั่งคั่งของเขา คนอื่นๆ จึงตั้งฉายาที่ดูดีให้กับเขา
ต่อมาได้ฟังเรื่องราวในอดีตและความวุ่นวายของนายท่านจิน จึงคิดว่าเขาพยายามหลบหนี
แต่ท้ายที่สุด หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกว่าตัวเองยังประเมินนายท่านจินต่ำเกินไป
เขาไม่ใช่เจ้าของเหมืองธรรมดา หรือคนที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เพียงแค่แซ่ธรรมดา แต่กลับมีเรื่องราวลึกซึ้งของนายท่านจิน
หลิวรุ่ยอิ่งจึงรู้สึกนับถือเขามากขึ้น
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด ม้าของนายท่านจินก็พลันหยุดลง
ไม่ไกลจากที่นั่นมีคนหนึ่งยืนอยู่
เขาหันหลังให้กับทุกคน เหมือนกำลังมองไปยังที่ห่างไกล
หลังจากนายท่านจินจ้องไปที่เขาชั่วครู่หนึ่งก็ยิ้มแย้ม
“นายกองหลิว ปากเจ้านำโชคมาหรือ”
นายท่านจินถาม
“คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
นายท่านจินไม่ได้ตอบ แต่หยิบแส้ม้าชี้ไปข้างหน้า
หลิวรุ่ยอิ่งขมวดคิ้วและเพ่งมอง คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเสี่ยวจีหลิง
คนที่ฉลาดมีมากมายในใต้หล้านี้ แต่หากแค่ยืนนิ่งๆ ก็ไม่สามารถบ่งบอกได้
จุดนี้มีเพียงเสี่ยวจีหลิงที่ต่างออกไป
แม้เขาจะยืนนิ่งเหม่อลอยอยู่กับที่ แต่พลังความฉลาดนั้นก็ยังเหนือกว่าพายุทรายในเหมือง ประดังออกมา
“เขาไปครั้งนี้ตั้งสามวันเชียวหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“หากรวมวันนี้ด้วยก็เป็นสามวันครึ่งแล้ว! ด้วยท่าร่างของเขา แม้จะไปถึงอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องก็สามารถไปกลับได้สองรอบ”
นายท่านจินกล่าว
ทุกคนขี่ม้าช้าๆ ค่อยๆ ตามเขาไป
จนกระทั่งใกล้ถึง เสี่ยวจีหลิงจึงหันกลับมา โบกมือให้หลิวรุ่ยอิ่งและนายท่านจินพร้อมทั้งผิวปากเสียงดัง
ผลก็คือม้าของทุกคนที่ได้ยินเสียงผิวปากต่างก็กระโจนออกไป
ไม่ว่าจะดึงบังเหียนอย่างไรก็ไม่ได้ผล
“เป็นอย่างไรเล่า ข้าฝึกม้าเหล่านี้ได้ไม่เลวใช่หรือไม่?!”
เมื่อม้าห้าตัววิ่งมาใกล้เสี่ยวจีหลิงเพียงครึ่งจั้ง เขาก็ผิวปากอีกครั้ง
ม้าที่พุ่งไปอย่างรวดเร็วก็หยุดลงทันที พร้อมทั้งพ่นลมหายใจหนักๆ
“เจ้าฝึกม้าตั้งแต่เมื่อไรกัน ข้าไม่เห็นรู้เลย”
นายท่านจินกล่าว
“อันที่จริงข้าก็ไม่ได้ฝึกอะไรมากนัก…เพียงแต่ตอนที่ข้าอยู่กับน้องสาวของท่านไม่กี่วัน ข้าให้พวกมันกินหูหลัวโป (แครรอท) สดทุกคืน และผิวปากไปด้วยแค่นั้นเอง หลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกมันก็เคยชินแล้ว เมื่อได้ยินเสียงผิวปากของข้า ก็คิดว่ามีหูหลัวโปให้กินอีกจึงวิ่งมาหาข้าทันที”
เสี่ยวจีหลิงตอบ
จากนั้นหยิบหูหลัวโปสดห้าหัวจากในอกและป้อนใส่ปากม้าทีละหัว
ใบหน้าชิงเสวี่ยชิงซีดเผือด…
ชัดเจนว่าม้าตัวที่นางขี่เมื่อครู่พุ่งออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ ทำให้นางตกใจไม่น้อย
โชคดีที่เหวินฉีเหวินรีบเข้ามาพยุงไหล่ของนางไว้ ไม่เช่นนั้นชิงเสวี่ยชิงคงตกลงมาจากหลังม้าเป็นแน่…
นายท่านจินกับหลิวรุ่ยอิ่งลงจากม้า
พอเจอเสี่ยวจีหลิงย่อมต้องทักทายกันเล็กน้อย
“สามวันนี้ เจ้าไปไหนมาอีก”
นายท่านจินถาม
“อาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง”
เสี่ยวจีหลิงตอบ
“นายท่านจิน ดูเหมือนปากของท่านจะมีโชคจริงๆ!”
“มีเรื่องอะไรสนุกๆ เกิดขึ้นหรือ”
นายท่านจินถาม
เสี่ยวจีหลิงยื่นนิ้วชี้ขวาออกมาและส่ายไปมาให้ทั้งคู่
นายท่านจินกับหลิวรุ่ยอิ่งผิดหวังเล็กน้อย…
เสี่ยวจีหลิงไม่ยอมพูด ก็ยากที่จะทำให้เขาเปิดปาก
“อาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องสงบดี แต่ระหว่างทางกลับข้าเห็นเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงเพิ่งถูกเหวินฉีเหวินช่วยประคองลงมาจากหลังม้า
เมื่อได้ยินว่าเสี่ยวจีหลิงมีเรื่องสนุกจะเล่า นางก็รีบเข้ามาแทรกและลืมเรื่องที่เขาแกล้งนางไปทันที
“เรื่องอะไรหรือ รีบบอกมา!”
นายท่านจินพูดขึ้น
เขาหยิบถุงน้ำจากหลังม้ามาหนึ่งถุงแล้วยื่นให้ ภายในมีสุราแรง
ไม่มีสุราก็จะไม่พูดคุย นั่นคือนิสัยของเสี่ยวจีหลิง
เสี่ยวจีหลิงเปิดถุงน้ำและดื่มเต็มที่ไปหลายอึก จากนั้นเช็ดปากด้วยแขนเสื้อ แล้วเริ่มเล่าเรื่องอย่างกระตือรือร้น
“ชายสิบกว่าคนตามรถม้าคันหนึ่ง พวกเจ้าว่าน่าสนุกหรือไม่”
เสี่ยวจีหลิงถาม
“ไม่สนุก…”
นายท่านจินกับหลิวรุ่ยอิ่งพูดพร้อมกัน
“แล้วถ้าชายสิบกว่าคนตามรถม้าที่มีสตรีนั่งอยู่ด้านในเล่า”
เสี่ยวจีหลิงถามต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งกับนายท่านจินหันมายิ้มให้กัน เรื่องราวน่าสนใจขึ้นแล้ว
“ชายสิบกว่าคนที่ไม่ใช่คนจากอาณาจักรห้าอ๋องตามรถม้าที่มีสตรีสามคน ไม่ใช่เรื่องแปลกมากหรอกหรือ พวกเขาไม่ใช่โจรปล้นและไม่ใช่คนติดตามของสตรีทั้งสามด้วย แต่กลับตามติดอยู่ด้านหลังอย่างไม่รีบร้อน รถม้าหยุด พวกเขาก็หยุด รถม้าเคลื่อนที่ พวกเขาก็เคลื่อนที่ตาม”
เสี่ยวจีหลิงพูดขณะดื่มสุราอีกหลายอึก
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ใช่คนจากอาณาจักรห้าอ๋อง”
หลิวรุ่ยอิ่งจับประเด็นสำคัญได้ทันที
“จากท่าทางและดาบโค้งที่เอวของพวกเขา”
เสี่ยวจีหลิงตอบ
“ดาบโค้งนั้นมีลักษณะอย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม จิตใจไม่สงบ
“ดาบโค้งนั้นมีใบดาบที่กว้างกว่าดาบโค้งทั่วไป ใบดาบโค้งขึ้นสูงจนสามารถใช้เป็นด้ามจับได้เลย!”
เสี่ยวจีหลิงอธิบายพร้อมกับทำมือประกอบ
หลิวรุ่ยอิ่งยิ่งฟังยิ่งหวั่นใจ ไม่อาจห้ามใจได้ถึงกับหายใจเข้าลึกๆ
“พวกเขาอยู่ที่ไหน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
น้ำเสียงสั่นไหวเพราะความร้อนรน
“ไม่ไกลจากที่นี่…ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมุ่งหน้ามาที่เหมือง หากมาจริงๆ คาดว่าไม่เกินหนึ่งวันก็จะถึง”
เสี่ยวจีหลิงกล่าวหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“นายกองหลิวพบอะไรเข้าหรือ”
นายท่านจินถาม
เขาสังเกตเห็นความผิดปกติของหลิวรุ่ยอิ่งเมื่อครู่
“ดาบโค้งที่เสี่ยวจีหลิงพูดถึงเมื่อกี้นี้ ข้าเคยเห็นมาก่อน ถ้าเดาไม่ผิด คนผู้นั้นคงจะเป็นจิ้งเหยา”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หากจะพูดถึงชื่อที่โด่งดังที่สุดในดินแดนพายัพในขณะนี้ ไม่ใช่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา ไม่ใช่ติ้งซีอ๋องฮั่ววั่ง ไม่ใช่ซุนเต๋ออวี่ จิ้นเผิง เยว่ตี๋ หรือหลิวรุ่ยอิ่ง แต่เป็นจิ้งเหยา
คนที่พอรู้ข่าวสารบ้างย่อมรู้ว่าผู้ที่เริ่มปล้นเบี้ยหวัดทหารสี่ล้านตำลึงในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องก็คือจิ้งเหยา ผู้นำหน่วยจากราชสำนักทุ่งหญ้า
“หากเป็นจริงเช่นนั้น ไม่เสียแรงที่นายกองหลิวทำงานหนักมาตลอด แต่เหตุใดจิ้งเหยากับพรรคพวกถึงต้องตามติดรถม้าที่มีสตรีสามคนนั่งอยู่เล่า”
นายท่านจินถาม
เสี่ยวจีหลิงเพียงยักไหล่ สื่อความว่าตนก็ไม่รู้สาเหตุ
นายท่านจินนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะเชิญเสี่ยวจีหลิงไปเหมืองด้วยกัน แต่เสี่ยวจีหลิงปฏิเสธทันที พร้อมบอกว่าเขาต้องการไปจวนของนายท่านจิน
ตามที่เขาได้บอกกล่าว สามวันนี้ไม่ได้กินอาหารดีๆ หรือนอนหลับอย่างเต็มอิ่มเลย
แต่นายท่านจินกับหลิวรุ่ยอิ่งกลับรู้ดี
เสี่ยวจีหลิงแค่อยากดื่มสุราเท่านั้นเอง…
………………………………………………………………………
…………….