ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 475 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-4
บทที่ 475 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-4
…………….
“สตรีสามคน…รถม้า…”
หลิวรุ่ยอิ่งพึมพำกับตัวเองเบาๆ
หลังจากเสี่ยวจีหลิงพูดถึงรถม้าเมื่อครู่ ทำให้เขานึกถึงบางอย่าง
ในความคิดของเขา สิ่งเดียวที่สามารถเชื่อมโยงระหว่างรถม้ากับหญิงสาวได้คือ เจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาล
ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันที่หัวเมืองรัฐติงในอาณาจักรติ้งซีอ๋อง พวกนางก็นั่งรถม้ามาด้วยกัน
และเมื่อมาถึงหอทรงปัญญา พวกนางก็นั่งรถม้ามาด้วยเช่นกัน
แต่เจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลก็มีเพียงสองคน
ด้วยนิสัยของนายบ่าวคู่นี้ หลิวรุ่ยอิ่งไม่อาจคาดคิดได้เลยว่าพวกนางจะไปคบหาผู้คนภายนอกและร่วมเดินทางไปด้วยกัน
หากเป็นเจ้าหมิงหมิงจริงๆ เช่นนั้นหญิงสาวคนที่สามนั้นเป็นผู้ใด
คิดอยู่นาน หลิวรุ่ยอิ่งก็ยังหาคำตอบไม่ได้ สุดท้ายต้องขึ้นม้าและเดินทางต่อภายใต้การเร่งเร้าของท่านจิน
สีหน้าของหวาหนงดูเศร้าหมองเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เสี่ยวจีหลิงยืนอยู่ไกล ไม่มีผู้ใดจำได้ว่าเขาเป็นใคร หวาหนงกลับคิดว่าเขาจะได้โอกาสชักกระบี่แล้ว
ไม่คาดคิดว่า ผู้มาเยือนจะเป็นคนรู้จัก เป็นสหาย
กระบี่ควรชักออกมาเพื่อต่อสู้กับสัตว์ร้ายหรือศัตรูเท่านั้น
หากชักกระบี่ใส่สหาย ผู้นั้นย่อมไม่คู่ควรถือกระบี่
มือขวาของหวาหนงวางอยู่บนด้ามกระบี่ตลอดเวลา จนกระทั่งเขาแน่ใจถึงตัวตนของเสี่ยวจีหลิง จึงค่อยๆ คลายมือออก
ทว่าฉากนี้ในสายตาของชิงเสวี่ยชิง กลับทำให้นางรู้สึกกังวล
นางเข้าใจว่าหวาหนงหวาดกลัว
เมื่อคนเรากลัวมักจะมองหาที่พึ่งและที่ยึดเหนี่ยว
ทว่าหากอันตรายจริงๆ มาถึง การจุดตะเกียงจะมีประโยชน์อันใด?
ภัยคุกคามย่อมไม่หายไปเพียงเพราะมีแสงสว่าง และผู้ที่ตั้งใจจะสังหารเจ้า ย่อมไม่หวาดกลัวเพียงเพราะแสงจากเทียนเล่มหนึ่ง
ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงการหลอกตัวเอง
เห็นแสงสว่างแล้วก็ทำให้จิตใจสงบขึ้น
หากยังคงอยู่ในความมืดมิด ก็จะต้องตายไปอย่างโง่งมไม่ใช่หรือ?
“เจ้าไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรหรอก!”
ชิงเสวี่ยชิงพูดปลอบหวาหนง
นางเป็นหญิงสาวที่มีจิตใจอ่อนโยน และคำปลอบโยนนี้ก็มาจากความหวังดี
ใครจะคิดว่าคนพูดไม่รู้สึกอันใด แต่คนฟังกลับคิดไปอีกทาง
เมื่อคำพูดนั้นเข้าหูของหวาหนง กลับมีความหมายเป็นอื่น
“เจ้ากำลังบอกว่าข้ากลัวงั้นหรือ”
หวาหนงชี้จมูกของตนเองพลางเอ่ยถาม
ชิงเสวี่ยชิงพยักหน้าอย่างไร้เดียงสา
เมื่อหวาหนงเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเยาะเบาๆ ก่อนจะเมินเฉยไม่สนใจ
ในสายตาของเขา เด็กสาวที่ไร้เดียงสาเช่นนางไม่คู่ควรที่จะเสียเวลาด้วย
“คนอะไรน่ะ…”
ชิงเสวี่ยชิงบ่นด้วยความไม่พอใจ
“น้องชิง มีอันใดหรือ”
เหวินฉีเหวินเอ่ยถาม
“ข้าแค่หวังดีปลอบเขาไม่ให้หวาดกลัว แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี…เมื่อครู่นี้เห็นได้ชัดว่าเขาตื่นตระหนกจนกระชับด้ามกระบี่แน่นจนเล็บซีดขาว!”
ชิงเสวี่ยชิงพูดขึ้น
“อย่าไปถือสาคนเช่นนั้นเลย ใครจะรู้ว่าเขาโผล่มาจากที่ใด แล้วเหตุใดนายกองหลิวจึงได้ให้ความสำคัญกับเขานัก”
เหวินฉีเหวินเอ่ย
หวาหนงที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็กระตุกบังเหียนม้าอย่างแรง ม้าของเขาร้องเสียงดังและหยุดนิ่งทันที
การหยุดกะทันหันเช่นนี้ทำให้เหวินฉีเหวินและชิงเสวี่ยชิงที่ตามหลังมาตั้งตัวไม่ทัน
โดยเฉพาะชิงเสวี่ยชิงที่ไม่คุ้นเคยกับการขี่ม้าระยะทางไกล เกือบเสียหลักจนร่วงจากหลังม้า
“เจ้าทำอันใดของเจ้า?”
เหวินฉีเหวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ก่อนจะวิจารณ์ผู้อื่น เจ้าควรจะระวังคำพูดของตัวเองเสียก่อน”
หวาหนงตอบ
“น้องชิงเพียงแค่ห่วงใยเจ้า นางไม่ได้หวังให้เจ้าขอบคุณ แต่เจ้ากลับไม่ให้แม้แต่สีหน้าดีๆ ยังมีสิทธิ์มาว่าข้าอีกหรือ”
เหวินฉีเหวินพูดต่อ
“ข้าไม่ต้องการความเป็นห่วงเป็นใย อีกอย่างข้าไม่เคยหวาดกลัว”
หวาหนงตอบ
“น้องชิงพูดถูก ข้าก็เห็นอย่างชัดเจน! อีกอย่าง ความกลัวนั้นเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ข้าเองก็เคยกลัว มีสิ่งใดน่าอายที่จะต้องยอมรับมัน?”
เหวินฉีเหวินตอบโต้
“ข้าก็พูดไปแล้ว ข้าไม่ได้กลัว เจ้าฟังไม่รู้เรื่องหรือ”
หวาหนงตอบกลับ
เหวินฉีเหวินโกรธจนหัวเราะออกมา แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง และควบม้าไปพร้อมชิงเสวี่ยชิงออกเดินต่อ
“นับตั้งแต่วันนี้ที่เริ่มออกเดินทางมา พวกเจ้าสองคนก็เอาแต่พูดนินทาอยู่ข้างหลังข้า…ข้าแค่ไม่อยากโต้แย้งกับพวกเจ้าเท่านั้น ใครจะคิดว่าพวกเจ้ากลับยิ่งล้ำเส้นเข้าไปอีก”
หวาหนงกล่าว
“เจ้าเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ เหตุใดจึงทำตัวเหมือนสตรีขี้บ่นเช่นนี้”
เหวินฉีเหวินหันมาพูด
“ข้าไม่เพียงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่ยังเป็นมือกระบี่อีกด้วย หากมีคนเยาะเย้ยกระบี่ของมือกระบี่ เจ้าคิดว่าจะเกิดอันใดขึ้น”
หวาหนงเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน
น้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
เหวินฉีเหวินยิ้มเล็กน้อย เขาย่อมเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของหวาหนงดี
กระบี่ของมือกระบี่ ดาบของมือดาบ หมัดของนักมวย และขาของนักเต้นรำ ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิต
หากกระบี่ของมือกระบี่ถูกเหยียดหยาม ย่อมทรมานยิ่งกว่าการถูกเฉือนเป็นพันๆ ครั้ง
เหวินฉีเหวินเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งยังเป็นมือดาบ
เขาย่อมเข้าใจหลักการนี้เป็นอย่างดี…
หลิวรุ่ยอิ่งและนายท่านจินนำทางอยู่ด้านหน้าพลางสนทนาอย่างออกรส
เมื่อได้ยินเสียงด้านหลังเงียบลง ทั้งคู่ก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
พวกเขาจึงหยุดม้าและหันกลับไปเห็นว่าที่ด้านหลังไม่ไกล เหวินฉีเหวินและหวาหนงลงจากม้า กำลังยืนประจันหน้ากันอยู่
“พวกเขาสองคนเป็นอะไรไป”
หลิวรุ่ยอิ่งถามขึ้น
“บุรุษทะเลาะกันส่วนใหญ่มักจะเป็นเพราะเรื่องใดเล่า”
นายท่านจินถามกลับ
“แน่นอนว่าเพื่อผลประโยชน์หรือเพราะสตรี”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
การประลองระหว่างบุรุษ นอกจากเรื่องผลประโยชน์แล้ว ก็เป็นการแย่งชิงความรักของสตรี
บุรุษคนหนึ่งเมื่อแก่ตัวลง หากไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งกับคนอื่นเพราะเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวหรือแย่งชิงสตรีเพราะความหึงหวง ก็ถือว่าใช้ชีวิตสูญเปล่าไปกว่าครึ่งชีวิต
ผลประโยชน์คือความจริง
มันคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนดำรงชีวิตอยู่ได้ ไม่ต้องทนหิวโหย
ทุกคนต้องการมีชีวิตอยู่ การมีชีวิตอยู่ย่อมต้องมีปัจจัยสี่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวโยงกับผลประโยชน์ทั้งสิ้น
แต่มนุษย์ไม่ใช่พืชที่รดน้ำแล้วจะผลิดอกออกผล
ความต้องการทางจิตวิญญาณมักเป็นสิ่งที่ยากจะเติมเต็ม
ศักดิ์ศรี เกียรติยศ และความรัก
ระหว่างหวาหนงและเหวินฉีเหวินไม่มีผลประโยชน์ใดที่ขัดแย้งกัน
และหลิวรุ่ยอิงก็รู้ดีว่า เขาไม่ใช่คนที่จะไปแย่งชิงความรัก
กระทั่งออกจะเย็นชาและเฉยเมยเกินไปด้วยซ้ำ
อารมณ์ความรู้สึกในมนุษย์ หวาหนงยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้
แต่เมื่อเทียบกับตอนที่หลิวรุ่ยอิ่งเจอเขาครั้งแรก ถือว่าต่างกันราวฟ้ากับดินแล้ว
“แต่พวกเขาทั้งคู่ยังไม่นับว่าเป็นบุรุษ…ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ หรือเพราะสตรี แล้วเป็นเพราะสิ่งใดกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“หายนะจากปากอย่างไรเล่า! เหวินฉีเหวินเป็นนายน้อยใหญ่ที่เติบโตมาอย่างถูกเอาอกเอาใจ จึงพูดจาไม่ระวัง ส่วนศิษย์หลานของเจ้าผู้นี้ ข้าดูออกว่าเขาเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่น คนจิตใจหนักแน่นต้องมาอยู่ร่วมกับคนที่พูดจาไม่ยั้งคิดได้อย่างสงบมานานเพียงนี้ ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว!”
นายท่านจินตอบ
หลิวรุ่ยอิ่งมองนายท่านจินด้วยความประหลาดใจ
เขาคิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน นายท่านจินจะเข้าใจหวาหนงได้อย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้
ชายชราเลี้ยงม้าเคยบอกหลิวรุ่ยอิ่งว่า อาวุธที่น่ากลัวที่สุดในยุทธภพไม่ใช่ดาบหรือกระบี่ แต่เป็นรอยยิ้มของหญิงงามและเจตนาร้ายของคนดี
คนที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่มือสังหารที่อ้างว่าแม่นยำไม่พลาดเป้า แต่เป็นคนที่สามารถมองเจ้าได้ทะลุปรุโปร่งในทันที
ประโยคแรกเข้าใจได้ง่ายมาก
แม้ทองพันชั่งก็ไม่อาจซื้อความสุขจากหญิงงามได้
เพียงแต่แค่รอยยิ้มเดียวของหญิงงาม ก็ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่นางไม่สามารถทำให้สำเร็จได้
รอยยิ้มมีพลังลึกลับที่ส่งผลต่อทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือความจริงใจ
แต่รอยยิ้มของหญิงงาม กลับมีอานุภาพที่ทำให้ผู้คนคลุ้มคลั่งหลงใหลได้
แม้กระทั่งยอมเสียทุกสิ่งเพื่อให้รอยยิ้มนั้นคงอยู่ได้นานขึ้นและปรากฏบ่อยครั้งขึ้น
ส่วนคนดีที่เรียกว่าคนดี เพราะพวกเขามีเจตนาดีอยู่แล้ว
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีเจตนาที่บิดเบี้ยว
หากจู่ๆ คนดีเกิดมีเจตนาร้ายขึ้นมา ย่อมน่ากลัวยิ่งกว่าคนที่ร้ายกาจตั้งแต่ต้นเสียอีก
เหล่าอันธพาลเมื่อเดินอยู่บนถนน ผู้คนย่อมรู้จักดี
สู้ไม่ได้ก็ยังเลี่ยงได้
แต่คนใจดีผู้คนยังต้อนรับไม่ทันด้วยซ้ำ ไหนเลยจะทันได้หลีกเลี่ยง?
สุดท้ายกลับถูกทำร้ายอย่างไม่ทันตั้งตัว ตนเองยังไม่รู้สึกถึงภัยนั้นด้วยซ้ำ
เรื่องเหล่านี้ หลิวรุ่ยอิ่งเคยประสบมาแล้วหลายครั้งหลายหน
แต่หากพูดถึงมองเพียงแวบเดียวก็สามารถมองทะลุปรุโปร่งได้นั้น กลับเพิ่งจะได้สัมผัสเมื่อครู่นี้เอง
นายท่านจินก็คือผู้ที่ชายชราเลี้ยงม้าเคยกล่าวถึงไม่ใช่หรือ?
เขาเจอหวาหนงเพียงไม่กี่วัน พูดคุยกันไม่เกินห้าประโยค แต่สามารถบอกได้ว่าหวาหนงเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่น
หลิวรุ่ยอิ่งคิดไม่ออกว่าจะมีคำอธิบายใดที่เหมาะสมกว่านี้
ความดีของคนใจดีมาจากความรัก รอยยิ้มของหญิงงามมาจากความเป็นมิตร
คนที่มีจิตใจหนักแน่น ไม่ยอมถอย เพราะมีความกล้า
ความรัก ความเป็นมิตร และความกล้าหาญ สำคัญมากสำหรับคนหนึ่งคน
ปราชญ์มากมายเคยกล่าวไว้อย่างมั่นใจว่า หากคุณสมบัติทั้งสามนี้รวมอยู่ในตัวคนผู้หนึ่ง เขาผู้นั้นจะกลายเป็นบุคคลผู้เจิดจรัสในประวัติศาสตร์
ทว่าหลิวรุ่ยอิงกลับไม่คิดเช่นนั้น
แม้เขาจะยอมรับว่าคุณสมบัติทั้งสามนี้มีความสำคัญยิ่ง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะเปลี่ยนแปลงคนคนหนึ่งได้
เมื่อเทียบกับความรัก ความเป็นมิตร และความกล้าหาญแล้ว ความมุ่งมั่นต่างหากที่เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของคนเราแตกต่างกันดั่งฟ้ากับเหว
เชือกเลื่อยไม้จนขาด น้ำเซาะหินจนกร่อน
ไม่ได้มาจากความกล้าที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว หรือความเป็นมิตรที่ไม่ทำร้ายใคร แต่เป็นเพราะความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ต่างหาก
เพียงสิ่งนี้เท่านั้น จึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนและสภาพแวดล้อมรอบข้างได้อย่างแท้จริง
“ดูท่าว่าปาฏิหาริย์นี้จะไม่ยั่งยืน จุดนี้เป็นความจริงทีเดียว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
เมื่อพูดจบ เขาก็เตรียมตัวจะเดินเข้าไปห้ามปราม
แต่กลับถูกนายท่านจินยื่นมือมาขวางไว้ก่อน
“นายกองหลิว หากเจ้าจะเข้าไปห้ามพวกเขาตอนนี้ ก็เพียงแค่ระงับอารมณ์ชั่วคราวเท่านั้น…แต่เมื่อถึงเวลาที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง มันจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม!”
นายท่านจินกล่าว
“การทะเลาะกันในกลุ่มเดียวกันไม่เคยเป็นเรื่องดี…ข้ากลัวว่าจะมีคนได้รับบาดเจ็บ”
“นายกองหลิวเชื่อมั่นในตัวศิษย์หลานของเจ้าหรือไม่”
นายท่านจินถาม
หลิวรุ่ยอิ่งเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ
คำตอบนั้นชัดเจนแล้ว
กระบี่ของหวาหนงเขาเคยสัมผัสมันด้วยตนเองมาแล้ว
ทันใดนั้น หลิวรุ่ยอิ่งพลันหวนคิดถึงชายผู้หนึ่งขึ้นมา
ผู้มีนามว่าสืออีเฟิง ฉายา ‘กระบี่ไวผิงหนาน’
ครั้งอยู่ที่หัวเมืองรัฐติง เขาเคยทำงานร่วมกับหลิวรุ่ยอิ่งในฐานะหนึ่งในเครือข่ายของกรมสอบสวนกลาง ช่วยหลิวรุ่ยอิ่งจัดการเรื่องต่างๆ แต่กลับต้องจบชีวิตอย่างน่าอนาถในโรงเตี๊ยม
‘กระบี่ไวผิงหนาน’ ผู้เกรียงไกรกลับยังไม่ทันชักกระบี่ กลายเป็นเรื่องขบขันที่เล่าลือไปทั่วแผ่นดิน!
ทว่าผู้ที่สังหารสืออีเฟิงนั้น จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด
หลิวรุ่ยอิ่งอดเปรียบเทียบมือสังหารลึกลับผู้นั้นกับหวาหนงในใจไม่ได้
ทั้งสองล้วนเป็นผู้ใช้กระบี่
และยังเป็นกระบี่เร็วทั้งคู่
แต่ใครจะเร็วกว่ากัน?
คิดเปรียบเทียบอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบใด
ขณะที่นายท่านจินดูจะสนอกสนใจกับสถานการณ์ตรงหน้าอยู่ไม่น้อย เขาหยิบถุงน้ำที่บรรจุสุราจากอานม้า
แล้วเงยหน้าดื่มไปหลายอึก ก่อนจะส่งต่อให้หลิวรุ่ยอิ่ง
แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่มีกะจิตกะใจที่จะดื่มสุราในตอนนี้ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจได้ จึงรับมาดื่มพอเป็นพิธี
“กระบี่ของข้าแม้จะดูธรรมดา…แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าแก่นแท้ของกระบี่คือสิ่งใด”
หวาหนงถาม
เหวินฉีเหวินไม่ตอบ
เขาไม่เคยให้ความสำคัญกับหวาหนงแม้แต่น้อย
เมื่อเขาดูถูกใครสักคนโดยสิ้นเชิง การเมินเฉยถือเป็นการการตอบโต้เจ็บแสบที่สุด
เมื่อหวาหนงเห็นดังนั้น จึงหันไปมองหลิวรุ่ยอิ่งเล็กน้อย
เห็นเพียงหลิวรุ่ยอิ่งมีสีหน้าผ่อนคลาย ไม่มีท่าทีตำหนิใดๆ ราวกับว่าได้รับอนุญาตโดยปริยาย หวาหนงจึงวางใจลง
“ดาบของเจ้าดูดีกว่ากระบี่ของข้า ทว่าดาบและกระบี่ก็ไม่ได้มีไว้ให้ชมเท่านั้น ลองดูหรือไม่”
หวาหนงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
โดยเฉพาะคำว่า ‘ลองดู’ สองคำสุดท้ายนั้น ทำให้เหวินฉีเหวินรู้สึกเสียหน้าเป็นที่สุด…
ยิ่งไปกว่านั้น ชิงเสวี่ยชิงยังอยู่ข้างๆ
…………………………………………………………………
…………….