ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 476 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-5
บทที่ 476 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-5
…………….
“พี่เหวิน พอเถอะ…พวกเราคนกันเองทั้งนั้น อย่าทำลายความสามัคคีเลย!”
ชิงเสวี่ยชิงคว้าแขนเสื้อของเหวินฉีเหวินไว้พร้อมกล่าว
“ความสามัคคีไม่ใช่การกล้ำกลืนฝืนทน คนอื่นมาขี่คอฉี่รดหัวข้าจนขนาดนี้แล้ว ข้ายังจะรักษาความสามัคคีได้อย่างไร”
เหวินฉีเหวินกล่าวโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
คำพูดนี้ทำให้ชิงเสวี่ยชิงตกใจอย่างยิ่ง!
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเหวินฉีเหวินพูดจาหยาบคายเช่นนี้
ชั่วพริบตา ชิงเสวี่ยชิงรู้สึกว่าคนตรงหน้าเป็นคนแปลกหน้าไปเสียแล้ว
ความอ่อนโยนและความอดทนของเขาในวันวานดูเหมือนจะหายไปหมดสิ้นในชั่วพริบตา
นับจากวินาทีนั้น ชิงเสวี่ยชิงเริ่มเข้าใจบุรุษมากขึ้น
สิ่งที่นางได้เรียนรู้คงมีเพียงนางเท่านั้นที่รู้
เหวินฉีเหวินค่อยๆ ชักดาบออกมา
ใบหน้าของไร้ซึ่งอารมณ์
เขามั่นใจในตัวเองและมั่นใจในดาบที่ถืออยู่ในมืออย่างยิ่ง
ฟันดาบออกไป พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
แต่ในใจเขายังมีขอบเขตอยู่บ้าง
ถึงอย่างไรหวาหนงก็เป็นศิษย์หลานของนายกองหลิว หากเขาไม่ยอมผ่อนปรนแม้แต่น้อย ก็จะทำให้หลิวรุ่ยอิ่งเสียหน้าไปด้วย
ดังนั้น จึงคิดว่าการประลองนี้ควรจบเพียงแค่ให้เห็นฝีมือเท่านั้น
หวาหนงจับด้ามกระบี่
กระบี่ของเขาไม่มีฝัก
แต่ตอนนี้เหวินฉีเหวินชักดาบออกมาแล้ว ความแตกต่างระหว่างทั้งสองคนจึงหายไป
“กระบี่ของเจ้า ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องมีฝักกระบี่”
เหวินฉีเหวินกล่าว
น้ำเสียงเย้ยหยันอย่างเห็นได้ชัด
“ถูกต้อง เพราะการชักกระบี่ออกจากฝักทำให้เสียเวลา”
ไม่คิดว่าหวาหนงจะพยักหน้าตอบด้วยความจริงใจ
“เจ้าให้ความสำคัญกับเวลาอย่างนั้นหรือ”
เหวินฉีเหวินถาม
“แน่นอน หรือเจ้าไม่ใส่ใจ?”
หวาหนงถามกลับ
ไม่มีใครที่ไม่ใส่ใจเวลา ดังนั้นเหวินฉีเหวินจึงมองข้ามคำถามไร้สาระของหวาหนง
ทว่าความหมายของ ‘เวลา’ ที่หวาหนงพูดถึง กับ ‘เวลา’ ที่เหวินฉีเหวินกล่าวถึงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เวลาที่หวาหนงหมายถึงคือช่วงวินาทีของความเป็นความตาย
ส่วนเหวินฉีเหวินกล่าวถึงเวลาทั้งสิบสองชั่วยามในหนึ่งวัน
สองอย่างนี้ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย
“หากเจ้าใส่ใจเวลา แล้วเหตุใดยังไม่ออกกระบี่อีก”
เหวินฉีเหวินเร่งเร้า
หวาหนงเงียบไป
คิ้วขมวดเป็นปม
ในใจของเขากำลังคำนวณอยู่ตลอดเวลา
ที่จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตของเหวินฉีเหวิน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาหยุดพูดเสียที
“เจ้าเด็กหนุ่มเหวินฉีเหวินคนนี้จะแพ้…แต่สำหรับเขาแล้ว นั่นก็อาจเป็นเรื่องที่ดี!”
นายท่านจินพูดขณะดื่มสุรา
“ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าหวินฉีเหวินจะแพ้”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
แม้ในใจเขาจะคิดเช่นนั้น แต่เขายังอยากยืนยันอีกครั้งว่าสายตาของนายท่านจินเฉียบแหลมเพียงใด
“ดูจากการชักดาบของเขาก็รู้ได้แล้ว เหวินฉีเหวินมั่นใจในตัวเองมากเกินไป…”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
หวาหนงเป็นเด็กหนุ่มที่จริงจังมาก
สิ่งที่เขากล่าวล้วนเป็นความจริง ไม่เคยพูดเกินจริง
หากเขาพูดสิ่งใด ก็ย่อมทำตามที่พูดได้อย่างแน่นอน
ความโอ้อวดที่พบได้ในคนหนุ่มทั่วไปกลับไม่ปรากฏในตัวหวาหนงเลยแม้แต่น้อย
ในป่าเขามีอันตรายทุกย่างก้าว ไม่สุขสงบสักชั่วขณะ
หากหวาหนงมีนิสัยเหมือนเหวินฉีเหวิน ก็คงกลายเป็นอาหารของเหล่าสัตว์ป่าไปนานแล้ว
“เจ้าจะสู้เช่นไร”
เหวินฉีเหวินเอ่ยถาม
คำที่เขาใช้คือ ‘สู้’ ไม่ใช่ ‘ประลอง’
แม้จะแตกต่างกันเพียงคำเดียว แต่ความหมายในนั้นต่างกันราวฟ้ากับดิน
หากเป็นการประลองย่อมต้องมีการตัดสินแพ้ชนะ
ถึงตอนนั้น ไม่เพียงจะทำให้เกิดความบาดหมาง ยังอาจทำให้นายกองหลิวต้องเสียหน้าอีกด้วย
แต่การสู้นั้นต่างออกไป
การสู้ เพียงแค่แข่งกันว่าใครจะเป็นคนแรก
แย่งชิงเพื่อที่จะเป็นคนแรก
มีแค่ก่อนหลัง ไม่มีแพ้ชนะ
แม้ว่าผู้ที่มาก่อนจะชนะ ผู้ที่มาทีหลังจะแพ้
แต่อย่างน้อยการพูดเช่นนี้ย่อมฟังดูดีกว่า
“ไม่รู้สิ…ข้าไม่เคยสู้เช่นนี้มาก่อน”
หวาหนงคิดครู่หนึ่งแล้วตอบ
เหวินฉีเหวินคิดว่าหวาหนงกำลังแสร้งทำเป็นอวดรู้
แต่ความจริงแล้วหวาหนงกำลังคิดอย่างจริงจัง
เขาย้อนนึกถึงทุกครั้งที่ตนเองชักกระบี่ออกมา พิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงแรงจูงใจและจุดมุ่งหมายของตน แต่ไม่มีครั้งใดที่เหมาะกับสถานการณ์เช่นนี้
ไม่ว่าจะต่อสู้กับสัตว์ป่าหรือมนุษย์
กระบี่ของเขาไม่เคยถูกใช้เพื่อการแข่งแพ้ชนะ หรือแย่งชิงว่าใครจะมาก่อนหลัง
กระบี่ของเขามีเพียงความเป็นความตายเท่านั้น
แต่ในครั้งนี้ เขาไม่อาจปล่อยให้เหวินฉีเหวินต้องสังเวยชีวิต
ดังนั้นเขาจึงตกอยู่ในความสับสนอย่างหนัก…
เมื่อความคิดนี้หลอมรวมกับคำพูดที่ออกมา จึงเหลือเพียงสามคำคือ ‘ไม่รู้สิ’
“ไม่รู้แม้กระทั่งจะเป็นคนแรกได้อย่างไร ยังกล้าพูดโอ้อวดอีกหรือ”
เหวินฉีเหวินพูดขึ้น
ในการประลองระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ มีหลายวิธีที่สามารถประลองกันโดยไม่บาดเจ็บ
แต่เหวินฉีเหวินให้หวาหนงเป็นคนเลือก
ทว่าหวาหนงไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงได้แต่ยืนเงียบอยู่กับที่
อันที่จริงเขาได้ตัดสินใจไปแล้ว เพียงแต่ยังคงมีความลังเลอยู่
“ช่างเถอะ”
หวาหนงเงยหน้ามองท้องฟ้า ปล่อยมือจากด้ามกระบี่ก่อนจะเอ่ย
ก้มหน้าเดินกลับไปที่ม้าของตัวเอง
“น้องชิงเห็นหรือไม่ บางคนก็เป็นเช่นนี้ รังแกคนอ่อนแอ หวาดกลัวคนแข็งแกร่ง ที่นี่ไม่เหมือนหัวเมืองรัฐหงของเรา เจ้าเองก็อย่ามีใจเมตตาจนเกินไป”
เหวินฉีเหวินกล่าวพลางมองตามหลังหวาหนง
ชิงเสวี่ยชิงดูเหมือนยังไม่ได้สติคืนมา
นางไม่ได้ยินสิ่งที่เหวินฉีเหวินพูด เพียงพยักหน้าอย่างเลื่อนลอยตอบกลับไป
หวาหนงขึ้นม้าโดยไม่สนใจคำเย้ยหยันของเหวินฉีเหวิน และขี่ม้าตรงไปด้านหน้า มาหยุดอยู่ข้างหลิวรุ่ยอิ่ง
“เหตุใดจึงไม่ออกกระบี่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เพราะไม่มีความจำเป็นขอรับ”
หวาหนงยิ้มตอบ
“ไม่จำเป็นหรือกลัวว่าจะควบคุมตนเองไม่ได้”
นายท่านจินเอ่ยถาม
“ทั้งสองอย่าง หากข้าจะออกกระบี่ ข้าจะทำเต็มที่เสมอ”
หวาหนงกล่าว
“กระบี่เล่มนี้ของเจ้าคงใช้งานมานานแล้วกระมัง!”
“นานมากแล้วขอรับ”
หวาหนงกล่าวขณะมองกระบี่ของตน
“แล้วเหตุใดถึงได้อยู่ในสภาพเช่นนี้”
นายท่านจินถามต่อ
“ตอนที่ข้าเก็บมันมาก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้วขอรับ”
หวาหนงตอบ
นายท่านจินรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย…เขาคาดไม่ถึงเลยว่ากระบี่หักเล่มนี้ของหวาหนงจะเป็นกระบี่ที่เก็บมาได้ อีกทั้งคิดไม่ถึงว่าหวาหนงจะไม่มีแม้แต่กระบี่เป็นของตัวเอง ต้องใช้กระบี่เล่มหนึ่งที่เก็บมา
เขาเผลอมองไปที่หลิวรุ่ยอิ่งโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าศิษย์อาของเขาคนนี้ดูจะละเลยหน้าที่ไปหน่อย…
“ใกล้จะถึงเหมืองแร่แล้ว เร่งเดินทางกันต่อเถอะ! หากชักช้าจนเลยบ่าย ลมแรงขึ้นจะยิ่งเดินทางลำบาก”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งและหวาหนงตอบรับพร้อมกัน ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไป
นายท่านจินกลับถูกเหวินฉีเหวินเรียกไว้
“เมื่อครู่เป็นข้าบุ่มบ่ามเกินไป…”
เหวินฉีเหวินกล่าว
น้ำเสียงแฝงเจตนาขอโทษ
“คนหนุ่มก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ไม่ต้องคิดมาก”
นายท่านจินหัวเราะและตบบ่าเหวินฉีเหวิน
“ข้าเพียงแค่ไม่ชอบใจในท่าทีของเขาที่มีต่อน้องชิง”
เหวินฉีเหวินพูด
“ในโลกนี้มีคนหลากหลายแบบ ยิ่งคนที่มีความสามารถบางทียิ่งมีนิสัยแปลกๆ”
นายท่านจินกล่าว
เหวินฉีเหวินไตร่ตรองคำพูดนี้ และตระหนักขึ้นมาว่านายท่านจินกำลังชมว่าหวาหนงมีความสามารถ?
“หากเทียบกับเขาแล้ว เจ้ายังห่างไกลนัก”
นายท่านจินชี้ไปทางหวาหนงซึ่งอยู่เบื้องหน้า พลางกล่าวกับเหวินฉีเหวิน
“ข้าไม่ด้อยกว่าเขาแน่นอน!”
เหวินฉีเหวินตอบกลับด้วยความหยิ่งทะนง
คำพูดของนายท่านจินกระทบถึงศักดิ์ศรีของเขา
เขาไม่กล้าชักดาบใส่นายท่านจิน จึงได้แต่ใช้คำพูดปกป้องศักดิ์ศรีของตน
“สักวันเจ้าจะรู้เอง…หากเมื่อครู่เป็นการต่อสู้แห่งความเป็นความตาย ร่างของเจ้าคงถูกพายุทรายกลบไปแล้ว”
นายท่านจินกล่าว
ถึงแม้เหวินฉีเหวินจะไม่ได้โต้เถียงออกมาอีก แต่ในใจยังคงเต็มไปด้วยความคับข้องใจที่ยากจะสงบลง…
กระบี่เล่มนั้นของหวาหนงยังสู้ไม้ตีสุนัขของขอทานไม่ได้ จะมาเทียบกับดาบล้ำค่าของข้าได้อย่างไร
เหวินฉีเหวินแอบตัดสินใจเงียบๆ แล้วว่า หากมีโอกาสจะต้องทำให้หวาหนงพ่ายแพ้ย่อยยับใต้คมดาบของตนให้จงได้
นายท่านจินย่อมมองความคิดของเหวินฉีเหวินออก แต่เมื่อได้กล่าวไปจนถึงจุดนี้แล้ว พูดมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์
เดิมคิดว่าว่าหวาหนงจะลงมือสั่งสอนให้บทเรียนแก่เหวินฉีเหวิน ให้เขาได้รู้จักคำว่า ‘เหนือฟ้ายังมีฟ้า’
แม้ว่าเหวินฉีเหวินจะมีฝีมือดาบที่ไม่เลว แต่ระดับนี้ในคนวัยเดียวกันนับว่าฝีมือดีทีเดียว
แต่เมื่อเทียบกับหวาหนงแล้ว เขายังขาดประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย
“วิชาดาบของข้าแม้จะไม่ประณีตเฉกเช่นดาบตัดเงาของตระกูลชิง แต่ภายในรัฐหงข้าก็นับว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง”
เหวินฉีเหวินกล่าวด้วยความไม่พอใจ
“วิชากระบี่ของเขามีเพียงกระบวนท่าเดียว เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันคือสิ่งใด”
นายท่านจินถามกลับ
แน่นอนว่าเหวินฉีเหวินไม่อาจคาดเดาได้
“ทุ่มเทสุดกำลัง!”
นายท่านจินตอบ
เมื่อเหวินฉีเหวินได้ยินสี่คำนี้ จู่ๆ ในใจก็เกิดเสียง ‘โพล๊ะ’ ดังขึ้นมา คล้ายมีบางอย่างเปิดออกอย่างฉับพลัน
หลังจากเหตุการณ์เล็กๆ นี้ผ่านไป ทุกคนจึงออกเดินทางต่อไปอย่างเงียบงัน
แม้จะเสียเวลาระหว่างทางไปบ้าง แต่สุดท้ายก็เดินทางมาถึงเหมืองแร่ในช่วงเที่ยงวัน
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นที่นี่ตั้งกระโจมหลายหลัง
ดูแล้วประณีตกว่าตรงเถ้าแก่เนี้ยอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อได้ยินเสียงเกือกม้า ชายฉกรรจ์หลายสิบคนก็กรูออกมาจากกระโจม ล้วนแล้วแต่เปลือยกายท่อนบน
ผิวหนังถูกแดดแรงแผดเผาจนดำคล้ำ
ผมถูกโกนจนสั้น ดูมีชีวิตชีวาและกระปรี้กระเปร่าอย่างยิ่ง
เมื่อพวกเขาเห็นนายท่านจิน ต่างพากันโค้งตัวทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่”
นายท่านจินเอ่ยถาม
ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก้าวเข้ามาจูงม้าให้นายท่านจิน พลางพยักหน้าหลังจากได้ยินคำถาม
“เหมืองแร่อยู่ที่ใดหรือขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งมองไปรอบๆ แต่กลับไม่เห็นร่องรอยของการขุดเจาะใดๆ
“ที่นี่เป็นเพียงที่ตั้งค่าย สถานที่ขุดเหมืองยังต้องเดินทางเข้าไปอีกกว่ายี่สิบลี้ พวกเราจะพักที่นี่ก่อน ทานอาหารเรียบร้อยค่อยเดินทางเข้าไป ยามนี้แดดกำลังร้อนจัด พายุทรายก็แรงมาก”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เพราะตอนนี้ยังไกลจากฤดูร้อนมาก
ฤดูร้อนในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องจะมาช้ากว่าที่อื่น
ทว่าดวงอาทิตย์ที่เหมืองแห่งนี้กลับแผดเผาอย่างไม่ปรานี…
ร้อนจนใบหน้าของหลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกแสบร้อน
นายท่านจินเดินไปยังกระโจมหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงกลาง แล้วเปิดม่านเข้าไปด้านใน
“ตอนนี้สบายขึ้นมากแล้วใช่หรือไม่”
นายท่านจินเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
ภายในกระโจมกับด้านนอกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่ออยู่ข้างนอกดูไม่ออก แต่เมื่อเดินเข้ามาในกระโจม หลิวรุ่ยอิ่งถึงได้รู้ว่ากระโจมนี้เป็นรูปแบบกึ่งใต้ดิน
หลิวรุ่ยอิ่งเคยอ่านในหนังสือมาว่า นี่เป็นรูปแบบการอยู่อาศัยเฉพาะซึ่งพบในทะเลทรายโกบี
ไม่อาจนับว่าเป็นเรือนหรือกระโจมได้
เป็นการขุดหลุมลึกลงไปประมาณหนึ่งจั้ง ยาวและสูงประมาณสองถึงสามจั้ง จากนั้นใช้ต้นไม้ใหญ่เป็นคานหลัก ใช้ไม้เล็กทำเป็นโครง ปูด้วยไม้และหญ้า หากมีอันจะกินหน่อยอาจปูด้วยผ้าใบกันน้ำเพื่อกันความชื้น
สุดท้ายปูด้วยฟางข้าวชั้นหนึ่ง ปิดด้วยดินร่วนอีกชั้น ก่อนจะฉาบด้วยโคลนผสมฟางหนาๆ ตรงกลางเว้นช่องไว้สำหรับระบายอากาศและรับแสง ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
วิธีการเช่นนี้มีไว้เพื่อให้ผ่านพ้นฤดูหนาวที่ยากลำบาก
ในฤดูหนาวที่หนาวจัด กระโจมกึ่งใต้ดินนี้ยังสามารถใช้ดินก่อเป็นกำแพงไฟกลวงสูงครึ่งตัวคนได้
ด้านบนใช้ทำอาหาร ตากเสื้อผ้าและผ้าห่มได้
เมื่อฟืนในเตาเผาไหม้จนเป็นสีแดงฉาน จะทำให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นทันที
แม้ว่าอากาศจะไม่ค่อยถ่ายเท มีกลิ่นอับและไม่พึงประสงค์ แต่ในฤดูหนาวของที่นี่ ความอบอุ่นย่อมเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
“นายกองหลิวรู้สึกว่ากระโจมแห่งนี้แปลกใหม่หรือไม่”
นายท่านจินถามขึ้น
“แปลกใหม่ทีเดียวขอรับ…แต่ก่อนเคยอ่านจากหนังสือที่มีแต่ตัวอักษรแห้งๆ ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้สัมผัสด้วยตัวเอง”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงทุกปี พายุทรายที่เหมืองแร่จะรุนแรงและบ่อยขึ้น พอเริ่มพัดก็ไม่รู้ว่าจะหยุดลงเมื่อใด บางครั้งเห็นท้องฟ้าแจ่มใสอยู่ดีๆ พลันกลับกลายเป็นท้องฟ้ามืดครึ้ม ทรายพัดผ่านจนก้อนหินปลิวว่อน มืดฟ้ามัวดิน กระทั่งยืนหรือเดินยังลำบาก พายุทรายตรงที่น้องสาวข้าอยู่นั้น หากเทียบกับที่นี่แล้วยังถือว่าเล็กน้อยนัก…ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ลูกน้องและเหล่าคนงานในเหมืองต้องเข้ามาหลบที่นี่ ข้าจึงตั้งชื่อที่นี่ให้ฟังดูดีหน่อยว่า ‘พักลม’”
นายท่านจินกล่าว
………………………………………………………………………………
…………….