ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 477 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-6
บทที่ 477 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-6
…………….
“พักลม! หากผู้ที่ไม่รู้เหตุผลของชื่อนี้ ตอนได้ยินครั้งแรกอาจคิดว่าเป็นคำที่มีรสนิยมสูงเลยทีเดียว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ไม่ใช่แค่ลม บางครั้งแดดก็ร้อนเกินไปจนต้องหยุดงาน คนงานถึงจะลำบากเพียงใดแต่ก็ยังเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เครื่องจักร ในช่วงกลางฤดูร้อนแดดแรงจนอาจสามารถฆ่าคนได้”
นายท่านจินพูด
“เช่นนั้นเรียกว่า ‘พักแดด’?”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ฮ่าๆ ข้ายังไม่ได้ตั้งชื่อมัน…แต่ที่นายกองหลิวพูดมาก็ถูก ชื่อว่า ‘พักแดด’ ก็เหมาะสม”
นายท่านจินตอบ
“ในฤดูร้อน พายุทรายที่เหมืองแร่น้อยลงหรือไม่ขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ตรงกลางกระโจมกลางมีเนินสูงขึ้นมา ลมพัดผ่านเข้ามาได้จากทุกทิศ แต่กลับถูกลมพายุทรายจากภายนอกพัดเสียงดัง
“ฤดูร้อนหรือ ไม่เพียงแต่น้อยลงเท่านั้น…แต่แทบจะไม่มีเลย!”
นายท่านจินตอบ
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกแปลกใจ…
เขานึกไม่ออกเลยว่าหากพายุทรายหยุดลง ที่นี่จะมีสภาพเป็นเช่นไร
“ก่อนที่จะกลายมาเป็นเหมืองแร่ ที่นี่เคยทำสิ่งใดมาก่อนหรือขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
นายท่านจินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยิบหนังสือเก่าเล่มหนึ่งจากหลังที่นั่งของเขาด้วยความภาคภูมิใจ เป่าฝุ่นที่เกาะอยู่บนปกออก แล้วส่งให้หลิวรุ่ยอิ่ง
นายท่านจินกล่าว
ชื่อหนังสือเลือนรางจนแทบอ่านไม่ออก หลิวรุ่ยอิ่งพยายามอยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่สามารถอ่านได้ จึงวางมันลงข้างๆ และรอให้นายท่านจินอธิบายมาตรงๆ
“ในสมัยราชวงศ์ก่อนที่นี่เคยเป็นรัฐอิสระเล็กๆ ถึงแม้ในสายตาของคนยุคนี้จะไม่ใหญ่โตนัก แต่ในสมัยนั้นกลับมีความสำคัญยิ่ง”
นายท่านจินกล่าว
“ที่นี่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ หลังจากที่ราชสำนักทุ่งหญ้าผงาดขึ้น คาดว่าพวกเขาคงหมายตาที่นี่มานานแล้ว…สุดท้ายรัฐเล็กๆ นี้คงล่มสลายไปด้วยเหตุนี้ใช่หรือไม่ขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
นายท่านจินพยักหน้า
ทั้งคู่ต่างต่างรู้สึกเศร้าใจไปพร้อมๆ กัน
ท้องทะเลยังกลายเป็นทุ่งหญ้า การเปลี่ยนแปลงของโลกนั้นรวดเร็วเกินไป
ครั้งหนึ่งรัฐเล็กๆ นี้อาจเคยเจริญรุ่งเรือง แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงเถ้าธุลี
“ทว่าแหล่งแร่เหล็กของที่นี่ถูกค้นพบมาตั้งนานแล้ว”
นายท่านจินเปลี่ยนเรื่องสนทนา
แหล่งแร่เหล็กกระจายอยู่ทั่วอาณาจักรห้าอ๋อง แต่ในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องและรัฐหงนั้นมีความหนาแน่นที่สุด ผลิตแร่เหล็กคุณภาพดีมากที่สุด
และที่สำคัญคือแร่เหล่านี้ยังขุดง่าย เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ตื้นๆ ใกล้ผิวดิน ไม่ฝังลึกอยู่ในถ้ำหรือภูเขาสูง
แหล่งที่ให้ผลผลิตมากที่สุดกลับอยู่ในที่ราบและเนินเขา ไม่ใช่ในภูเขาสูงชัน
“แร่เหล็กนั้นมีหลายชนิด ทั้งชนิดที่เป็นก้อนดินเรียกว่า ‘เหล็กดิน’ และชนิดที่เป็นเม็ดทรายเรียกว่า ‘เหล็กทราย’ นายกองหลิวเพียงมองจากตรงนี้ออกไป หากเห็นอะไรสีดำโผล่พ้นดินขึ้นมา ลักษณะคล้ายกับตุ้มถ่วงตาชั่ง นั่นก็คือเหล็ก”
นายท่านจินกล่าวพร้อมชี้ไปด้านนอก
“แร่เหล็กเช่นนี้ยังไม่สมบูรณ์ หากจะนำไปถลุงต้องคัดเอาสิ่งที่ติดอยู่ด้านนอกออกเสียก่อน แต่หากทำเช่นนี้จะเสียเวลาเกินไป ไม่คุ้มกับผลที่ได้”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ดีว่าเหล็กแบ่งเป็นเหล็กดิบและเหล็กกล้า
เหล็กที่เพิ่งออกจากเตาแต่ยังไม่ได้ผ่านการหลอมเรียกกว่า ‘เหล็กดิบ’ เมื่อผ่านการหลอมแล้วจึงจะกลายเป็น ‘เหล็กกล้า’
เมื่อหลอมเหล็กดิบและเหล็กกล้ารวมกัน ก็จะกลายเป็นเหล็กกล้าที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
เมื่อนายท่านจินเห็นหลิวรุ่ยอิ่งสนใจ จึงพาเขาเดินไปที่กระโจมอีกหลายหลังที่อยู่ใกล้เคียง
ภายในนั้นเต็มไปด้วยเตาหลอมเหล็กที่สร้างจากดินผสมเกลือ ซึ่งปกติแล้วเตาเช่นนี้ควรสร้างติดกับภูเขาหรือถ้ำ แต่เนื่องจากที่นี่เป็นที่ราบโล่ง จึงต้องสร้างในลักษณะนี้แทน…
การปั้นเตาจากดินผสมเกลือนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน ไม่อาจรีบร้อนได้
เพราะหากดินเกลือมีรอยร้าวเกิดขึ้น ความพยายามทั้งหมดก็จะสูญเปล่า…
ในกระโจมของนายท่านจินมีเตาหลอมเหล็กเพียงหนึ่งเตา แต่สามารถบรรจุแร่เหล็กได้มากกว่าสองพันชั่ง
ขณะนี้มีคนงานกำลังทำงานอยู่ เตรียมโยนไม้เนื้อแข็งเข้าไปในเตาไฟอย่างต่อเนื่อง
ที่สูบลมสูงเท่าตัวคน ต้องใช้คนสี่คนช่วยกันดึงและผลักไปมา พร้อมกับตะโกนออกคำสั่งกันเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น
ไม่นาน แร่เหล็กในเตาก็ละลายกลายเป็นเหล็กเหลว และไหลออกมาจากช่องที่อยู่ตรงกลางเตา
ก่อนหน้านี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้สังเกตเห็นช่องนี้ เพราะก่อนหน้านั้นมันถูกอุดไว้ด้วยโคลน
ในช่วงหกชั่วยามเวลากลางวัน แต่ละชั่วยามสามารถหลอมเหล็กได้หนึ่งเตา หลังจากถลุงเหล็กเสร็จ คนงานจะรีบใช้พลั่วขุดโคลนอุดรู จากนั้นจึงเริ่มสูบลมและหลอมเหล็กใหม่อีกครั้ง
“ดูท่าตราบใดที่เตาหลอมนี้ยังคงลุกโชน นายท่านจินก็จะมีเงินทองไหลมาเทมา! ร่ำรวยมหาศาล!”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดขึ้น
ชิงเสวี่ยชิงและเหวินฉีเหวินไม่ได้ตามมา
แม้แต่คนงานที่ทำงานอยู่ภายในยังต้องราดน้ำลงบนตัวเป็นระยะ เพื่อคลายความร้อน
แม้จะทำเช่นนี้ คนงานแต่ละคนก็สามารถทำงานได้เพียงแค่ชั่วยามกว่าๆ เท่านั้น
เพราะหากนานเกินไป ร่างกายจะถูกความร้อนแผดเผาจนเป็นลม
หลังจากที่หลิวรุ่ยอิ่งเดินตามนายท่านจินตรวจดูรอบๆ แล้ว เขาก็กลับมาที่กระโจมเดิม
เหวินฉีเหวินกำลังถืออ่างน้ำด้วยสองมือ ขณะที่ชิงเสวี่ยชิงกำลังสางผมของนาง
การเดินทางที่ยาวนานทำให้มีเม็ดทรายติดอยู่ในเส้นผมของนางเป็นจำนวนมาก
ชิงเสวี่ยชิงที่รักความสะอาดไม่อาจทนได้ จนกว่าจะทำความสะอาดเส้นผมให้เรียบร้อย
“ไม่ต้องล้างแล้ว ล้างอย่างไรก็ไม่สะอาด พอเจ้าล้างเสร็จ อีกประเดี๋ยวลมพัดมาก็สกปรกอีก!”
นายท่านจินพูดขึ้น
แต่ชิงเสวี่ยชิงไม่สนใจ
หากไม่ทำความสะอาด ไม่เพียงแค่ร่างกายเท่านั้นที่รู้สึกไม่สบาย แต่จิตใจก็รู้สึกหม่นหมองด้วย
หลิวรุ่ยอิ่งกวาดตามองไปรอบๆ กระโจม แต่ไม่พบหวาหนง
เขาจึงเปิดม่านออกไปดู พบว่าหวาหนงยืนอยู่หน้าประตู หันหน้าเผชิญกับพายุทราย ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“อาจารย์อา ข้าชอบอยู่ข้างนอกมากกว่าขอรับ”
หวาหนงพูดขึ้น
“ทะเลทรายโกบีแห่งนี้คงต่างจากป่าเขาที่เจ้าเคยอยู่ไม่น้อยกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ในป่าเขามีชีวิตชีวากว่าที่นี่มาก”
หวาหนงตอบ
“เหวินฉีเหวินยังเด็ก เจ้าอย่าไปถือสาเขาเลย…”
“ข้ารู้ขอรับ สุดท้ายข้าจึงเลือกที่จะหยุดมือ”
หวาหนงยิ้มพูด
หลิวรุ่ยอิ่งมองไปยังเด็กหนุ่มที่มีจิตใจมั่นคงดุจหินผา ความรู้สึกผิดภายในใจของเขาพลันปะทุขึ้นอีกครั้ง…
แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกเช่นนี้ แต่คราวนี้กลับรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“จากที่นี่ไปเมืองหลวงไกลแค่ไหนหรือขอรับ”
หวาหนงถามขึ้นอย่างกะทันหัน สายตาเต็มไปด้วยความโหยหา
“มุ่งหน้าไปทางนั้น ข้ามแม่น้ำจักรพรรดิ ประมาณครึ่งเดือนกว่าๆ ก็น่าจะถึง”
หลิวรุ่ยอิ่งชี้ไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมเอ่ยขึ้น
เขาเป็นคนจำทิศทางไม่ค่อยเก่ง
แต่เมืองหลวงคือที่พักพิง คือบ้านของเขา
ไม่ว่าคนเราจะอยู่ที่ใด ย่อมสามารถหาทางกลับบ้านได้เสมอ
แม้แต่คนขี้เมาที่ดื่มหนักเพียงใด ในวันรุ่งขึ้นเขาก็อาจจะตื่นขึ้นมาบนเตียงของตัวเอง
หวาหนงไม่อาจหาทิศทางป่าเขาที่เคยอาศัยอยู่ได้อีกแล้ว
นั่นอาจเป็นเพราะเขาไม่เคยถือว่าที่นั่นเป็นบ้าน
ชีวิตมนุษย์มีเรื่องราวมากมาย ต้องเดินทางผ่านสถานที่ต่างๆ นับไม่ถ้วน
แต่สถานที่พักพิงชั่วคราวย่อมไม่อาจกลายเป็นบ้านที่ถาวรได้
ความรักและความรู้สึก ความพึงพอใจและความปรารถนา ความปลอดภัยและความไว้วางใจ
ล้วนประสานกันในทุกย่างก้าวที่คนเราก้าวเดิน
หลิวรุ่ยอิ่งยืนอยู่กับหวาหนงที่หน้าประตูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับเข้าไปในกระโจม
นายท่านจินกำลังรับฟังรายงานจากลูกน้อง
หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งนั่งลงและยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม ก็เห็นว่าเหวินฉีเหวินเดินเข้ามา
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาต้องการพูดอะไร…
คงไม่ต่างจากสิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งพูดกับหวาหนงเมื่อครู่
“ไม่เป็นไร!”
หลิวรุ่ยอิ่งวางถ้วยชาลง พูดกับเหวินฉีเหวิน
เมื่อรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการพูดสิ่งใด จึงไม่ต้องเสียเวลารอให้เขาพูดจบ
คำว่า ‘ไม่เป็นไร’ เพียงคำเดียวก็แทนทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้ว
เหวินฉีเหวินไม่ได้ตอบสนองในทันที แต่เมื่อเข้าใจความหมายก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความรู้สึกผิด
“นายกองหลิว…ท่านเป็นอาจารย์อาของเขา ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าอาจารย์ของเขาเป็นผู้ใด”
เหวินฉีเหวินเอ่ยถาม
“เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงสนใจเขาขึ้นมาเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม
อาจารย์ของหวาหนงเป็นผู้มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่และมีสถานะที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ดังนั้นการไม่พูดถึงเป็นการดีที่สุด
“ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าผู้อาวุโสท่านนี้มีสายตาในการรับศิษย์ที่แปลกพิลึกเท่านั้นขอรับ”
เหวินฉีเหวินตอบ
เขาคิดทบทวนคำพูดนี้หลายครั้ง
สุดท้ายใช้คำพูดที่สันติและเป็นกลางที่สุด เพื่อแสดงความสงสัยในใจของเขา
“อาจารย์ของเขานับว่าเป็นคนแปลก ทั้งยังเป็นคนตาบอดอีกด้วย หากพูดถึงสายตาแล้วล่ะก็ เขาแทบไม่มีอยู่เลย!”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดพร้อมหัวเราะ
เมื่อเหวินฉีเหวินได้ยินดังนั้นก็ถึงกับตกตะลึง
เขาคิดมาตลอดว่าอาจารย์ของหวาหนงคงเป็นคนในกรมสอบสวน มิฉะนั้นจะเป็นสหายกับหลิวรุ่ยอิ่งได้อย่างไร?
แต่กรมสอบสวนย่อมไม่มีทางรับคนตาบอดเข้ามา
คนตาบอดจะทำอะไรในกรมสอบสวนได้?
ไม่ต้องเอ่ยถึงกรมสอบสวนที่เป็นศูนย์กลางของแผ่นดิน แม้แต่ในย่านตลาดธรรมดาก็ไม่มีที่ยืนสำหรับคนตาบอด
หลิวรุ่ยอิ่งพูดเพียงเท่านี้ ก่อนจะหันไปดื่มชา
ส่วนเหวินฉีเหวินก็ถอยกลับไปนั่งเงียบๆ ข้างชิงเสวี่ยชิง
นางล้างและสางผมจนเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้กำลังใช้ผ้าขนหนูสีขาวสะอาดเช็ดผมของนาง
ม่านประตูถูกเปิดอีกครั้ง ผู้ที่เดินเข้ามาไม่ใช่หวาหนง แต่เป็นชายฉกรรจ์สี่คนที่ถือถาดขนาดใหญ่เข้ามา
บนถาดมีอาหารนานาชนิด กลิ่นหอมโชยมาทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกหิวทันที
“มีปลาด้วย!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวขณะมองดูในถาด
“นายกองหลิวคงจะสงสัยว่า ที่นี่ไม่มีแม่น้ำหรือทะเลสาบ เหตุใดจึงมีปลาใช่หรือไม่”
นายท่านจินกล่าว
“เป็นเช่นนั้นขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้าตอบ
“หากเจ้าถามข้าว่าเพราะเหตุใด ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน…แต่ปลานี่จับมาจากบ่อน้ำ”
นายท่านจินกล่าว
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินว่าสามารถจับปลาจากบ่อน้ำได้
เมื่อตอนเด็กๆ เขาเคยอ่านเรื่องเล่าเกี่ยวกับภูตผีและสิ่งลี้ลับ มีบ่อน้ำบางบ่อที่ดูเหมือนธรรมดา แต่จริงๆ แล้วเชื่อมต่อกับทะเลบูรพาที่ไกลออกไปนับหมื่นลี้ บ่อน้ำเช่นนี้เรียกว่า ‘ตาแห่งทะเล’ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมังกรในทะเล
แต่หากพูดถึงปลา อาหารจานที่อยู่ตรงกลางถาดกลับทำให้หลิวรุ่ยอิ่งยิ่งไม่เข้าใจ
ลักษณะเหมือนถุงใบใหญ่วางอยู่ในถาด
ปากถุงถูกมัดแน่นจนไม่อาจรู้ได้ว่าภายในบรรจุสิ่งใดไว้
“สิ่งของพวกนี้ไม่ใช่ของจากอาณาจักรห้าอ๋อง แต่ส่งมาจากด้านบน”
นายท่านจินกล่าว
ด้านบนที่เขาหมายถึง ก็คือทางทิศเหนือ
ทิศเหนือของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง ก็คือราชสำนักทุ่งหญ้า
“อาหารจานนี้ เดิมทีเป็นการนำเนื้อแกะติดกระดูกใส่ลงไปในกระเพาะแกะ จากนั้นเติมน้ำสะอาด แล้วใช้กิ่งหลิวมัดกระเพาะแกะให้แน่น สุดท้ายก็นำไปฝังไว้ในทะเลทรายโกบี โดยปกติจะทำในช่วงหน้าร้อน ช่วงเที่ยงที่แดดจัดที่สุด ใช้เวลาเพียงชั่วยามครึ่งก็สุกแล้ว หากชาวทุ่งหญ้าเห็นวิธีทำวันนี้ คงหนีไม่พ้นโดนก่นด่ากันยกใหญ่เป็นแน่”
นายท่านจินกล่าว
“เหราะเหตุใดหรือขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เพราะข้าไม่ได้ใส่เนื้อแกะลงไป แต่ใส่เนื้อหมาป่าแทน! และไม่ได้เติมน้ำสะอาด แต่เป็นน้ำสุรา!”
นายท่านจินลดเสียงลงเล็กน้อยแล้วกล่าว
หมาป่าเป็นสัตว์ที่ชาวทุ่งหญ้านับถือเป็นสหายที่ซื่อสัตย์ที่สุด ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดพวกเขาจะไม่ทำร้ายมันเป็นอันขาด
และการกินเนื้อหมาป่ายิ่งเป็นไปไม่ได้…
หลิวรุ่ยอิ่งพลันนึกขึ้นได้ว่า หากจิ้งเหยาอยู่ที่นี่ และได้เห็นถุงที่เต็มไปด้วยเนื้อหมาป่านี้ เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
ด้วยนิสัยของเขา คงไม่ด่าทอแน่…แต่น่าจะชักดาบออกมาทันที
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลิวรุ่ยอิ่งกลับรู้สึกว่าตัวเองแปลกไปเล็กน้อย…
ไม่เช่นนั้น เหตุใดจู่ๆ ตนจึงนึกถึงจิ้งเหยาขึ้นมาได้?
เขาไม่ได้เป็นทั้งคู่หูหรือสหายของตนเสียหน่อย
หลิวรุ่ยอิ่งกลับลืมไปว่า สำหรับบางคนแล้วบางครั้งศัตรูอาจสนิทสนมมากกว่าคู่หู และเข้าอกเข้าใจมากกว่าสหายเสียอีก
………………………………………………………………
…………….