ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 478 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-7
บทที่ 478 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-7
…………….
หลิวรุ่ยอิ่งยื่นมือเข้าไปควักเอาชิ้นเนื้อหมาป่าออกมาจากถุงนั้น
แต่แทนที่จะนำเข้าปากทันที เขากลับยกขึ้นมาดมใกล้ๆ
หากนายท่านจินไม่ได้บอกไว้ก่อน หลิวรุ่ยอิ่งคงแยกไม่ออกแน่นอน
เขาคิดว่าเนื้อหมาป่าคงจะมีกลิ่นพิเศษ แต่กลับพบว่ากลิ่นนั้นไม่ต่างจากเนื้อวัวหรือเนื้อแกะมากนัก
นายท่านจินเห็นท่าทีของหลิวรุ่ยอิ่งก็เพียงยิ้มน้อยๆ ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งใหม่ ย่อมต้องการเวลาปรับตัว
ท้ายที่สุดหลิวรุ่ยอิ่งก็ยังกัดลงไป และรู้สึกว่ารสชาติยอดเยี่ยมมาก
“รสชาติไม่เลว!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“นายกองหลิวเคยกินมาก่อนหรือไม่”
นายท่านจินถาม
“พูดแล้วก็อาจฟังดูตลกขอรับ…ก่อนหน้านี้ ข้าไม่เคยกินเนื้อหมาป่า ทั้งยังไม่เคยเห็นหมาป่ามาก่อนด้วยซ้ำ”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“เช่นนั้นช่างน่าเสียดาย…”
นายท่านจินกล่าวขณะเคี้ยว
“เสียดายสิ่งใดหรือขอรับ”
ขณะที่ยังเคี้ยวเนื้อหมาป่าอยู่ในปาก หลิวรุ่ยอิ่งพลันเอ่ยถามอย่างคลุมเครือ
“นายกองหลิวยังไม่เคยเห็นหมาป่าตัวเป็นๆ แต่กลับข้ามขั้นตอนไปแล้ว กินมันเข้าไปเลยเช่นนี้ ไม่น่าเสียดายหรือ”
นายท่านจินกล่าว
แต่โอกาสเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะเจอได้ง่ายๆ
อย่างน้อยในเมืองหลวงทั้งชีวิตก็ไม่เคยพบเจอ
“ในเมืองหลวง พอถึงช่วงสิ้นปี จะมีพ่อค้าจากทางพายัพนำของแปลกๆ มาจัดแสดง คนเบียดเสียดกันเต็มไปหมด ตอนยังเล็กไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปดูได้ ต่อมาไม่อยากไปวุ่นวายกับความพลุกพล่าน หากข้าไปดูในตอนนั้น บางทีคงได้เห็นหมาป่าตัวเป็นๆ อยู่บ้าง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เหตุใดศิษย์หลานของเจ้าไม่มาทานอาหารเล่า”
นายท่านจินเอ่ยถาม
“ไม่ต้องห่วงเขา หิวเมื่อใดก็คงมากินเองขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
ไม่ทันสิ้นเสียง หวาหนงพลันเปิดม่านประตูเข้ามา
“กินขณะยังร้อนอยู่เถอะ!”
หลิวรุ่ยอิ่งชี้ไปยังอาหารบนโต๊ะพลางกล่าวกับหวาหนง
“เขามาอีกแล้ว”
หวาหนงกลับส่ายหัวเอ่ย
“ใคร”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกประหลาดใจ
สายตาของหวาหนงจับจ้องตรงไปยังนายท่านจิน
นายท่านจินกำลังตั้งใจจัดการกับเนื้อตุ๋นชิ้นใหญ่ในมือ เขากินเสร็จในพริบตา ก่อนจะปัดมือ แล้วลุกขึ้น
“ดูท่าคงจะมาหาข้า”
นายท่านจินพูดขึ้น ก่อนจะเดินจ้ำอ้าวออกจากกระโจมไป
หลิวรุ่ยอิ่งรีบตามไป เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากกระโจม
เป็นคนเดียวกับที่เคยมาร้านอาหารและพยายามจะสังหารเถ้าแก่เนี้ยเมื่อครั้งก่อน
“เจ้าทำงานไร้กฎเกณฑ์เกินไป”
นายท่านจินพูดพลางไพล่สองมือ
คนผู้นั้นเอียงศีรษะเล็กน้อย คล้ายกับไม่เข้าใจในสิ่งที่นายท่านจินพูด
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจจะสังหารน้องสาวข้าก่อน เหตุใดนางถึงยังมีชีวิตอยู่และกลับมาหาข้าได้อีก”
นายท่านจินถามต่อ
“น้องสาวเจ้ายอมสู้จนตัวตายก็ไม่ยอมใช้ดาบตัดเงา”
คนผู้นั้นตอบ น้ำเสียงเจือด้วยความอับจนใจ
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะใช้?”
นายท่านจินถาม
“เงื่อนไขในการสังหารพวกเจ้าเหมือนกันทั้งคู่ แค่มีลำดับก่อนหลัง อีกอย่าง เจ้าก็เป็นบุรุษ บุรุษย่อมตัดสินใจเด็ดขาดกว่าสตรี”
คนผู้นั้นกล่าว
“ข้าเป็นบุรุษก็จริง และโดยทั่วไปบุรุษมักตัดสินใจเด็ดขาดกว่าสตรี แต่ขณะเผชิญกับความเป็นความตาย บุรุษก็สามารถกลายเป็นคนลังเลไม่ต่างจากสตรีได้”
นายท่านจินกล่าว
“ดังนั้น เจ้าก็จะไม่ชักดาบออกมาเหมือนกันหรือ”
คนผู้นั้นถาม
“เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าไม่ได้พกดาบออกมาด้วย?”
นายท่านจินกางแขนกว้างแล้วพูดขึ้น
ร่างกายของเขาไม่มีอะไรติดตัวมา
คนผู้นั้นพินิจมองเขาอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยืนนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด
ยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้นประมาณหนึ่งถ้วยชา จากนั้นปล่อยโฮร้องไห้อย่างสุดเสียง
นายท่านจินหันหลังกลับไปมองหลิวรุ่ยอิ่งที่ยืนอยู่ด้านหลัง
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกได้ว่านายท่านจินอยากจะหัวเราะ
เพียงแต่เขาควบคุมตัวเองได้ดี ไม่หัวเราะออกมา
ไม่ว่าอย่างไร ขณะที่มีคนกำลังร้องไห้ ก็ไม่ควรหัวเราะ
หลิวรุ่ยอิ่งเข้าใจหลักการนี้ดี และนายท่านจินก็ย่อมเข้าใจเช่นกัน
“หลายปีมานี้ เจ้าคงลำบากเช่นกัน…”
นายท่านจินกล่าว
นี่เป็นการปลอบโยน?
หรือความห่วงใย?
หลิวรุ่ยอิ่งไม่แน่ใจ
แต่จากคำพูดนั้น เขากลับรู้สึกว่าดูเหมือนนายท่านจินจะรู้จักคนผู้นั้นเป็นอย่างดี
บางทีอาจจะเหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างตนกับจิ้งเหยา
แม้จะเป็นศัตรูกัน แต่ก็เป็นผู้ที่เข้าใจและใกล้ชิดกันที่สุด
เมื่อคนผู้นั้นได้ยินคำพูดของนายท่านจิน เสียงร้องไห้ของเขากลับยิ่งดังและหนักหน่วงขึ้น
บนผืนทะเลทรายโกบีที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มีแต่ความเศร้าโศกที่สะท้อนก้องอยู่
เหวินชิงเหวินและชิงเสวี่ยชิงได้ยินเสียงร้อง จึงออกมาจากกระโจม
“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
ชิงเสวี่ยชิงถามเสียงเบา
ตลอดเส้นทางมีเรื่องราวมากเกินไป
จนเกินขีดความอดทนของคุณหนูผู้ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีเช่นนาง
“ไม่มีอะไร แค่มีคนกำลังร้องไห้เท่านั้น”
นายท่านจินกล่าว
แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าคนผู้นี้มีเรื่องเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับนางเสี่ยวจงมารดาของชิงเสวี่ยชิง แต่นายท่านจินก็ไม่ต้องการบอกความจริงทั้งหมดให้นางรับรู้
ในใจของเขา ชิงเสวี่ยชิงยังเป็นเด็ก
ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่นายท่านจินมองว่าเรื่องราวความขัดแย้งของมารดานางและคนรุ่นตนนั้นเป็นเรื่องของคนรุ่นก่อน
ทว่าแค่เพียงจุดนี้ คนทั่วไปก็ยากที่จะทำได้
ต่างว่ากันว่าความแค้นไม่ควรตกทอดถึงลูกหลาน แต่ความแค้นเช่นนี้กลับดึงเอาคนสองรุ่นในตระกูลมาเกี่ยวพันกัน
ในท้ายที่สุด ใครเป็นลูกหลาน ใครเป็นผู้อาวุโส จะแยกแยะได้ง่ายๆ ได้อย่างไร?
“เหตุใดเขาถึงร้องไห้…เขาเป็นใครหรือเจ้าคะ”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
“เขาเป็นสหายของข้า ดูเหมือนเขาจะเจอเรื่องเศร้า แต่ข้าก็ไม่รู้รายละเอียดมากนัก”
นายท่านจินตอบอย่างเรียบง่าย
“ในเมื่อเขาเป็นสหายของท่าน เหตุใดท่านพี่ไม่ชวนเขาเข้ามานั่งในกระโจมล่ะเจ้าคะ กินอาหารหรือดื่มสุราสักหน่อย อาจทำให้เขาหายเศร้าก็เป็นได้”
ชิงเสวี่ยชิงพูดพร้อมกับกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา
“เจ้าพูดถูก แต่ข้าไม่แน่ใจว่าเขาต้องการหรือไม่”
นายท่านจินพูด
ชิงเสวี่ยชิงขมวดคิ้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
นางไม่เคยเห็นบุรุษคนใดร้องไห้สะอึกสะอื้นเช่นนี้มาก่อน และไม่อาจจินตนาการได้ว่าคนผู้นี้ต้องเผชิญเรื่องราวใดบ้าง
แต่ชีวิตคนเราก็เช่นนี้ ไม่ว่าจะเข้มแข็งเพียงใด จะยิ่งใหญ่เพียงใด ทุกคนล้วนมีด้านที่เปราะบาง
เพียงแต่ว่าบางคนอาจได้พบกับคนที่พวกเขาไว้ใจพอจะเปิดเผยความอ่อนแอนั้นให้เห็น แต่บางคนกลับต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตเยียวยาบาดแผลด้วยตนเอง
เพราะพวกเขาเสียเวลาและแรงกายไปกับสิ่งที่ไม่ควรสนใจ และมอบความห่วงใยและความอบอุ่นให้กับคนที่ไม่คู่ควร
ความรู้สึกนี้ละเอียดอ่อน ราวกับสายใยแห่งหัวใจถูกสะกิดโดยไม่ตั้งใจ แต่เจ้าก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าเจ้าได้พบกับคนที่สามารถสะกิดสายใยแห่งหัวใจของเจ้าได้อย่างแท้จริงแล้วหรือยัง
บ่อยครั้ง น้ำตาไม่ได้มาจากความเสียใจหรือความรู้สึกผิด แต่มาจากความลังเลและความไม่แน่ใจ
เช่นเดียวกับเวลานี้ ซึ่งเป็นยามเที่ยงที่แสงแดดส่องสว่างจ้า นอกจากเงาของตัวเอง ก็หาความมืดไม่เจอ
คนที่ดูร่าเริง ภายในจิตใจยิ่งเย็นชาและโดดเดี่ยว สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงการปกปิดความจริง
บุรุษผู้นี้ยังคงสวมเสื้อคลุมสีดำและผ้าคลุมหน้าไว้ ไม่ได้ถอดออก เพราะเขายังชั่งน้ำหนักและยังคงตัดสินใจอยู่
เขากลัวว่าในวินาทีที่เขาตัดสินใจปลดผ้าคลุมออก คนที่ยืนตรงหน้าจะหันหลังให้เขาทันทีโดยไม่ลังเล
ในความขัดแย้งเช่นนี้ เขาใช้ชีวิตผ่านไปหลายปี
“ท่านอยากทานอะไรสักหน่อยหรือไม่”
ชิงเสวี่ยชิงก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย พลางเอ่ยถาม
“ข้าอยากดื่มน้ำแกง”
คนผู้นั้นพูดพลางสะอื้น
“ดื่มน้ำแกง? น้ำแกงอะไรหรือ”
ชิงเสวี่ยชิงถาม
เวลาคนเศร้าควรดื่มสุรามากกว่า เหตุใดเขาถึงต้องการดื่มน้ำแกง
“ข้าอยากดื่ม…มังกรทะยานสมุทร!”
คนผู้นั้นตอบ
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งได้ยินชื่อน้ำแกงนี้ เขาถึงกับสะดุ้งขึ้นมา!
เท่าที่เขารู้ ทั่วทั้งแผ่นดินนี้ มีเพียงแห่งเดียวที่สามารถทำมังกรทะยานสมุทรได้
นั่นก็คือสาขาหลักของโรงเตี๊ยมพูนโชคในเมืองหลวง
โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง ติดกับวังฉิงจงอ๋อง
เมื่อมองจากระยะไกลจะเห็นหลังคาที่ซ้อนกันหลายชั้น มีเสาแกะสลักจากหินทั้งหมดจำนวนสี่สิบเจ็ดต้น
ออกแบบหรูหราและเรียบง่าย ตั้งตระหง่านอยู่ที่หัวมุมถนน
เหนือประตูมีอักษรขนาดใหญ่สี่ตัวเขียนว่า ‘โรงเตี๊ยมพูนโชค’
ทุกคนที่เดินเข้าใกล้ จะรู้สึกถึงความเหนือระดับของสถานที่แห่งนี้โดยไม่รู้ตัว
ต่างจากที่อื่นที่มีเพียงเสี่ยวเอ้อร์หนุ่มคอยรับใช้ในร้าน สาขาหลักแห่งนี้ใช้สาวน้อยวัยแรกแย้มต้อนรับหน้าประตูทั้งหมด
ผู้มีสายตาเฉียบแหลมจะเห็นได้ไม่ยากว่า หญิงสาวเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์
อาภรณ์สีเขียวอ่อนทำให้รูปร่างดูโดดเด่น มีเสน่ห์เย้ายวนแต่ยังคงความสง่างาม
ความอ่อนโยนแฝงอยู่ในรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าที่งามสะพรั่ง ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกเป็นมิตรอย่างยิ่ง
ผู้ที่ได้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีฐานะ ไม่ร่ำรวยก็มียศศักดิ์ และแทบทุกปีแทบทุกครั้งที่ฉิงจงอ๋องเลือกใช้โรงเตี๊ยมพูนโชคแห่งนี้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงของตน
โรงเตี๊ยมพูนโชคแห่งนี้มีสามสิ่งที่เป็นเลิศ
คนเลิศ สุราเลิศ และน้ำแกงเลิศ
แขกที่มาเยือนล้วนเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียง หรือไม่ก็พ่อค้าที่มั่งคั่งอย่างล้นเหลือ
โรงเตี๊ยมพูนโชคสาขาหลักแห่งนี้มีสูตรสุราที่สืบทอดมารุ่นต่อรุ่น ชื่อว่า ‘โชค’
เมื่อดื่มเข้าไปเพียงจอกเดียว ร่างกายจะอบอุ่นจากภายในสู่ภายนอก
โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว การดื่มสุรานี้สักจอกจะทำให้รู้สึกเหนือพรรณนา
แรกเข้าปากรสชาติหวานละมุน ไม่เผ็ดร้อน ทำให้คนดื่มไม่รู้ตัวว่าดื่มไปเท่าใดจนเมาไม่รู้ตัว
นอกจากนี้ โรงเตี๊ยมพูนโชคยังมีน้ำแกงถึงแปดสิบเอ็ดชนิด
เก้าเก้าเป็นเลขแห่งการกลับสู่หนึ่ง หมายความว่าหลังจากลิ้มลองน้ำแกงครบทั้งแปดสิบเอ็ดชนิดแล้ว ก็จะต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
น้ำแกงนี้ล้วนแปลกประหลาด ดูราวกับไม่มีส่วนผสมอื่น บางชนิดใสกว่าน้ำจากแม่น้ำจักรพรรดิเสียอีก
แต่เมื่อดื่มลงไป กลับรู้สึกหอมหวานอิ่มเอมอยู่ในท้อง
แต่หากมีเพียงเท่านี้ ก็คงยังไม่ถือว่าเป็นเลิศได้
สิ่งสำคัญที่สุดของน้ำแกงนี้คือ ไม่ขาย แต่แจกฟรี
โรงเตี๊ยมพูนโชคสาขาหลักจะมอบน้ำแกงให้แก่ผู้ที่พวกเขาเห็นว่าคู่ควรเท่านั้น
หม่าเหวินเชาหัวหน้าพ่อครัวหลักของโรงเตี๊ยมจะจัดน้ำแกงตามเมนูอาหารในวันนั้น ชนิดของสุราที่ดื่ม อารมณ์ของแขกในขณะนั้น และหัวข้อของงานเลี้ยง
จนถึงบัดนี้ ยังไม่เคยมีผู้ใดที่ได้รับน้ำแกงแล้วรู้สึกผิดหวัง
แน่นอนว่าผู้ที่มาเยือนต่างก็หวังจะเป็นผู้โชคดีที่ได้รับน้ำแกงฟรี
เพราะหม้อน้ำแกงของโรงเตี๊ยมพูนโชคจะถูกใช้เพียงแค่เจ็ดครั้งต่อวันเท่านั้น
เมื่อหมดก็ต้องรอจนถึงวันรุ่งขึ้น
ในบรรดาสูตรน้ำแกงทั้งหมดของโรงเตี๊ยมพูนโชค ‘มังกรทะยานสมุทร’ ถือเป็นจานเด่นสุด
หลิวรุ่ยอิ่งเคยได้ยินแค่ชื่อเท่านั้น แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มรสด้วยตนเอง
ไม่คาดคิดเลยว่าคนผู้นี้จะพูดถึงชื่อนี้ได้อย่างคล่องแคล่วราวกับคุ้นเคย
“หากท่านต้องการดื่มน้ำแกง ‘มังกรทะยานสมุทร’ ท่านควรปล่อยวางตัวเองเสียก่อน เพราะร้องไห้อยู่ที่นี่อย่างไรก็ไม่มีทางได้ดื่ม”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
คนผู้นั้นหยุดร้องและหัวเราะออกมา
“ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคนที่รู้จักน้ำแกง ‘มังกรทะยานสมุทร’ ในที่แห่งนี้”
“ข้าก็ไม่เคยคิดว่าจะพบคนที่เคยดื่มน้ำแกง ‘มังกรทะยานสมุทร’ มายืนร้องไห้ในที่ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายพันลี้เช่นนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งพูด
คนผู้นั้นใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา จากนั้นค่อยๆ ปลดเสื้อคลุมสีดำของตัวเองออก
เผยให้เห็นบทกวีที่ปักด้วยดิ้นทองบนเสื้อคลุม
บนพื้นสีดำสนิท สีขาวกลับไม่โดดเด่นนัก แต่สีทองกลับดึงดูดสายตาได้มากกว่า
“รักเก่าในวันวานยากจะรื้อฟื้น ทะเลสีครามพลิ้วไหวลบความวุ่นวาย เหตุการณ์ในอดีตแจ่มชัดอยู่ในใจ ปลายทางแห่งความคิดถึงกลับพบเพียงความว่างเปล่า ยอดหญิงจากไปไม่รู้หนใด จะทนอยู่เดียวดายในค่ำคืนยาวนานเช่นนี้ได้อย่างไร วันพบหน้ากลับมิใช่เวลาที่เหมาะสม ด่านแห่งรักของวีรบุรุษยาวไกลดุจห้วงกาล”
หลิวรุ่ยอิ่งค่อยๆ อ่านทีละคำอย่างช้าๆ
เห็นได้ชัดว่าบทกวีนั้นเป็นสิ่งที่คนผู้นี้แต่งขึ้นเอง
ทว่าหลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งเคยเห็นคนเรียกตัวเองว่าเป็นวีรบุรุษเป็นครั้งแรก
ในโลกนี้มีคนเสแสร้งถมเถ แต่ขาดแค่คนที่มีความจริงใจ
ทุกคนต่างใช้ถ้อยคำสุภาพอ่อนน้อม แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยเล่ห์กลและแผนการเพียงไม่กี่อย่าง
ดังนั้น การที่เขากล้าประกาศตัวอย่างตรงไปตรงมาว่าตนเองเป็นวีรบุรุษ ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง
…………………………………………………………………