ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 480 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-9
บทที่ 480 ปัญจโลหะขาดไม่ได้แม้เพียงหนึ่ง-9
…………….
หากเจ้ามีความสามารถ ทองคำเงินตราก็ไม่ใช่เรื่องยาก
หากเจ้าไม่มีความสามารถ ชีวิตก็ต้องเลือกระหว่างขายตัวกับอดอยาก
คนเหล่านี้คือคนที่ไม่มีความสามารถ
นายท่านจินคิดว่าอย่างน้อยชีวิตคนเราก็ต้องมีสติปัญญาหรือกำลังกายอย่างใดอย่างหนึ่ง
หากมีหัวด้านการอ่านเขียน แม้จะขายทรัพย์สินทั้งหมดก็ต้องได้เรียนหนังสือ วันข้างหน้าไปที่หอทรงปัญญาหรือหอทรงภูมิก็ตาม ไม่ว่าจะสอบได้ในตำแหน่งใด ต่อให้สวมใส่ชุดข้าราชการระดับต่ำสุดก็ยังทำให้คนมองด้วยความนับถือ และหากไปอยู่ในเมืองเล็กๆ ก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติได้
หากได้ตำแหน่งสูงขึ้น คนอื่นที่พบเห็นก็ต้องเรียกด้วยความเคารพว่าอาจารย์หรือนายท่าน
ในหนังสือมีข้าวพันชนิด ในหนังสือมีรถม้าเรียงราย ก็ไม่ใช่หลักการเดียวกันหรือ?
แต่ก็มีบางคนที่ปัญญาทึบ
คำที่คนทั่วไปจำได้ในครึ่งวัน คนเหล่านี้ต้องใช้เวลาครึ่งเดือนถึงจะจำได้อย่างยากลำบาก…
คนเช่นนี้ไม่อาจพึ่งพาสติปัญญาได้ ควรฝึกฝนในฤดูร้อนและฤดูหนาวอย่างหนัก เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แม้วันข้างหน้าจะต้องทำงานหนักใช้แรงงานก็ยังสามารถหาเลี้ยงตัวเองให้อิ่มท้องได้ไม่ใช่หรือ?
แต่คนที่ไร้ทั้งสติปัญญาและพละกำลังจนต้องกลายเป็นคนขายแรงงานอย่างหมดหนทางพวกนี้ นายท่านจินกลับคิดว่าพวกเขาไร้คุณค่าและเหตุผลในการมีอยู่ในโลกนี้ด้วยซ้ำ
“นายกองหลิวรู้สึกว่าข้ารังแกพวกเขาเกินไปหรือ”
นายท่านจินถามขึ้น
“นี่เป็นเรื่องภายในเหมืองแร่ของท่าน ข้าน้อยจึงไม่อาจวิจารณ์ได้”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
เขาถึงกับใช้คำแสดงความเคารพ
เดิมทีเขาและนายท่านจินสนิทสนมกันมากพอสมควรแล้ว การเรียกขานกันแต่ละคำเป็นเพียงมารยาทเท่านั้น
ด้วยตำแหน่งและสถานะที่แตกต่างกัน แม้จะสนิทกันอย่างไร สิ่งที่เรียกว่ามารยาทในวงสังคมก็ต้องคงไว้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง
ตอนนี้เมื่อเอ่ยคำว่า ‘ท่าน’ ขึ้น ความสนิทสนมระหว่างทั้งสองก็พลันห่างเหินอีกครั้ง
“นายกองหลิวเติบโตในเมืองหลวงที่มั่งคั่ง ไม่เข้าใจก็ไม่แปลกนัก เห็นทีในเมืองหลวง แม้แต่ขอทานคนเดียวก็ไม่มีกระมัง”
นายท่านจินกล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกกระดากใจอยู่บ้าง…
แม้ว่าเมืองหลวงจะเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรห้าอ๋องและเป็นดินแดนที่มั่งคั่งที่สุดในใต้หล้า แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นไม่ต้องลงกลอนประตูบ้านในยามค่ำคืน หรือไม่เก็บของหล่นหายตามถนนหนทาง
กระทั่งขอทานก็พบเห็นได้ทั่วไป
ยิ่งในปีที่โชคไม่ดี ฟ้าฝนไม่เป็นใจ
ทางตะวันตกเฉียงเหนือแห้งแล้งฝนไม่ตก ขณะที่ทางใต้กลับเผชิญน้ำท่วมไม่หยุด
ชาวนาไม่สามารถปลูกพืชผลได้ ทุกคนไม่มีข้าวกิน ทำได้เพียงกลายเป็นคนเร่ร่อน
ทว่าเมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้น ก็ไม่อาจบรรเทาได้ในชั่วข้ามคืน
แม้ห้าอาณาจักรอ๋องจะพยายามบรรเทาทุกข์เพียงใด แต่ย่อมมีที่ที่ความช่วยเหลือไม่อาจเข้าถึงได้
ในช่วงเวลานี้เอง เมืองอ๋องของแต่ละอาณาจักรและเมืองหลวงกลายเป็นความหวังสุดท้ายของประชาชนเหล่านั้น
‘สถานที่ที่ท่านอ๋องประทับอยู่ย่อมไม่ขาดแคลนอาหารกระมัง’
เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นก็เหมือนกับโรคร้ายที่แพร่กระจายไปทั่ว
ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของแต่ละอาณาจักรและเมืองหลวง
เมื่อสี่ปีก่อน หลิวรุ่ยอิ่งเคยเจอครั้งหนึ่ง
ในปีนั้น แม้แต่เมืองหลวงที่มั่งคั่งก็จำต้องเปิดยุ้งฉางเพื่อแจกจ่ายเสบียง
ข้าวที่หุงในกรมสอบสวนนั้น ไม่รู้ว่าเป็นข้าวที่เก็บสะสมไว้นานเท่าใด…พอเอาเข้าปาก รสชาติเหมือนเคี้ยวขี้ผึ้ง กลืนแทบไม่ลง
ทุกคนรวมทั้งหลิวรุ่ยอิ่ง ต้องใช้น้ำแกงร้อนๆ คลุกข้าว จึงพอฝืนกลืนลงไปได้
ตลอดทั้งปีจนกระทั่งก่อนฤดูหนาวมาถึง ไม่เพียงแต่ถนนหลัก แม้กระทั่งใต้กำแพงเมืองหลวงก็เต็มไปด้วยผู้ประสบภัยที่หน้าเหลืองซีดเซียว
เจ้าหน้าที่ในกรมสอบสวนที่ค่อนข้างว่างงานอย่างหลิวรุ่ยอิ่ง ก็ถูกเรียกตัวออกไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย
“ขอทาน…แน่นอนว่ามีขอรับ…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เช่นนั้นก็ไม่ต่างกันนัก ไม่ว่าจะที่ใดก็ล้วนมีคนยากจนทุกแห่งหน บ้างก็เพราะความน่าสงสารแท้จริง บ้างก็เพราะความเกียจคร้านล้วนๆ มักกล่าวกันว่าพวกบุตรหลานเศรษฐีมักชอบใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไม่ระวังตัว แต่ในสายตาข้าแล้ว หลายคนที่อดอยากล้วนเกิดจากการกระทำของตนเองทั้งนั้น”
นายท่านจินกล่าว
คำพูดนี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่สามารถปฏิเสธหรือโต้แย้งได้
เขาเคยเห็นคนหนุ่มสาวที่ร่างกายสมบูรณ์และมีสติปัญญาดีมากมาย แต่กลับออกมาขอทานตามท้องถนนอย่างไม่ละอายใจ
สาเหตุเพียงเพราะความเกียจคร้าน
ในยุคปัจจุบัน บ้านเมืองสงบสุข
หากผู้ใดมีใจใฝ่สู้ และพร้อมอดทนทำงานหนัก แม้ไม่ถึงกับร่ำรวย อย่างน้อยย่อมมีชีวิตที่ไม่ขัดสน
ในเมืองหลวงมีตลาดที่จัดไว้สำหรับผู้ใช้แรงงานมารับจ้าง
แม้งานจะเหนื่อยยาก แต่ทำงานหนักสักสองสามปี ก็สามารถเก็บเงินแต่งงาน มีครอบครัว และเลี้ยงดูบิดามารดาได้
“นายท่านจินหมายความว่า เดิมทีคนพวกนี้จะต้องอดตาย แต่เมื่อมาที่นี่กลับกลายเป็นทางรอด”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ขณะนี้เขารู้สึกผ่อนคลายลง ก่อนหน้านี้ตนอาจจะทำเกินไปบ้าง
“ตายดีไม่สู้มีชีวิตรอด ไม่มาหาที่ข้านี่ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะอดตาย อาจถูกหมาป่ากัดกินไปแล้ว เทียบกับเช่นนั้น ชีวิตในตอนนี้ไม่ดีกว่าหรอกหรือ ข้าไม่คิดว่าตนเองเป็นคนใจดีนัก หรือให้พวกเขาด้วยความกรุณามากมาย การขายตัวก็มีสัญญา เป็นพวกเขาเองที่ลงนามในสัญญา พูดกันให้ถึงที่สุดแล้วก็ได้รับประโยชน์กันทุกฝ่าย เป็นเพียงการแลกเปลี่ยน”
คนงานในกระโจมเหล่านั้นออกมากันหมดแล้ว พวกเขาอยู่ในความดูแลของลูกน้องนายท่านจิน ในมือแต่ละคนมีอุปกรณ์อย่างพลั่วหรือสิ่ว มุ่งหน้าไปยังเหมืองแร่
หลิวรุ่ยอิ่งและนายท่านจินเดินตามหลังพวกเขาไปอย่างเชื่องช้า
เรื่องที่นายท่านจินต้องจัดการลุล่วงทั้งหมดแล้ว
เขาไม่จำเป็นต้องไปเหมืองแร่ด้วยตัวเอง เพียงแค่ฟังรายงานจากลูกน้อง และตรวจดูบัญชีเล่มนั้นก็พอ
แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้ดีว่า บัญชีที่สามารถนำออกมาให้ดูได้ ล้วนเป็นบัญชีที่ทำขึ้นเพื่อให้คนอื่นดูเท่านั้น
บัญชีที่แท้จริงของนายท่านจินอยู่ในใจของเขา ไม่มีทางเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือได้
“นายกองหลิวอยากไปดูที่เหมืองหรือไม่”
นายท่านจินถาม
“ไม่จำเป็นแล้วขอรับ! ข้าได้เห็นเตาหลอมในกระโจมแล้ว อีกอย่างดูการขุดแร่ในทุ่งรกร้างคงไม่ทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้นมากไปกว่านี้”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
นายท่านจินยิ้มไม่เอ่ยสิ่งใด
เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งตั้งใจจะไปดูเสียหน่อย
แต่คนงานที่ได้ลงนามสัญญาขายตัวเหล่านี้ อาจสร้างความสะเทือนใจให้กับเขามากเกินไป จึงต้องใช้เวลาสักพักเพื่อทำความเข้าใจและยอมรับ
ทว่าเรื่องนี้ก็มีข้อดีอยู่บ้าง เพราะทำให้นายท่านจินสามารถกลับจวนของเขาได้เร็วขึ้น
เมื่อเทียบกับเรื่องเบี้ยหวัด เรื่องที่เขาสนใจมากกว่าก็คือเสี่ยวจีหลิงกำลังดื่มสุราอยู่ที่จวนของเขา
ปีนี้นับว่ามีโชคหลายครั้ง
เมื่อปีก่อน นายท่านจินและเสี่ยวจีหลิงแทบไม่ได้เจอกันเลยตลอดทั้งปี แต่ปีนี้เพิ่งจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ทั้งคู่กลับได้พบกันถึงสามครั้ง ดื่มสุราด้วยกันสองหน
บางครั้งนายท่านจินก็ไม่อาจแยกแยะได้ว่าตนสนใจเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในใจของเสี่ยวจีหลิงมากกว่า หรือเพียงแค่อยากฟังเขาพูดเรื่องตลก หรืออาจจะทั้งสองอย่าง
แต่ตอนนี้เขาอยากเร่งกลับจวนเร็วๆ
………………………
ณ ร้านอาหารของเถ้าแก่เนี้ย
จิ้นเผิงเพึ่งตื่นขึ้นมาเอาป่านนี้
สุราที่ดื่มเมื่อคืนยังไม่สร่างเมาจนถึงตอนนี้
เขาหาวหนึ่งทีก็ยังมีกลิ่นสุราหึ่ง
คนที่เพิ่งตื่นมักรู้สึกกระหายน้ำ โดยเฉพาะคนที่ดื่มสุราเช่นเขา ความกระหายยิ่งทวีคูณ
จิ้นเผิงดื่มน้ำรวดเดียวจนท้องพองแต่ความกระหายยังไม่ลดลง
เมื่อเขาเปิดประตูห้องออกมา เขามองเห็นประตูห้องของเยว่ตี๋เปิดอยู่ จึงก้าวเข้าไปหา
“หลิวรุ่ยอิ่งไปแล้วหรือ”
จิ้นเผิงถาม
“เขาออกไปนานแล้ว”
เยว่ตี๋นั่งอยู่หน้าโต๊ะ ขีดเขียนอะไรบางอย่าง ไม่รู้ว่ากำลังยุ่งอยู่กับอะไร
จิ้นเผิงก้าวเข้าไปใกล้เพื่อดูว่านางกำลังทำสิ่งใด คาดไม่ถึงว่าเยว่ตี๋จะชักกระบี่ออกมาอย่างรวดเร็ว บีบให้เขาต้องถอยร่นกลับไป
“ถึงกับต้องทำเช่นนี้เลยหรือ…ไม่ได้เขียนจดหมายรักเสียหน่อย!”
จิ้นเผิงรีบถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วเอ่ยขึ้น
“หากเป็นจดหมายรัก ข้าก็ไม่กลัวที่จะให้เจ้าดู”
เยว่ตี๋พูดตอบ
“จดหมายรักที่เป็นเรื่องส่วนตัวเช่นนี้ ไม่ควรเก็บซ่อนไว้เป็นความลับหรือ”
จิ้นเผิงถาม
“สำหรับคนอื่นแน่นอนว่าต้องเก็บไว้ดีๆ แต่สำหรับเจ้าไม่เหมือนกัน สำหรับเจ้า ข้าต้องเปิดเผยให้เห็นชัดๆ ให้เจ้าอ่านทุกคำทุกประโยค หากเจ้าอ่านไม่ชัด ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะอ่านให้เจ้าฟังอีกรอบ ขอเพียงให้เจ้าตัดใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็พอ”
เยว่ตี๋เก็บกระบี่ พลางกลอกตาเอ่ย
“เช่นนั้นท่านกำลังเขียนสิ่งใด”
จิ้นเผิงถาม
เขาไม่ใส่ใจต่อคำเย้ยหยันเมื่อครู่
“ข้ากำลังเขียนจดหมายถึงเว่ยฉี่หลิน”
เยว่ตี๋ตอบ
เมื่อได้ยินดังนั้นจิ้นเผิงก็ถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะ แล้วรออย่างเงียบๆ
เว่ยฉี่หลิน ผู้บังคับการกรมสอบสวน
มีเพียงเยว่ตี๋เท่านั้นที่กล้าเรียกชื่อเขาตรงๆ
จิ้นเผิงรู้ดีว่าเยว่ตี๋จะไม่ส่งจดหมายถึงผู้บังคับการกรมโดยไร้เหตุผล
ในจดหมายฉบับนี้ต้องเป็นเรื่องสำคัญและเกี่ยวพันกับความลับใหญ่โตหลายประการ
กฎในกรมสอบสวนเข้มงวด สิ่งใดที่ไม่ควรเอ่ยถามก็อย่าได้เอ่ยถาม สิ่งใดที่ไม่ควรรู้ ถึงแม้บังเอิญรู้เข้าก็จำต้องพยายามลืมให้หมด
“เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าข้าเขียนสิ่งใดบ้าง”
เยว่ตี๋ถาม
เมื่อเห็นจิ้นเผิงนั่งเงียบๆ นางกลับแปลกใจที่เขาไม่เซ้าซี้ถามต่อ
จิ้นเผิงยืดเส้นยืดสายก่อนจะมองเยว่ตี๋
เขารู้ดีว่าหากเยว่ตี๋ต้องการพูด นางจะพูดออกมาเองโดยไม่ต้องถาม แต่หากนางไม่อยากบอก ต่อให้ถามออกไปก็ไม่มีประโยชน์
“ข้าบอกเว่ยฉี่หลินว่าเจ้าเป็นคนมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมของกรมสอบสวน ให้เจ้าเป็นแค่หัวหน้าอาคารตำแหน่งเล็กๆ นี่ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก! ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้เจ้ากลับไปยังเมืองหลวงถึงจะเหมาะสม”
เยว่ตี๋กล่าว
“อย่าเชียวนะ! หากท่านคิดจะทำเช่นนั้นจริงๆ ข้าคงต้องยอมสละชีวิตเพื่อไม่ให้จดหมายฉบับนี้ไปถึงเมืองหลวงแน่นอน”
จิ้นเผิงได้ยินดังนั้น ถึงกับลุกพรวดขึ้นมาโบกมือปฏิเสธทันทีด้วยความตระหนก
เขาไม่อยากกลับไปเมืองหลวงแม้แต่น้อย
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้!
เมืองหยางเหวินถึงจะเล็กแต่ก็มีทุกอย่างครบครัน
ถึงจะไม่เทียบเท่าความเจริญของเมืองหลวงได้ แต่ก็ทำให้จิ้นเผิงใช้ชีวิตได้อย่างสบายไร้กังวล
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้สานสัมพันธ์กับสหายจากยุทธภพมากมาย
แม้แต่ละคนจะกระจัดกระจายกันไปตามที่ต่างๆ ทั่วแผ่นดิน แต่สุดท้ายก็ยังสามารถรวมตัวกันสร้างความสนุกสนานได้เสมอ เหมือนตอนที่เขาฉลองวันเกิดครั้งที่แล้ว
หากต้องกลับไปเมืองหลวงย่อมไม่ได้รับความสะดวกสบายเช่นนี้อีก
“ข้าแค่ล้อเล่น! ข้าไม่มีเวลามาสนใจเรื่องของเจ้า!”
เยว่ตี๋กล่าว
“เช่นนั้นท่านกำลังเขียนสิ่งใด”
จิ้นเผิงยังคงเอ่ยถามด้วยความไม่เชื่อ
“เขียนเรื่องหลิวรุ่ยอิ่ง”
เยว่ตี๋ตอบ
“เขามีอะไรน่าเขียนกัน…”
จิ้นเผิงบ่นพึมพำ
เขาหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะสังเกตเห็นรถม้าคันหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้
“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่อะไรที่ดีนัก…ไม่มีภูเขาลำธาร หรืออาคารสวยๆ สักแห่ง เหตุใดถึงยังมีคนขับรถม้ามาที่นี่ได้เล่า!”
จิ้นเผิงลุกขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมเอ่ยขึ้น
พลางเอื้อมมือไปหยิบเมล็ดแตงโมจากที่ไหนสักแห่งและเริ่มแทะไม่หยุด
…………………………………………………………………
…………….