ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 481 สายนทีและคีรีย่อมประจบกันใหม่-1
บทที่ 481 สายนทีและคีรีย่อมประจบกันใหม่-1
…………….
สิ่งที่สะเทือนอารมณ์ที่สุดในชีวิตไม่ใช่คืนวันวิวาห์หรือวันที่ได้จารึกชื่อบนกระดานทองคำ
แม้ว่าสองเหตุการณ์นี้จะสำคัญ แต่ก็เปี่ยมด้วยความรู้สึกรุนแรงเกินไป
เหตุการณ์ที่รุนแรงเหล่านั้นมักจะไม่ได้กระตุ้นให้เราไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง
ความรู้สึกสะเทือนอารมณ์มักเงียบสงบและลึกซึ้งกว่า
อย่างเช่นการพบพานที่รู้สึกว่ามาช้าไป หรือการกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากจากลากันไปนานแสนนาน
การพบพานและจากพรากนั้นเหมือนคู่แห่งโชคชะตาที่มาเคียงคู่กัน ความรู้สึกนั้นลึกซึ้งยิ่งกว่าความใกล้ชิดระหว่างสามีภรรยาที่ร่วมเรียงเคียงหมอน
แต่ถึงแม้คนเราจะผูกพันแน่นแฟ้นเพียงใด ก็ไม่อาจหลีกหนีการจากลาได้
ไม่จากเป็นก็จากตาย
หากรู้ล่วงหน้าว่าจะไม่ได้พบกันอีกตลอดชีวิต การร่ำลาก็แทบจะดูไร้ความหมาย
มนุษย์เรากล่าวคำ ‘ราตรีสวัสดิ์’ เพียงเพื่อที่จะได้พบกันใหม่ในเช้าวันถัดไป
กล่าวคำว่า ‘ลาก่อน’ เพื่อที่จะได้พบกันอีกครั้งในวันข้างหน้า
ไม่ว่าคำลาเหล่านี้จะกล่าวออกมากี่ครั้ง คนพูดมักจะเชื่อเสมอว่าจะได้พบกันอีก
………………………
ตั้งแต่รถม้าหยุดลง เจ้าหมิงหมิงก็มีความหวังอันแรงกล้าอยู่ในใจ
“ที่นี่…เหมือนว่าจะไม่ใช่เหมืองแร่นะเจ้าคะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลมองไปรอบๆ พลางกล่าวขึ้น
แสงแดดแยงตาจนรู้สึกเจ็บ…
ทันทีที่อ้าปากพูด ลมกลับพัดทรายเข้าปากจนสำลักไอไม่หยุด
“ทิศทางก็ไม่ได้ผิดพลาด”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวพลางเปิดม่านรถม้าออกดู
ตลอดเส้นทาง ลมทรายยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
แม้นางจะนั่งอยู่ในรถม้า แต่เสียงลมที่พัดพาทรายและหินกระทบกับหลังคารถดังสนั่นประหนึ่งห่าฝน
แต่เศษทรายและฝุ่นที่ลอยเข้ามาใต้ผ้าม่านอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจ้าหมิงหมิงรู้ดีว่าไม่ใช่ฝน
แม้ว่าฝนจะทำให้เกิดลมได้ แต่ย่อมไม่ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย
“คุณหนู หรือต้องเดินต่อไปอีกเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยถามขึ้น
เจ้าหมิงหมิงไม่ได้ตอบในทันที
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจลงจากรถม้าไปสำรวจด้วยตนเอง
แม้จะเปิดม่านมองออกไปได้บ้าง แต่ก็ไม่อาจเห็นภาพรวมได้ชัดเจน
มองผ่านช่องเล็กๆ ก็ไม่ต่างจากตาบอดคลำช้างมากนัก คล้ายมองท้องฟ้าจากก้นบ่อ
หากต้องการเห็นทุกสิ่งอย่างถ่องแท้ นางจึงต้องออกมาจากรถม้า
“คุณหนูระวังด้วยนะเจ้าคะ! พื้นที่นี่เต็มไปด้วยก้อนดิน! หาที่ราบเรียบแทบไม่มี…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวอย่างขัดใจ
เจ้าหมิงหมิงโผล่ศีรษะออกจากรถม้า มองซ้ายแลขวา ลมทรายพัดผ่านมาทำให้เส้นผมของนางปลิวสยาย
แม้จะหรี่ตาลง แต่ก็ไม่เห็นอะไรที่น่าสนใจรอบๆ จึงกระโดดลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่วมายืนบนพื้นดินข้างๆ ก่อนจะหันกลับไปมองทางด้านหลัง
“เมื่อครู่นี้พวกเราเดินทางมาจากทางนี้หรือ”
ชี้ไปยังทิศทางด้านหลังของรถม้าแล้วถามขึ้น
เกาลัดคั่วน้ำตาลพยักหน้ารับ
แม้ว่าเจ้าหมิงหมิง เกาลัดคั่วน้ำตาล และแม่นางน้อยไม่ใช่คนอ้วน แต่รถม้าที่พวกนางนั่งกันสามคนนั้นก็มีน้ำหนักพอสมควร ก็น่าจะทิ้งร่องรอยไว้บนพื้นบ้าง
ลมทรายรุนแรงเช่นนี้ เจ้าหมิงหมิงเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก นับว่าแปลกใหม่ทีเดียว
ในขณะที่รถม้าวิ่งผ่านไปเพียงพริบตา ร่องรอยของล้อรถม้าพลันถูกลมทรายกลบจนเรียบสนิท เหมือนกับว่ารถม้าไม่เคยผ่านทางนี้มาก่อน
หากไม่ใช่เพราะรถม้ายังจอดอยู่ข้างตัว เจ้าหมิงหมิงคงต้องทบทวนให้ถ้วนถี่ว่าตนมาถึงที่นี่ได้อย่างไร
เมื่อเรื่องราวเกิดขึ้นโดยไม่มีหลักฐานหรือสิ่งอ้างอิง แม้จะเกิดขึ้นต่อหน้า ก็อาจก่อให้เกิดความสับสนในใจอยู่ไม่น้อย
เจ้าหมิงหมิงยกมือขึ้นบังหน้าผาก พร้อมกับจัดระเบียบผมยาวสลวยของนางไม่ให้ปลิวไปตามแรงลม
วิธีนี้ช่วยให้นางมีสมาธิมากพอที่จะพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างชัดเจน
ด้านหลังทางขวามือมีเพิงอยู่หลายหลัง เจ้าหมิงหมิงเดาว่ามันน่าจะถูกทิ้งร้างมานานแล้ว แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะยังมีคนอาศัยอยู่ในนั้น
ที่ใกล้กับนางที่สุดคือร้านขายของชำของเถ้าแก่เนี้ย
แม้ว่าประตูร้านจะเปิดอยู่เพียงครึ่งบาน แต่เนื่องจากตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาคนงานเลิกงาน บรรยากาศในร้านจึงเงียบสงบ
เจ้าหมิงหมิงมองดูก็รู้สึกว่าเหมือนร้านนี้ถูกทิ้งร้างไปแล้ว
“ที่นี่จะเป็นเมืองผีหรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงยิ้มเอ่ย แฝงความจนใจอยู่บ้าง
ลมแรงเริ่มโหมพัดอีกครั้ง นางรีบหันหลังและหมุนตัวหลบ
แต่ประโยคที่นางเอ่ยได้เล็ดลอดไปถึงหูของเกาลัดคั่วน้ำตาลก่อนจะถูกลมพัดหายไป
“คุณหนู…ท่านอย่าพูดมั่วซั่ว! ไหนเลยจะมีเมืองผี ที่นี่แค่ไม่มีคนอาศัยอยู่เท่านั้นเจ้าค่ะ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
พูดจบยังสะดุ้งเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหวาดกลัวหรือเพราะโดนลมพัด
“มนุษย์กลัวผี แล้วเหตุใดเจ้าต้องกลัวด้วยเล่า”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
แม้ในวันปกติจะพยายามฝืนแสดงท่าทีว่าไม่กลัว แต่ก็แค่ปากแข็งเท่านั้น
“ข้าไม่กลัว! ข้าไม่ใช่มนุษย์ อีกอย่างข้าก็ไม่เชื่อเรื่องผีสางอะไรนั่นด้วย…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ย
ในตอนแรกน้ำเสียงของนางดูหนักแน่นดั่งหินผา
แต่ยิ่งพูด เสียงก็ยิ่งเบาลง
จนเมื่อถึงคำว่า ‘ผี’ ก็แทบจะไม่ได้ยิน
เจ้าหมิงหมิงเดินวนรอบรถม้าสองสามก้าว แต่กลับก้มหน้ามองพื้นไม่ได้สนใจรอบข้าง
เกาลัดคั่วน้ำตาลพลันคิดว่าที่พื้นมีอะไรน่าสนใจ จึงทำท่าทีเลียนแบบ ก้มหน้าลงค้นหาเหมือนกับคุณหนูของตน
นางหารู้ไม่ว่า เจ้าหมิงหมิงเพียงรู้สึกถึงชั้นฝุ่นหนาที่ทับถมบนพื้นดินจากแรงลมที่พัดผ่านมานานปี
เมื่อเดินเหยียบลงไป แม้จะสวมรองเท้า ก็ยังรู้สึกถึงความนุ่มนวล
ความรู้สึกนั้นทำให้นางยากที่จะยับยั้งตัวเอง ท่ามกลางความยินดี นางอดไม่ได้ที่จะก้าวเดินต่อไปอีกสองสามก้าว
แม้การทำเช่นนี้จะทำให้รองเท้าและชายกระโปรงของนางเปื้อนฝุ่น แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่ใส่ใจ
นั่งในรถมานานจนรู้สึกร่างกายแข็งทื่อ
กว่าจะได้ขยับตัว ควรรีบลุกขึ้นมายืดแข้งยืดขาบ้างถึงจะดี
ไม่ว่าจะเป็นอสูรหรือมนุษย์ ล้วนต้องยืนหยัดบนพื้นดิน เงยหน้าสู่ฟ้าถึงจะมั่นคง
บนรถม้านอกจากจะสั่นโคลงเคลงแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองอยู่บนที่โล่ง
นั่งนานเข้า ย่อมต้องเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงขึ้นมา…
หากพื้นดินตรงนี้ไม่เต็มไปด้วยฝุ่นหนา เจ้าหมิงหมิงคงอยากกระทืบเท้าลงไปสักสองสามครั้ง เพื่อให้รู้สึกถึงความหนักแน่นยิ่งขึ้น
“คุณหนู ท่านกำลังหาสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยถาม
ขณะเดินตามหลังเจ้าหมิงหมิงเวียนรอบรถม้าถึงสองรอบครึ่ง แต่กลับไม่เห็นสิ่งใดนอกจากผืนดินที่เต็มไปด้วยฝุ่นหนา
“ข้ากำลังหามดยักษ์!”
เจ้าหมิงหมิงตอบ
“มดยักษ์? มันตัวใหญ่เพียงใดหรือเจ้าคะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลได้ยินพลันเกิดความสนใจขึ้นมาทันที!
เบิกตากว้างพลางเอ่ยถาม
“ใหญ่เท่านี้! วิ่งเร็วมาก เพียงชั่วพริบตาก็หายไปแล้ว…”
เจ้าหมิงหมิงใช้มือแสดงขนาดพร้อมเอ่ย
เกาลัดคั่วน้ำตาลถูกหลอกจนเชื่อสนิท
พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะก้มตัวลงหามดยักษ์ต่อด้วยความขยันขันแข็ง
ถึงกับยอมก้มลงไปมองใต้ท้องรถม้า เผื่อว่ามดยักษ์ที่ว่าจะแอบซ่อนอยู่ตรงนั้น
เจ้าหมิงหมิงเปิดม่านขึ้นอีกครั้ง พยุงแม่นางน้อยที่ยังคงเงียบงันและไร้สติให้ลงจากรถม้า และพานางเดินออกมาช้าๆ
ดูไปก็ชวนให้ประหลาดใจไม่น้อย เพราะเมื่อใดที่เกาลัดคั่วน้ำตาลพยายามนำอาหารและน้ำให้แม่นางน้อย แม้นางจะลืมตาอยู่ แต่กลับทำเหมือนไม่เห็นและไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
แต่ทันทีที่เจ้าหมิงหมิงรับสิ่งของไป นางกลับยอมกินทันทีโดยไม่ขัดขืน
เช่นเดียวกับตอนที่เกาลัดคั่วน้ำตาลพยายามให้แม่นางน้อยลงจากรถม้า นางยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ
ไม่ว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลจะใช้แรงมากเพียงใด หรือแม้จะรื้อรถม้าออกหมด นางก็จะนั่งอยู่บนพื้นเช่นนั้น ไม่ยอมลุกขึ้นมา
ทว่าพอเป็นเจ้าหมิงหมิงเพียงแค่ดึงแขนเสื้อของนางเบาๆ แม่นางน้อยกลับยอมลงจากรถม้าอย่างเชื่อฟังและยอมเดินตามเจ้าหมิงหมิงอย่างว่าง่าย
ทีแรกเกาลัดคั่วน้ำตาลยังรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก!
นางคิดว่าแม่นางน้อยผู้นี้จงใจแกล้งนาง อยากหาเรื่องไม่ให้ความร่วมมือ
แต่ภายหลังนางจึงเริ่มเข้าใจมากขึ้น
ตั้งแต่พบกันครั้งแรก ก็พอจะมองออกว่าแม่นางน้อยผู้นี้เป็นคนแปลก มีความสามารถพิเศษ เก่งกาจยิ่งกว่านางมากนัก
ผู้ที่มีความสามารถเช่นนั้น ย่อมมีสิทธิ์ที่จะแสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา
ตราบใดที่นางไม่ได้ล่วงเกินคุณหนูของตน และคุณหนูเองก็ไม่ได้รู้สึกระคายใจ ตนต้องทนรับความกล้ำกลืนฝืนทนบ้างก็ไม่เป็นไร
แต่แม่นางน้อยผู้นี้ไม่ได้พูดจาเป็นเวลานานแล้ว ราวกับเป็นเพียงซากศพเดินได้ ยิ่งทำให้เจ้าหมิงหมิงกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้ระหว่างทางนั่งโคลงเคลงอยู่บนรถม้ายังพอเข้าใจได้
ทั้งตัวรู้สึกมึนงง สับสน รวมถึงเจ้าหมิงหมิงเองที่บางครั้งก็เผลอหลับไป ไม่เอ่ยวาจา ทำให้ไม่เห็นความแตกต่างจากแม่นางน้อยมากนัก
แต่เมื่อได้ลงจากรถ ความผิดปกตินั้นกลับชัดเจนขึ้นทุกขณะ
ใครก็ตามที่พบเห็น ย่อมมองออกได้ทันทีว่าแม่นางน้อยผู้นี้ผิดปกติ…
เจ้าหมิงหมิงไม่อยากโกหก หากเป็นไปได้คงจะหาข้ออ้างง่ายๆ เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาสอดรู้สอดเห็นจากผู้คน
อันที่จริงเกาลัดคั่วน้ำตาลรู้ดี ไม่ใช่ว่าคุณหนูไม่อยากทำ แต่เพราะนางไม่รู้จะโกหกอย่างไร!
พูดกันถึงแก่นแล้ว พวกนางทั้งคู่ล้วนเป็นอสูรจากเก้าบรรพต รู้เรื่องราวของมนุษย์และโลกมนุษย์เพียงน้อยนิด หากจะหาข้ออ้างที่เหมาะสมให้กับแม่นางน้อยผู้นี้ ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นจากที่ใด
โชคดีที่นางและเกาลัดคั่วน้ำตาลต่างก็เป็นหญิงสาว ไม่เช่นนั้นการเดินทางครั้งนี้คงเต็มไปด้วยความยุ่งยากมากกว่านี้
“เอารถม้าไปจอดหลบลมด้านหลัง จากนั้นพวกเราเข้าไปดูด้านในกันเถอะ”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยขึ้น
“คุณหนู ที่นี่มีคนอยู่หรือเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถามอย่างไม่อยากจะเชื่อพลางชี้ไปยังร้านขายของชำของเถ้าแก่เนี้ย
“เจ้าไม่เห็นหรือว่าประตูเปิดอยู่”
เจ้าหมิงหมิงย้อนถาม
“เห็นเจ้าค่ะ แต่ว่าลมที่นี่แรงเช่นนี้…ไม่เพียงแต่ประตูเท่านั้นที่ปลิวได้ ตัวเรือนยังแทบจะถูกลมพัดหายไปด้วยซ้ำ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลตอบ
“ประตูเปิดอยู่แต่ภายในกลับไม่มีฝุ่นทราย ย่อมแสดงว่ามีคนคอยทำความสะอาดอยู่ หากไร้ผู้คนจริงดังว่า หรือพวกเขาถูกมดยักษ์กินหมดหรืออย่างไร”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
เกาลัดคั่วน้ำตาลมองเข้าไปในร้านผ่านบานประตูที่เปิดแง้มอยู่ครึ่งหนึ่ง เห็นภายในสะอาดสะอ้าน ไร้ร่องรอยของทรายจริงดังที่เจ้าหมิงหมิงกล่าว นางจึงยิ้มอย่างพึงพอใจ
จูงม้าพร้อมลากรถไปยังด้านหลังตามคำสั่ง ส่วนเจ้าหมิงหมิงพาแม่นางน้อยเข้าไปในร้านก่อน
พอตกบ่าย แสงแดดจ้า
แต่ภายในร้านของเถ้าแก่เนี้ยกลับมืดสนิทไร้แสงไฟ
เจ้าหมิงหมิงเพิ่งก้าวเข้าไปเพียงก้าวเดียวก็รู้สึกมึนงง
ด้านในและด้านนอกร้านดูเหมือนอยู่คนละโลก แม้แดดจะจ้าเพียงใดก็ไม่สามารถส่องเข้ามาได้ มีเพียงเสียงลมที่ลอดผ่านช่องประตูส่งเสียงหวีดหวิว ราวกับจะกระหน่ำเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเจ้าหมิงหมิงเริ่มปรับสายตาเข้ากับความมืดในร้านได้
นางสังเกตเห็นว่าโต๊ะด้านในมีคนนั่งอยู่ เป็นชายหญิงคู่หนึ่ง
ชายหนุ่มนั่งหันหลังให้ประตู ท่าทางของเขาดูแข็งทื่อประหนึ่งเสาธง
สองมือวางไว้อย่างเกร็งๆ บนเข่าของตนเอง ข้างหนึ่งกำหมัดแน่น บางครั้งก็ลูบกางเกงไปมาด้วยท่าทีประหม่า
“มีคนอยู่หรือไม่”
แม้เจ้าหมิงหมิงจะเห็นชายหญิงที่นั่งอยู่แล้ว แต่นางยังถอยกลับมาครึ่งก้าวแล้วเคาะประตูเบาๆ สามครั้ง
เมื่อชายหนุ่มที่นั่งหันหลังให้ประตูได้ยินเสียงก็หันขวับกลับมา ปรากฏว่าเป็นหลี่จวิ้นชาง
เขาไม่ได้ติดตามนายท่านจินไปเหมืองแร่ แต่เลือกที่จะรออยู่ในร้านแทน
หลี่จวิ้นชางทำสัญญาณมือให้เจ้าหมิงหมิงเงียบลง แล้วโบกมือเรียกให้นางรีบเข้ามา
“ท่านคือเจ้าของร้านหรือ”
เจ้าหมิงหมิงพาแม่นางน้อยเดินเข้าไป พลางเอ่ยถามหลี่จวิ้นชางเสียงเบา
หลี่จวิ้นชางเพิ่งจะอ้าปากเตรียมตอบคำถาม แต่คาดไม่ถึงว่าเถ้าแก่เนี้ยที่นอนฟุบหลับอยู่บนโต๊ะจะลุกพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับฉีกยิ้มให้เจ้าหมิงหมิง
“แม่นางเชิญนั่งก่อน!”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ย
จากนั้นเดินไปที่โต๊ะข้างๆ แล้วเป่าฝุ่นบนโต๊ะออกในคราวเดียว ก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดม้านั่งยาวตัวหนึ่งจากหัวจรดท้าย
เจ้าหมิงหมิงเห็นการต้อนรับที่กระด้างกระเดื่องเช่นนี้จึงยิ้มออกมาน้อยๆ ทว่านางยังไม่นั่งลงในทันที
………………………………………………………………
…………….