ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 485 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-2
บทที่ 485 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-2
…………….
สายลมยามค่ำคืนของชนบทนั้นอ่อนโยน โดยเฉพาะในคืนกลางฤดูร้อน สายลมพัดแผ่วเบาเคล้ากับเสียงกระดิ่งดังกังวานที่ลอยมากับสายลม ผสานกับเสียงเสียดสีของใบไม้ที่ถูกลมพัด
เสียงเสียดสีแผ่วเบานั้นกระตุ้นให้เกิดเสียงกระดิ่งใสอีกครั้ง เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาสามารถนั่งนิ่งอยู่เช่นนี้ได้ตลอดทั้งคืน แม้กระทั่งเมื่อสายลมหยุดพัดแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมจากไป
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อนคือ ครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงกระบี่ทะลวงผ่านเนื้อหนังและเสียงเลือดสดๆ ไหลออกมา กลับเป็นเสียงที่เกิดขึ้นบนร่างของเขาเอง และมาจากกระบี่ของสหายสนิทที่สุดของเขา
เหมือนสหายผู้นั้นไม่ได้ตั้งใจจะสังหารเขา
ไม่เช่นนั้นแล้ว กระบี่นั้นคงแทงทะลุคอหอยของเขาแทนที่จะเป็นท้อง
แม้หน้าท้องจะเป็นจุดสำคัญที่อันตราย แต่กระบี่ของสหายกลับแทงเข้าไปเพียงแค่หนึ่งชุ่น ไม่มากและไม่น้อยเกินไป
การบาดเจ็บย่อมหนีไม่พ้นความเจ็บปวด และยิ่งเป็นบาดแผลที่ผิวหนัง เลือดก็ย่อมไหลออกมามากขึ้น
ขณะที่ซ่างกวนซวี่เหยาพยายามจะยกกระบี่ขึ้นโต้กลับ สหายคนนั้นพลันใช้นิ้วชี้ขวาแตะริมฝีปาก เป็นสัญญาณให้เขาเงียบ
“เจ้าได้ยินหรือไม่ เสียงกระดิ่งลมนี้…แผ่วเบายิ่งนัก…ไม่เหมือนสายลม แต่เหมือนแมว! แมวที่กำลังใช้อุ้งเท้าสีชมพูหนานุ่มของมันเขี่ยกระดิ่งที่ตกลงสู่พื้น!”
สหายผู้นั้นกล่าว
เมื่อพูดเช่นนี้ ซ่างกวนซวี่เหยาก็คล้ายจะได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน ต้องยอมรับว่าสหายของเขาบรรยายได้แม่นยำนัก ทำให้ภาพของแมวตัวนั้นค่อยๆ ปรากฏชัดในจินตนาการของเขา
มือที่เคยกดบาดแผลเอาไว้ค่อยๆ ปล่อยลงข้างตัว ปล่อยให้เลือดไหลชุ่มอาภรณ์ ชะโลมพื้นดิน
แม้เสียงจะฟังดูไพเราะสักเพียงใด เขาก็ยังมีช่วงที่รู้สึกเบื่อหน่าย
ในที่สุดซ่างกวนซวี่เหยาก็ชักกระบี่ออกมาโต้ตอบ ปลิดชีพสหายผู้นั้นลง
จนถึงวาระสุดท้าย บนใบหน้าของสหายยังมีความสงสัยที่ไม่จางหาย ราวกับกำลังพูดว่า ‘ข้านำเสียงดนตรีที่ไพเราะที่สุดในโลกหล้ามาให้เจ้า เหตุใดเจ้าจึงยังสังหารข้า?’
รอยยิ้มของเขา…เริ่มลดลงตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา
ไม่ว่าใครเมื่อรู้ว่าสหายคนหนึ่งจากไปโดยที่ยังไม่ได้ให้อภัยตน เกรงว่าคงยากจะยิ้มออกมาได้ ตราบใดที่ปมในใจนี้ยังไม่คลายออก รอยยิ้มก็จะค่อยๆ เลือนหายไปทีละน้อยวันแล้ววันเล่า
……………………
“ซุนเต๋ออวี่!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาออกจากห้วงความคิดแล้วเอ่ยเรียก
“ท่านอ๋องมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่ตอบรับพลางเดินเข้ามา
เขาเห็นท่านอ๋องกำลังจุดตะเกียงในยามกลางวันแสกๆ อีกทั้งยังวางตะเกียงไว้บนขอบหน้าต่าง
หน้าต่างถูกเปิดไว้ แต่กลับไม่มีลมพายุทรายพัดเข้ามา ราวกับลมเหล่านั้นมีดวงตา ต่างหลบเลี่ยงหน้าต่างที่เปิดอยู่ ทำให้เปลวไฟบนตะเกียงไม่สั่นไหว
นอกจากนี้ เขายังเห็นท่านอ๋องเอามือขวาลูบวนที่ท้องของตนเองไม่หยุด ทำให้ซุนเต๋ออวี่กังวลยิ่งนัก…เขาคิดว่าท่านอ๋องอาจจะไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? เหมืองแร่ที่นี่ทั้งทุรกันดารและไกลห่างจากความเจริญ
อีกทั้งเวลานี้ยังเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา หากท่านอ๋องเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ซุนเต๋ออวี่ย่อมกลายเป็นผู้ที่มีความผิดมหันต์ในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
ความคิดที่ไร้จุดหมายและความนึกคิดที่ไร้ที่สิ้นสุดย่อมนำไปสู่ความคิดสุดโต่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีความคิดนี้แล้วก็ยากที่จะควบคุม แม้ภายหลังจะมีคำอธิบายที่ถูกต้องและทิ้งร่องรอยความสงสัยก่อนหน้านี้ไว้ ท้ายที่สุดก็เข้าไปในตรอกตัน
ซุนเต๋ออวี่ครุ่นคิดไปมาก็รู้สึกกายหนาวสั่น…มือไม้เริ่มสั่นเล็กน้อย ในเข็มขัดของเขามียันต์ส่งสารหนึ่งชิ้น เป็นของที่สร้างขึ้นด้วยวิชาลับ และเป็นมรดกตกทอดจากราชวงศ์ผู้เฒ่ากระบี่ดารา แต่บัดนี้วิธีการสร้างได้สูญหายไปแล้ว การใช้แต่ละครั้งก็ลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ
เมื่อซุนเต๋ออวี่ออกจากอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องในครั้งนี้ เขาลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจนำมันออกมาจากคลังลับของวังอ๋อง และติดตัวไว้เพื่อใช้ในยามคับขัน
ขอเพียงเขาขยี้ยันต์ส่งสารนี้ให้แหลก บรรดาผู้ถวายงานคนอื่นๆ ที่ยังอยู่ในวังเจิ้นเป่ยอ๋องจะได้รับข่าวสารทันที และจะรีบรุดมาที่นี่ในเวลาอันรวดเร็ว แต่การพกยันต์ส่งสารนี้ติดตัวก่อนออกเดินทางก็เป็นเรื่องที่ทำให้ซุนเต๋ออวี่รู้สึกลำบากใจมากอยู่แล้ว และตอนนี้หากต้องใช้มันจริงๆ จะไม่ลำบากใจขึ้นไปอีกหรือ?
นอกจากนี้ จุดประสงค์ที่ท่านอ๋องเรียกเขามาก็ยังไม่ชัดเจน หากเขาใช้ยันต์ส่งสารนี้โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ก็อาจจะถูกท่านอ๋องตำหนิได้ มือขวาของซุนเต๋ออวี่จึงค้างอยู่ที่เข็มขัดชั่วครู่หนึ่ง ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใต้กำแพงเมืองข้างประตูทางตะวันออกของเมืองเจิ้นเป่ยอ๋อง มีเงาดำๆ เหมือนคนนั่งยองๆ อยู่?”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยถาม
ซุนเต๋ออวี่ส่ายศีรษะสื่อว่าไม่รู้
“ข้าก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังมองเห็นเงานั้นหรือไม่ แต่ในตอนนั้นเงาดำนี้เห็นได้ชัดเจนยิ่งนัก”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถอนหายใจแล้วกล่าว
ซุนเต๋ออวี่ฟังแล้วก็ยิ่งงุนงง ไม่เข้าใจว่าท่านอ๋องหมายถึงสิ่งใด
ประตูตะวันออกของเมืองเจิ้นเป่ยอ๋อง เขาก็เดินผ่านไปมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนรีบร้อนเร่งเดินทางจนไม่ทันได้สังเกตว่ามีเงาดำใต้กำแพงข้างประตูหรือไม่
สิ่งใดก็ตามที่สามารถทิ้งร่องรอยไว้ได้ล้วนต้องอาศัยการสั่งสมมาเนิ่นนานจึงจะเกิดขึ้นได้ เงาดำที่เห็นคล้ายคนกำลังหมอบอยู่ตรงนั้น แท้จริงแล้วเคยมีคนเคยหมอบอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานโดยไม่ขยับเขยื้อน
ทุกครั้งที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเดินผ่านประตูตะวันออก มักจะเห็นเขาก้มศีรษะ สองแขนโอบกอดเข่าของตนเองไว้ อีกทั้งยังใช้เข่าเป็นที่วางคาง ดวงตาที่ลืมขึ้นช้าๆ ไม่ขุ่นมัว แต่ก็ไร้ประกาย
เสื้อผ้าที่สวมใส่แม้ไม่ถึงกับขาดรุ่งริ่ง แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าคนยากไร้หรือขอทานทั่วไปมากโข แต่ที่สะดุดตาคือเขาเท้าเปล่า เท้าคู่นั้นทั้งดำและสกปรก ดำกว่าเงาบนกำแพงข้างหลังเขาเสียอีก ดำจนแทบกลืนกับกางเกงผ้าสีดำบนขาของเขา หากมองผ่านๆ ก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าตรงไหนคือขากางเกง ตรงไหนคือเท้าจริงๆ
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่ใช่คนที่ชอบออกไปข้างนอก และหากไม่ชอบออกไปข้างนอก ย่อมไม่ชอบเดินทางเป็นธรรมดา แต่ชายเท้าเปล่าที่หมอบอยู่ใต้กำแพงผู้นี้ กลับดึงดูดความสนใจของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าน่าสนใจกว่าหญิงงามในวัยแรกแย้มยืนเปลือยกายต่อหน้าเขาเสียอีก
ภายในระยะเวลาสามวัน เขาเดินผ่านประตูตะวันออกของเมืองนับครั้งไม่ถ้วน
หลายครั้งจนไม่มีใครจำได้ แต่การเดินไปกลับนับได้สองรอบ จนกระทั่งบ่ายวันที่สามเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเห็นร่างของชายผู้นั้นเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเช่นนี้เป็นเรื่องยากที่จะสังเกตเห็น แต่เพราะเขาสนใจชายผู้นี้มาก จึงไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดสายตาของเขาไปได้
เย็นวันนั้น
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายื่นมือออกไปหาเขา
ดึงเขาให้ลุกขึ้นก่อนจะพาไปที่โรงเตี๊ยมพูนโชคในเมืองอ๋อง เพื่อกินอาหารมื้อใหญ่จนอิ่มหนำสำราญ
หลังทานอาหาร เขาเอ่ยถามชายผู้นั้นว่ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดตนถึงชวนเขามากินข้าว
ชายคนนั้นส่ายหัวอย่างมึนงง สายตาจับจ้องไปยังจอกสุราในมือของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาหัวเราะออกมา และยื่นไหสุราทั้งไหให้เขา ทว่าชายผู้นี้กลับไม่ใช่คนที่ดื่มสุราเป็น…ดื่มไปเพียงสองอึกก็สำลักและไออย่างรุนแรง
ระหว่างที่เขาไอ เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็พูดขึ้นว่า เหตุผลที่ตนเชิญชายคนนี้มากินอาหาร เพราะมองออกว่าเขากำลังจะอดตาย ก่อนหน้านั้น เขายังสามารถนั่งพิงกำแพงเมืองได้อย่างสงบ แต่พอถึงวันที่สาม กลับเห็นว่าเขาทนไม่ไหวจนตัวเอนไปข้างหน้า หากมีคนตายหน้าประตูเมืองคงไม่ใช่เรื่องดี ดังนั้นจึงเชิญเขามากินอาหาร
หลังจากบอกเหตุผล เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็ดื่มสุราในจอกจนหมด แล้วลุกขึ้นเตรียมจะจากไป เขาเคยพบคนเช่นนี้มานับไม่ถ้วน ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัย ทั้งยังดูเหมือนเคยฝึกวรยุทธ์มาบ้าง ไม่เป็นเช่นนั้น จะสามารถนั่งหมอบอยู่กับที่สามวันเต็มโดยไม่ขยับในขณะที่หิวโหยได้อย่างไร?
แต่ก็เพราะพวกเขามักยึดมั่นในความรู้สึกว่าตนมีฝีมือในเชิงยุทธ์ จึงคิดว่าสามารถเดินทางไกลฝ่าฟันไปในยุทธภพได้ เมื่อหมดตัวและบาดเจ็บทั้งกายจึงหวังเข้ามาหาโอกาสในเมือง อาจโชคดีพบกับการค้าขายที่ได้กำไรอันมหาศาล แต่ท้ายที่สุดกลับไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะก้าวเข้าเมือง ได้แต่นั่งพิงกำแพง ปล่อยให้เงาของตนเองกลายเป็นรอยดำบนกำแพงเมือง
การเดินทางและท่องยุทธภพ เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยความยากลำบากยิ่ง และหากมีการค้าขายที่ให้ผลกำไรมหาศาล นอกจากการปล้นฆ่าแล้ว ก็แทบไม่มีวิธีอื่น แต่คนที่ใกล้จะอดตายเช่นนี้ ยังจะมีแรงเหลือที่ไหนไปฆ่าคน?
ในโลกนี้ผู้คนล้วนมีงานทำ แม้กระทั่งคนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์ ไม่ได้เรียนหนังสือ ก็ยังสามารถหาวิธีเลี้ยงชีพไม่ให้อดตายได้ แต่เขากลับทำไม่ได้ ฝึกวรยุทธ์ก็ไม่ถึงขั้น หนังสือก็อ่านไม่ออก เมื่อนึกย้อนถึงคำพูดอันฮึกเหิมในวันที่จากบ้านเกิดมา แล้วย้อนดูสภาพของตัวเองในวันนี้ก็รู้สึกอับอายจนไม่กล้ากลับบ้าน
หากกลับไปก็ต้องทำไร่ทำนา แต่เมื่อออกมาแล้ว จะไปทำงานหนักตามท้องถนนก็เสียหน้าอีก โชคดีที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาได้ให้ทางเลือกแก่เขาก่อนที่จะจากไป บอกว่ามีงานที่เหมาะสำหรับเขา ไม่เพียงจะได้กินอิ่มทุกมื้อ แต่ยังได้กินอาหารดีๆ ตราบใดที่เขาสามารถกินขาหมูตุ๋นและปลาเปรี้ยวหวานที่เขาชอบได้ก็จ่ายไหวทั้งนั้น
ซ่างกวนซวี่เหยากำชับเขาว่าควรรีบตัดสินใจ เพราะถึงจะกินจนอิ่มเพียงใด สุดท้ายก็ต้องมีตอนที่หิวอีก
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถึงกับถอดรองเท้าของตนเองออกแล้วโยนไปที่เท้าของเขา กล่าวว่าเมื่อใดที่คิดได้แล้ว ก็ใส่รองเท้าคู่นี้ ล้างหน้าล้างตาให้สะอาด จากนั้นเดินตามถนนที่ทอดยาวเส้นนี้ไปทางเหนือ เดินไปจนกว่าจะเดินไม่ไหว แล้วจะได้พบตนอีกครั้ง
จากนั้นเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็เดินเท้าเปล่าออกไป สายตาของผู้คนต่างรวมอยู่บนตัวเขา แต่เขากลับรู้สึกเบาสบาย ราวกับว่าสิ่งที่เขาถอดออกไม่ใช่รองเท้า แต่เป็นโซ่ตรวนหนักพันชั่ง
การที่คนเราจะใส่หรือไม่ใส่รองเท้า ช่างเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งนัก…แม้เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งจะดูไม่ดีก็จริง แต่หากเดินเท้าเปล่า กระทั่งรองเท้าคู่เดียวก็ไม่ใส่ด้วยซ้ำ ย่อมถือว่าไร้ศักดิ์ศรีโดยสิ้นเชิงและชั้นต่ำที่สุด
กระทั่งขอทานในเมืองอ๋อง เมื่อถึงฤดูร้อนยังต้องระมัดระวัง ตัดชายกางเกงมาพันที่เท้า เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนยังคงรักษาศักดิ์ศรีไว้อยู่บ้าง แม้จะต้องขอทานก็ตาม
แม้ว่าเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาจะเดินเท้าเปล่า แต่ก็ไม่มีใครกล้าบอกว่านี่เป็นการกระทำที่ไร้ศักดิ์ศรี เพราะเขาคือเจิ้นเป่ยอ๋อง เป็นผู้ปกครองแห่งอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง ความต้องการแบบสามัญเช่นนี้ไม่อาจใช้บังคับเขาได้ เขากล้าพูดได้ว่าต่อให้เดินเปลือยกายไปตามถนน ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าชี้นิ้วตำหนิ
สิ่งที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่คาดคิดคือ การเดินเท้าเปล่ากลับวังครั้งนี้ ไม่เพียงไม่ได้รับคำตำหนิใดๆ แต่กลับได้รับคำชมเชยในฐานะผู้ปกครองที่เปี่ยมด้วยสติปัญญาและคุณธรรม
สามวันต่อมา
หน้าประตูวังเจิ้นเป่ยอ๋อง
ชายผู้นั้นสวมรองเท้า นั่งคุกเข่าอยู่กลางถนน
ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างมองเขาด้วยความงุนงงและพากันถอยห่าง
พวกเขาอาจคิดว่าชายคนนี้สติไม่ดี…ไม่รู้ว่าจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาเมื่อใด สำหรับผู้อื่นแล้ว ก็อาจเป็นเคราะห์ร้ายที่มาโดยไม่ทันตั้งตัว
เมื่อเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามองเห็นเขากำลังคุกเข่าอยู่กลางถนน ก็เป็นเวลาเลยเที่ยงไปแล้ว เจิ้นเป่ยอ๋องเพิ่งตื่น ในขณะที่ชายผู้นั้นคุกเข่ามาเกือบสามชั่วยาม
ปกติเจิ้นเป่ยอ๋องไม่ชอบอาบน้ำหรือแช่เท้าตอนเช้า แต่ในวันนี้กลับแหวกธรรมเนียมเดิม สั่งให้หญิงรับใช้ตักน้ำร้อนมาให้เขาแช่เท้า หลังจากนั้นจึงสวมถุงเท้าขาวสะอาดและรองเท้าคู่ใหม่ เดินมือไพล่หลังออกจากวังอ๋องไปเพียงลำพัง จนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าชายผู้นั้น แล้วโน้มตัวลงมองใบหน้าที่ซูบผอมของเขา
แม้ร่างกายยังคงผ่ายผอม แต่แววตากลับมุ่งมั่นและแน่วแน่ เจิ้นเป่ยอ๋องถามเขาว่าทำไมถึงเพิ่งมาวันนี้ เพราะนับจากวันที่เขากินอาหารมื้อนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านไปสามวันแล้ว ทำให้ยากที่จะตัดสินว่า เขามาด้วยความตั้งใจจริงที่ต้องการรับงานจากเจิ้นเป่ยอ๋อง หรือว่าเป็นเพราะท้องหิวจนไม่มีทางเลือกอื่น
สิ่งที่ทำให้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาประหลาดใจอย่างยิ่งคือ เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าตนเองหิวอีกแล้ว แต่พร้อมกันนั้นเขากล่าวด้วยว่า ยามใดที่ท้องหิว สมองจะปลอดโปร่ง หากกินจนอิ่มทุกมื้อ ความคิดจะสับสนมึนงง และอยากนอนหลับเท่านั้น ไม่มีแรงจูงใจใดๆ ให้ครุ่นคิดถึงปัญหาต่างๆ
สำหรับเจิ้นเป่ยอ๋องคำพูดเช่นนี้นับว่าแปลกใหม่มาก…เพราะเขาไม่รู้จักคำว่าหิวมาก่อน ผู้ที่ไม่เคยหิว ทุกมื้อย่อมไม่ต้องกินอิ่มมาก เพราะไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะไม่มีอาหารในมื้อต่อไป
ในที่สุดเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็ยังคงพาชายผู้นั้นเข้าไปในวังอ๋อง ทันทีที่ประตูวังอ๋องปิดลง ชายผู้ที่ไม่มีทั้งอาหารและรองเท้าสวมใส่ ก็ได้พบกับโอกาสที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
แต่เจิ้นเป่ยอ๋องกลับลืมสิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่งไปโดยสิ้นเชิง แน่นอนว่าไม่อาจโทษเขาได้ เพราะเมื่อไม่เคยผ่านประสบการณ์เดียวกัน ก็ย่อมไม่อาจเข้าใจความรู้สึกได้อย่างแท้จริง
คนที่เคยเกือบจะอดตายย่อมหมกมุ่นในอาหารชนิดหยั่งรากลึกในจิตใจ และเมื่อเขารู้ว่าอาหารสามารถซื้อได้ด้วยเงิน ความหมกมุ่นนั้นก็พลันเปลี่ยนทิศทางไปสู่การแสวงหาเงินทองแทน
“ท่านอ๋อง ได้เวลาเสวยแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว