ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 486 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-3
บทที่ 486 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-3
…………….
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา หันกลับไปมองเห็นว่าในมือของซุนเต๋ออวี่มีถาดอยู่ บนถาดนั้นมีชามอาหารสองใบและชามข้าวหนึ่งใบ ตะเกียบไม้คู่หนึ่งที่สีหลุดลอกแล้วปักเฉียงๆ อยู่ในข้าว ไอร้อนจากข้าวทำให้ผิวของตะเกียบเต็มไปด้วยหยดน้ำเล็กๆ
หน้าต่างตรงหน้าไม่รู้ว่าโดนลมพัดปิดลงไปตั้งแต่เมื่อใด ทั้งยังทำให้ตะเกียงที่วางบนขอบหน้าต่างล้มลงด้วย…เจิ้นเป่ยอ๋องผลักบานหน้าต่างให้เปิดออกอีกครั้ง ก่อนจะหยิบตะเกียงขึ้นมาตั้งให้ตรง แล้วจุดไฟใหม่
จากนั้นก็รับถาดจากซุนเต๋ออวี่ วางชามอาหารสองใบขนาบข้างตะเกียง ส่วนชามข้าวที่ใส่ข้าวไว้เต็มแน่นก็วางไว้หน้าตะเกียง เมื่อวางเสร็จสิ้นแล้วก็ปรับตะเกียบในชามข้าวให้ตรง แล้วก้าวถอยออกมา เพื่อชมอาหารที่จัดวางอย่างเรียบร้อยตรงหน้า
อาหารวันนี้จัดเตรียมอย่างพิถีพิถันเล็กน้อย
ผัดผักกาดขาวหนึ่งจาน ผักทุกชิ้นถูกหั่นเป็นทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด เส้นขอบของแต่ละชิ้นสม่ำเสมอ และยังเข้ากันดีกับกระเทียม ขิง และต้นหอมที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
อีกจานหนึ่งเป็นมันดิน แต่ผัดผสมทั้งแบบเส้นและแบบชิ้น ไม่ต้องชิมก็พอจะเดาได้ว่า ผัดมันดินจานนี้รสชาติไม่น่าจะอร่อยนัก…ไม่ว่าจะหั่นเป็นเส้น เป็นชิ้นหรือเป็นแผ่น เมื่อนำไปผัดจะต้องเข้ากันอย่างลงตัว ไม่เกี่ยวกับว่าดูดีหรือไม่ แต่เมื่อรูปร่างต่างกัน ความร้อนที่ได้รับก็ต่างกัน เมื่อผัดออกมาก็จะมีทั้งแข็งเกินไปและนิ่มเกินไป
รสชาติแปลกประหลาดเช่นนี้จะอร่อยได้อย่างไร
ดีที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่ได้ตั้งใจจะกินแต่แรก เขาเดินไปข้างเตียงของตน หยิบรองเท้าคู่ใหม่เอี่ยมออกจากถุงสัมภาระ แล้วนำไปวางไว้ใต้ขอบหน้าต่าง ตรงตำแหน่งที่เขาเพิ่งจะยืนอยู่
“วันนี้เป็นวันครบรอบยี่สิบเอ็ดวันของเสี่ยวลี่”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาหันไปกล่าวกับซุนเต๋ออวี่
หลังจากพูดจบ เขาลากซุนเต๋ออวี่ให้โค้งคำนับต่อข้าวที่วางบนหน้าต่าง ตะเกียงไฟ และรองเท้าบนพื้นด้วยความเคารพ
“ท่านอ๋อง เหตุใดต้องทำถึงเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ…”
ซุนเต๋ออวี่เอ่ยอย่างสงสัยหลังจากลุกขึ้นมา
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านอ๋องถึงได้แสดงความรักและความภักดีต่อคนที่เคยทรยศและเกือบคร่าชีวิตเขา
ซุนเต๋ออวี่เข้ามาในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องหลังเสี่ยวลี่อยู่หลายปี แต่เขาเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยวลี่กับเจิ้นเป่ยอ๋อง หากไม่ได้รับอาหารในวันนั้น เสี่ยวลี่คงตายไปตั้งแต่ยังนั่งอยู่ข้างกำแพงเมืองเจิ้นเป่ยอ๋องไปนานแล้ว…ไหนเลยจะมีโอกาสได้กลายเป็นผู้ดูแลวังอ๋องที่รุ่งเรือง?
“เพียงเพราะความผิดพลาดครั้งเดียว ไม่อาจลบล้างความดีที่เขาเคยทำทั้งหมดได้…มนุษย์เราย่อมมีวันพลาดพลั้ง แต่เสี่ยวลี่ก็ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงามมากมาย”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
แม้ว่าซุนเต๋ออวี่จะยังไม่เข้าใจถ่องแท้ แต่รู้สึกเหมือนตัวเองไม่เคยเข้าใจท่านอ๋องที่ร่วมทุกข์สุขกันมานานเลยแม้แต่น้อย…
“เจ้าก็ทำผิดพลาดได้ ข้าก็เช่นกัน ข้าสามารถให้อภัยตัวเองได้อย่างง่ายดาย และสามารถให้อภัยพวกเจ้าได้ด้วย ทว่าข้าให้อภัยตัวเองได้ทันที แต่การให้อภัยพวกเจ้าต้องใช้เวลาสักหน่อย!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
พูดจบก็หัวเราะเบาๆ พร้อมสั่งให้ซุนเต๋ออวี่ลงไปหาเถ้าแก่เนี้ยเพื่อขออาหารชุดใหม่ขึ้นมาอีก เขานึกอยากลิ้มรสมันดินที่ผัดผสมแบบเส้นและแบบชิ้นว่าเป็นเช่นไร คิดไม่ถึงว่าเมื่อชิมคำแรก เขากลับเบิกตากว้าง
แม้จะเป็นเพียงข้าวหนึ่งหม้อกับหมั่นโถวที่ดูธรรมดา สถานที่นี้ย่อมไม่อาจเทียบกับอาหารหรูหราในวังอ๋องของเขาได้ แต่ไม่ว่าจะได้ลิ้มลองอาหารล้ำค่ามากเพียงใด มีอาหารแต่ขาดข้าว ก็ถือว่าเป็นอาหารระดับต่ำอยู่ดี
ในบรรดาพืชพันธุ์ทั้งห้า ได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวฟ่าง ข้าวเหนียว ข้าวสาลี และถั่วลิสง ล้วนเป็นอาหารหลักที่ปลูกอยู่ทั่วทั้งอาณาจักรห้าอ๋อง ทว่าผู้คนในอาณาจักรห้าอ๋องย่อมรู้กันดีว่า สองอาณาจักรทางตะวันตกเฉียงเหนือโปรดปรานอาหารแป้ง ในขณะที่สองอาณาจักรทางตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงแถบชายฝั่งทะเลไม่เคยขาดข้าวในทุกมื้ออาหาร สำหรับเมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นอาหารแบบใดก็มีให้เลือกสรรครบครัน
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามาจากอาณาจักรผิงหนานอ๋อง แม้จะออกจาก ‘ชนบท’ มานานแล้ว แต่รสชาติอาหารของเขากลับไม่เคยเปลี่ยนไป ยังคงชอบรับประทานข้าวทางใต้และอาหารสดใหม่เสมอมา
อาหารในโรงเตี๊ยมของเถ้าแก่เนี้ยเพียงแค่ประทังความหิวได้เท่านั้น ไม่มีจานใดที่ทำให้เขาประทับใจเป็นพิเศษ แต่ในวันนี้ ผัดมันดินแปลกประหลาดนี้กลับทำให้เขาหยุดกินไม่ได้…ทั้งที่ไม่มีเครื่องปรุงแปลกประหลาดใดๆ และวิธีการผัดก็ธรรมดาตามปกติ เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาหวนนึกถึงเสียงหัวเราะเบิกบานของหลี่จวิ้นชางก่อนหน้านี้ในทันที อดคิดไม่ได้ว่ารสชาติของมันดินนี้อาจเกี่ยวพันกับเสียงหัวเราะนั้น…
ซุนเต๋ออวี่ไม่เคยเห็นท่านอ๋องทานอาหารอย่างรีบเร่งและตะกละเช่นนี้มาก่อน ทุกครั้งมักจะทานช้าๆ สง่างามยิ่ง แต่เมื่อคิดได้ว่าในโลกนี้คงไม่มีสิ่งใดที่สมควรให้เขาต้องร้อนรน การทานอย่างสบายๆ จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
หลังจากทานเสร็จ เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาลุกขึ้น และเงาร่างหายไปในพริบตา
“ใครเป็นคนผัดมันดินจานนี้”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายกชามเปล่าขึ้นถาม
“ข้าผัด ส่วนเขาเป็นคนหั่น ไม่อร่อยหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยถามอย่างเย็นชา
อร่อยแล้วจะอย่างไร? ไม่อร่อยแล้วจะอย่างไร?
เมื่ออาหารถูกยกขึ้นไปให้แล้ว ไม่ว่าจะอร่อยหรือไม่ จะกินหรือไม่ก็ตาม ย่อมต้องจ่ายเงินอยู่ดี รสชาติจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ ที่นี่ไม่ใช่ร้านหรูที่ให้ใครมาตำหนิหรือเลือกได้ตามใจชอบ
ซุนเต๋ออวี่เดินตามลงมา เห็นท่านอ๋องวางชามเปล่าลงบนโต๊ะพอดี
“ท่านคงชอบผัดมันดินจานนี้กระมัง”
จิ้นเผิงเอ่ยถามขณะมองดูชามเปล่า
“เจ้าได้ลองหรือยัง”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถามกลับ
จิ้นเผิงส่ายศีรษะ
“เจ้าต้องลองให้ได้ ทุกคนต้องลอง! หากไม่ได้กิน เจ้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่นอน!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาหันไปกล่าวกับทุกคนในห้องโถงด้วยเสียงกังวาน
ขณะนี้คนที่กำลังรับประทานอาหารอยู่มีเพียงแค่เจ้าหมิงหมิง เกาลัดคั่วน้ำตาล และแม่นางน้อยผู้นั้น
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเห็นชามอาหารตรงหน้าของเจ้าหมิงหมิง จึงเดินเข้าไปถามว่า
“ถูกปากหรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงได้ยินคำถามนั้นเข้า ใจกระตุกเล็กน้อย มือที่ถือตะเกียบอยู่พลันหยุดชะงัก
เพราะเขาถามว่า ‘ถูกปากหรือไม่’ ไม่ใช่ ‘อร่อยหรือไม่’
ฟังดูเหมือนกำลังถามถึงอาหาร แต่แท้จริงแล้วความหมายต่างกันมาก
“รสชาติไม่เลวเจ้าค่ะ!”
เจ้าหมิงหมิงยิ้มบางๆ แล้วตอบกลับไป
“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาสั่งให้เถ้าแก่เนี้ยยกชามาหนึ่งกา และสุราหนึ่งกา แล้วนั่งลงตรงข้ามเจ้าหมิงหมิง ก่อนส่งกระแสเสียงถามนาง
แต่ไรมาเกาลัดคั่วน้ำตาลไม่ชอบให้คนอื่นมารบกวนคุณหนูของตน โดยเฉพาะในเวลารับประทานอาหาร เมื่อเห็นเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาหน้าหนานั่งลงตรงข้ามเช่นนี้ จึงเตรียมจะตบโต๊ะด้วยความโกรธ แต่เมื่อเห็นสายตาที่เจ้าหมิงหมิงส่งมา ก็จำต้องกลั้นใจไว้
“ท่านเป็นผู้ใด”
เจ้าหมิงหมิงส่งกระแสเสียงย้อนถาม
“ข้ารู้ว่าเจ้าคือใคร เพียงแต่อยากรู้ว่าเหตุใดจึงมาที่นี่”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาตอบ
ดูเหมือนเขาไม่อยากบอกตัวตนที่แท้จริงของตน แต่เขาสงสัยใคร่รู้ว่าเหตุใดเจ้าหมิงหมิงจึงมายังเหมืองแร่แห่งนี้
“ข้าเพียงออกมาเดินเล่นเรื่อยเปื่อย…หรือว่าที่นี่เป็นดินแดนต้องห้าม”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
“ไม่หรอก ที่นี่เป็นเพียงเหมืองแร่ เจ้าจะมาหรือไม่มันก็อยู่ที่นี่มาตลอด เพียงแต่ว่าช่วงนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะนัก หากเจ้าเพียงแค่มาเดินเล่นดูรอบๆ เมื่อดูเสร็จแล้วก็จงรีบจากไปจะดีกว่า อยู่ที่นี่นานเกินไป อาจเจอเรื่องยุ่งยากไม่คาดคิด”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
เขารินสุราให้ตนเอง จากนั้นก็รินชาอีกจอก
ดื่มสุราหมดในคราวเดียว และดื่มชาตามไปจนหมด
“ดื่มสุราเช่นนี้จะรู้รสชาติของสุราได้อย่างไรกัน”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
“รสชาติของการดื่มสุราเช่นนี้ก็เหมือนกับเหมืองแร่ที่นี่ คนที่ไม่เคยลองย่อมไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร เมื่อเห็นคนอื่นทำก็เกิดความสงสัย แต่เมื่อได้ลองด้วยตนเองแล้ว จะพบว่ามันก็แค่นั้น ไม่มีอะไรน่าจดจำหรือเลิศล้ำอย่างที่คาดหวัง”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ย
เจ้าหมิงหมิงเงียบไม่เอ่ยวาจา
นางรู้เจตนาของบุรุษเบื้องหน้าดีว่าเพียงต้องการให้นางออกไปจากที่นี่ แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ นางกลับยิ่งสนใจที่แห่งนี้มากขึ้น เจ้าหมิงหมิงอยากอยู่ที่นี่ต่ออีกหลายวัน เพื่อดูว่าเหมืองแห่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะตั้งแต่ก้าวแรกที่นางเข้ามา ก็มีคนพยายามโน้มน้าวให้นางออกไปทีละคน เริ่มจากเถ้าแก่เนี้ย แล้วก็มาบุรุษตรงหน้านี้
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่ได้รับคำตอบจากเจ้าหมิงหมิง ก็รู้สึกเบื่อเล็กน้อย…บุ้ยปาก ลุกขึ้นเตรียมจะจากไป
“สุราของท่าน!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวขึ้น
ประโยคนี้ไม่ได้ใช้กระแสเสียง แต่เอ่ยออกมาตรงๆ
“ถือว่าข้าเลี้ยงเจ้า!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาตอบกลับ
“ไม่จำเป็น! หากข้าจะดื่ม ข้าซื้อเองได้”
เจ้าหมิงหมิงตอบกลับโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง
เป็นครั้งแรกที่เจิ้นเป่ยอ๋องถูกปฏิเสธนับตั้งแต่ขึ้นครองอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง เขาไม่สามารถตอบสนองได้ชั่วขณะ หลายปีมานี้ ทุกคนที่พบเจอเขาต่างกริ่งเกรงประหนึ่งเดินบนน้ำแข็งบางๆ ไม่มีใครกล้าคัดค้านคำพูดของเขา แม้แต่คนใกล้ชิดก็เป็นเช่นนี้ อาจจะบ่นลับหลังไม่กี่ประโยค แต่ไม่มีใครกล้าต่อต้านอย่างเปิดเผย ในขณะเดียวกันก็ล้วนทำตามอย่างเคร่งครัดและสุดความสามารถเพื่อให้สำเร็จ
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เด็ดขาดของเจ้าหมิงหมิง เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็จนปัญญา…เขาทำได้เพียงถอนหายใจ แล้วหมุนตัวกลับไปที่โต๊ะ ถือทั้งกาสุราและกาน้ำชาไว้ในมือ เพื่อไม่ให้เจ้าหมิงหมิงต้องเอ่ยเรียกเขาและบอกว่าถ้านางอยากดื่มน้ำชา นางก็ซื้อเองได้ หากเป็นเช่นนั้นคงจะเก้อกระดากไม่น้อยกระมัง
สายตาของเขากวาดผ่านจิ้งเหยาและเกาเหรินอย่างรวดเร็ว โดยไม่หยุดนิ่งหรือแสดงสีหน้าใดๆ ริมฝีปากเหมือนจะมีรอยยิ้มบางๆ เขาเดินมาข้างจิ้นเผิงพลางเอื้อมมือไปตบไหล่ของจิ้นเผิงพร้อมกล่าวว่า
“ต้องลองลิ้มรสจานนี้ให้ได้!”
แต่เมื่อก้าวแรกของเขาเพิ่งจะเหยียบขึ้นบันไดขั้นแรกเท่านั้น เถ้าแก่เนี้ยก็กล่าวว่าอาหารจานนี้หมดแล้ว ไม่เพียงแต่ผัดมันดินเท่านั้น กระทั่งผัดผักกาดขาวที่หั่นเป็นรูปข้าวหลามตัดก็หมดเช่นกัน
ขณะมองไปยังแผ่นหลังของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาที่กำลังเดินขึ้นไปชั้นบน ใบหน้าของเกาเหรินก็พลันซีดเผือด ทันใดนั้นร่างทั้งร่างของเขาก็อ่อนแรงจนทรุดลงไปกับพื้น…เดิมเขาก็ตัวไม่สูงนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สามารถเอื้อมแตะได้กระทั่งขอบโต๊ะ!
……………………………
ในจวนของนายท่านจิน
แน่นอนว่ามีงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยแขกเหรื่อมากมาย
และเสี่ยวจีหลิงเป็นศูนย์กลางของงานเลี้ยงเช่นเคย
ทว่ามุมหนึ่งของโต๊ะกลับแตกต่างจากที่อื่นอย่างยิ่ง
หวาหนงนั่งอยู่ข้างๆ ชิงเสวี่ยชิง ถัดไปก็เป็นเหวินฉีเหวิน
หลังจากดื่มครบสามจอกแรกแล้ว ชิงเสวี่ยชิงก็คุยกับหวาหนงไม่หยุด
แต่ทั้งคู่พูดเสียงเบามาก แม้แต่เหวินฉีเหวินที่นั่งใกล้ที่สุดพยายามเงี่ยหูฟังก็ยังได้ยินแค่คร่าวๆ เท่านั้น
“จากนั้นข้าก็ได้ยินเสียงหอบหายใจเป็นระยะอยู่ข้างหลัง แต่ร่างกายข้าอ่อนแอยิ่ง…หลายคนมักคิดว่าหากอ่อนแรงถึงขีดสุด ร่างกายต้องอ่อนปวกเปียก แต่ความจริงไม่ใช่ ตอนนั้นร่างกายข้าแข็งทื่อ แม้ในหัวข้ายังมีความคิดยุ่งเหยิง แต่ร่างที่แข็งทื่อนี้กลับไม่สามารถตอบสนองใดๆ ได้เลย ข้าอยากจะพลิกตัวหันไปดูอย่างยิ่งว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ความคิดวนอยู่ในหัวข้าหลายสิบครั้ง ทว่าข้าไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิ้วมือเดียวจริงๆ…”
หวาหนงกล่าว
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มพูด แต่เขากลับเล่าถึงอดีตเมื่อตอนใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขาให้ชิงเสวี่ยชิงฟัง
นี่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาตกใจที่สุด เพราะในขณะที่เขาอ่อนเพลียและกำลังป่วยเป็นไข้หวัด กลับมีหมาป่าออกฝูงตัวหนึ่งเดินตามเขามาเพียงลำพัง
“จากนั้นเล่า เหตุใดเจ้าถึงอยากพลิกตัว สุดท้ายเจ้าพลิกตัวได้อย่างไร”
ชิงเสวี่ยชิงเริ่มหายใจกระชั้นมากขึ้น
“ในตอนนั้นเสียงที่ข้าได้ยินก็คล้ายกับเสียงหายใจของเจ้าตอนนี้! เพียงแต่ระยะห่างระหว่างแต่ละเสียงนั้นยาวนานกว่า พูดตามตรง ข้าก็จำไม่ได้ว่าสุดท้ายพลิกตัวไปได้อย่างไร เพราะเมื่อตกลงไปบนพื้น ข้านอนคว่ำหน้าจนเกือบจะหมดสติ คางของข้าคงไปกระแทกกับก้อนหินจนรู้สึกเจ็บปวด! ความเจ็บนั้นไม่ถึงกับทำให้ข้าสิ้นใจ…แต่อาการชาหลังจากนั้นกลับทำให้ข้าหมุนคอไม่ได้เลย ดังนั้น ข้าจึงต้องพลิกตัวให้ได้ นอนหงายมองฟ้า ถึงจะมองเห็นว่าสิ่งใดอยู่ข้างหลังข้ากันแน่!”
หวาหนงดื่มสุราไปอึกหนึ่งแล้วพูดต่อ
ดูเหมือนว่าการดื่มสุราเล่าเรื่องจะไม่ได้มีเพียงเสี่ยวจีหลิง ใครก็ตามที่พูดถึงเรื่องราวในอดีตที่น่าจดจำ ลืมไม่ลง หรือสะเทือนอารมณ์ก็ล้วนอยากดื่มสุราทั้งสิ้น
“ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ข้าพลิกตัวมาก็เห็นหมาป่าสีเทาตัวหนึ่งยืนอยู่ระหว่างต้นไม้กับหินที่ห่างกันราวสองจั้ง มันน่าจะออกจากฝูงมา…ต้องรู้ว่าหมาป่ามักอยู่กันเป็นฝูง เมื่อพวกมันรวมตัวกันเพื่อโจมตีจะน่าเกรงขามมาก แต่หากอยู่ตัวเดียว มันจะต้องเผชิญกับชีวิตที่ลำบาก!”
หวาหนงกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชิงเสวี่ยชิงก็ตื่นเต้นและดื่มสุราอีกจอก ไม่ได้ยินกระทั่งคำห่วงใยของเหวินฉีเหวินที่บอกให้นาง ‘ดื่มช้าๆ’
แต่หวาหนงก็เงียบลงกะทันหัน…เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงเล่าเรื่องนี้ให้ชิงเสวี่ยชิงฟัง หรือจะเป็นเพราะการดูหมิ่นจากทั้งสองคนก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกโกรธ จึงต้องพูดอะไรบางอย่างเพื่อยืนยันและพิสูจน์ตัวเอง
เมื่อคิดไปมา หวาหนงก็หัวเราะขึ้นมา
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้าหัวเราะ!”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าว
“เมื่อวานข้าก็หัวเราะ ก่อนหน้านี้ข้าก็หัวเราะ”
หวาหนงกล่าว
“นั่นเป็นเพียงการหัวเราะที่ขมขื่น หัวเราะเช่นนั้นไม่ถือว่าหัวเราะ! เหมือนกับที่ไม่สามารถใช้หอยทากผูกกับคันไถเพื่อไถนาได้”
ชิงเสวี่ยชิงบุ้ยปากกล่าว ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของเหวินฉีเหวินที่อยู่ข้างๆ แม้แต่น้อย…
……………………………………………………………………
…………….