ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 489 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-6
บทที่ 489 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-6
…………….
“ไม่รู้หนังสือได้ เผาหนังสือทิ้งได้ แต่ ‘จงเซี่ยวเจี๋ยอี้’ เปรียบเสมือนอาหารที่คนเราจะขาดไม่ได้ ต้องสืบทอดต่อกันไปทุกชั่วคน เจ้าคิดว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่”
นักเล่าเรื่องชรากล่าวกับนักเล่าเสียงพิฆาต
ใครจะคาดคิดว่าคำสอนธรรมดาและซ้ำซากนี้ กลับมีอทธิพลต่อนักเล่าเสียงพิฆาตมาจนถึงทุกวันนี้
ต่อมาเมื่อเขากลายเป็นทั้งนักเล่าเรื่องและมือสังหารผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพ คำว่า ‘จงเซี่ยวเจี๋ยอี้’ ที่นักเล่าเรื่องชราสอนนั้นไม่เคยเลือนหายจากใจเขาเลยสักครั้ง
แม้ว่าการสังหารคนจะทำเงินได้ แต่นักเล่าเสียงพิฆาตเชื่อว่าผู้ที่เขาฆ่าล้วนเป็นคนที่สมควรตาย คนเหล่านั้นคือผู้ที่ละเมิดหลักธรรมทั้งสี่นี้ เมื่อสังหารคนเช่นนั้น เขาย่อมไม่รู้สึกติดค้าง และเงินที่ได้มาก็ไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด ในขณะเดียวกัน ในสายตาของเขาเสี่ยวจีหลิงก็เป็นหนึ่งในคนเช่นนั้น
“เจ้าไม่คู่ควรที่จะเล่าเรื่อง”
นักเล่าเสียงพิฆาตกล่าว
“หรือการเล่าเรื่องต้องเป็นหน้าที่ของนักเล่าเรื่องเท่านั้น? เล่าเรื่องเพื่อหาความสนุกให้ตัวเองไม่ได้หรือ”
เสี่ยวจีหลิงโต้กลับ
ในที่สุด เขาก็ยอมเปิดเผยเหตุผลของตนออกมา
แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่เพียงพอที่จะทำให้นักเล่าเสียงพิฆาตเปลี่ยนใจ
มือขวาของนักเล่าเสียงพิฆาตยังคงจับอยู่ที่ด้ามดาบ ชักเข้าออกเป็นจังหวะ ส่งเสียงอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเทียบกับการรับจ้างสังหารที่มีคนว่าจ้าง เรื่องที่เขาต้องการลงมือเองย่อมยึดมั่นยิ่งกว่า
เสี่ยวจีหลิงมองเขาแล้วถอนหายใจ รู้ดีว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่มีทางออกแล้ว และคงไม่มีทางจบลงด้วยดีได้
“เจ้าเองก็ใช้ดาบหรือ”
นักเล่าเสียงพิฆาตเอ่ยถาม เมื่อเห็นเสี่ยวจีหลิงค่อยๆ ยกแขนขวาขึ้นมา แล้ววางดาบขวางไว้ที่หน้าอก
“ข้าไม่ใช้ดาบ”
เสี่ยวจีหลิงส่ายศีรษะกล่าว
เขาไม่ใช่คนที่ใช้ดาบจริงๆ
ไม่เพียงแค่ไม่ใช้ดาบเท่านั้น เขายังไม่ใช้กระบี่ด้วย
สำหรับเขา ดาบและกระบี่ไม่ต่างกันมากนัก เป็นเพียงอาวุธที่ถือในมือเท่านั้น
แต่สำหรับนักเล่าเสียงพิฆาต คนที่ไม่ใช้ดาบแต่จับดาบ ก็เหมือนกับคนที่ไม่ใช่นักเล่าเรื่องแต่กลับนำเรื่องราวไปโอ้อวด สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่นักเล่าเสียงพิฆาตไม่อาจยอมรับและไม่อาจทนได้
สายลมพัดผ่านอีกครั้ง
คราวนี้ต้นไม้ในลานหน้าจวนของนายท่านจินมั่นคงยิ่ง ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
กิ่งก้านสั่นไหวตามแรงลมอย่างรุนแรง แต่ไม่มีใบไม้หล่นลงมาแม้แต่ใบเดียว
“เจ้าคิดว่าระหว่างเสี่ยวจีหลิงกับนักเล่าเสียงพิฆาต ดาบของผู้ใดดีกว่ากัน”
หลิวรุ่ยอิ่งหันไปถามหวาหนง
“แน่นอนว่าดาบของเสี่ยวจีหลิงดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นเนื้อโลหะหรือรูปลักษณ์ ล้วนดีกว่าดาบของนักเล่าเสียงพิฆาตขอรับ!”
หวาหนงตอบ
หลิวรุ่ยอิ่งจนใจเล็กน้อย
เขาไม่ได้ต้องการให้หวาหนงเปรียบเทียบคุณภาพของดาบทั้งสองเล่มนั้น แต่ต้องการฟังความคิดเห็นของหวาหนงเกี่ยวกับการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้
“หากเจ้าไม่ถนัดใช้ดาบ ข้ายินดีให้ยืมกระบี่!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยขึ้น
“ไม่จำเป็น ข้าไม่ถนัดทั้งคู่ ใช้อะไรก็ไม่ต่างกัน ดาบเล่มไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น”
เสี่ยวจีหลิงตอบ
นักเล่าเสียงพิฆาตค่อยๆ เลื่อนดาบที่พาดอยู่บนหลังมาไว้ด้านหน้า เสี่ยวจีหลิงถึงเพิ่งเห็นว่าด้ามดาบของนักเล่าเสียงพิฆาตพันด้วยผ้าบางๆ สีชมพู ราวกับสีของดอกท้อ เสี่ยวจีหลิงมองผ้าผืนนั้นแล้วยิ้มออกมา
ชายชรา ทั้งยังเป็นมือสังหาร เหตุใดจึงใช้ผ้าสีชมพูพันด้ามดาบ?
“ผ้าผืนนั้นเป็นของผู้ใด”
เสี่ยวจีหลิงถาม
“ของภรรยาข้า”
นักเล่าเสียงพิฆาตตอบ
เขากล่าวพลางค่อยๆ แกะผ้าผืนนั้นออกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพับอย่างเรียบร้อยและเก็บไว้ในอกเสื้อ ใกล้กับตำแหน่งของหัวใจ
“ตอนนี้ภรรยาเจ้าอยู่ที่ใด”
เสี่ยวจีหลิงเอ่ยถาม
“นางแต่งงานใหม่ไปแล้ว”
นักเล่าเสียงพิฆาตตอบ
หลังจากเก็บผ้าผืนนั้นเรียบร้อยแล้ว เขาใช้มือซ้ายตบเบาๆ ที่หน้าอก ราวกับกำลังปลอบเด็กเล็กๆ คล้ายกับว่าผ้าที่เขาเพิ่งเก็บไว้ไม่ใช่เพียงผ้าผืนบาง แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องดูแล
“หากนางแต่งงานใหม่ไปแล้ว ก็ไม่อาจนับว่าเป็นภรรยาของเจ้าได้”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“ข้าบังคับให้นางแต่งงานใหม่ นางเองก็ไม่ต้องการ”
นักเล่าเสียงพิฆาตเอ่ย
คำพูดนี้ ไม่เพียงแค่เสี่ยวจีหลิงที่อยู่เบื้องหน้า แม้แต่หลิวรุ่ยอิ่งและคนอื่นๆ ต่างก็ตะลึงงันสุดขีด…เรื่องราวต้องซับซ้อนเพียงใดกัน เขาถึงต้องบังคับให้ภรรยาตนเองแต่งงานใหม่?
“ผ้าผืนนี้ นางใช้ดอกท้อสามชั่งย้อมในวันก่อนที่จะแต่งงานใหม่”
นักเล่าเสียงพิฆาตกล่าวต่อ
“งดงามมาก ดูดีทีเดียว! กลิ่นก็คงหอมเช่นกัน!”
เสี่ยวจีหลิงเอ่ย
“ไม่หรอก พอดมแล้วจะมีกลิ่นเหม็น แม้ดอกท้อจะดูอ่อนหวานงดงาม แต่ก็เป็นดอกไม้ที่ไม่อาจดมกลิ่นใกล้ๆ ได้ เมื่อเข้าใกล้ครั้งแรก อาจมีกลิ่นหอมอ่อนๆ อยู่บ้าง แต่หากดมสามครั้งติดกัน กลับจะเหม็นเกินทน…ผ้าผืนนี้ย้อมจากดอกท้อ ดอกท้อทั้งดอกยังทำให้เหม็นได้ นับประสาอะไรกับดอกที่ถูกบดละเอียดเช่นนี้”
นักเล่าเสียงพิฆาตกล่าว
ในฤดูใบไม้ผลิปีนั้น
ก่อนภรรยาของเขาจะถูกเขาบังคับให้แต่งงานใหม่ นางเก็บดอกท้อสามชั่งมาย้อมผ้าผืนหนึ่ง แล้วผูกมันไว้ที่ดาบของเขา
“ภรรยาเจ้ามีนามว่าอย่างไร”
เสี่ยวจีหลิงถาม
“นางมีนามว่าเถาฮวา (ดอกท้อ)”
นักเล่าเสียงพิฆาตตอบ
เถาฮวาใช้ดอกท้อย้อมผ้าผืนหนึ่ง
แต่เถาฮวาเกิดในพื้นที่ที่ไม่มีต้นท้อ
หากไม่มีต้นท้อ แล้วจะมีดอกท้อได้อย่างไร?
เสี่ยวจีหลิงพลันรู้สึกได้ว่านักเล่าเสียงพิฆาตช่างคล้ายตนเองนัก ต่างก็เป็นคนที่ไม่เคยเอ่ยทักทายผู้ใดก่อน และในชีวิตประจำวันก็มักจะเงียบขรึมอยู่เสมอ แม้กระทั่งรอยยิ้มที่มอบให้ผู้อื่นก็ยังน้อยเสียจนแทบไม่มี
แต่หากเมื่อใดที่เขาเริ่มพูดจา หากคนรอบข้างไม่สนใจเขา เขาก็จะนั่งเหม่อลอย มองอีกฝ่ายด้วยแววตาเว้าวอน ขณะนั้นเอง ต่อให้เป็นคนที่โง่เขลาหรือเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาเพียงใด ก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่ถึงแม้ภายในใจจะปรารถนาสิ่งใดอย่างแรงกล้า เขากลับไม่ยอมพูดออกมา ต้องรอให้ผู้อื่นเป็นฝ่ายกล่าวก่อนเสมอ
ในตอนแรก ย่อมมีคนที่ไม่สนใจเขา เพราะไม่มีผู้ใดจำเป็นต้องเอาใจหรือยอมตามใจอีกฝ่าย เช่นเดียวกับเสี่ยวจีหลิงที่มีคนที่ชอบอยู่คนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะหลงรักนางมากเพียงใด แต่ก็ไม่อยากให้นางรู้ เพราะสิ่งที่ไม่อาจไขว่คว้ามาได้มักจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ในเมื่อชอบแล้วก็ชอบต่อไปเรื่อยๆ หากได้ครอบครองย่อมหลีกหนีการจากลาไม่พ้น เสี่ยวจีหลิงอาจไม่ถึงขั้นบีบบังคับให้ภรรยาของตนต้องแต่งงานใหม่ แต่เขาสามารถทำเรื่องอย่างการจากไปโดยไม่บอกลาได้อย่างแน่นอน
ทุกครั้งที่นักเล่าเสียงพิฆาตจ้องมองผ้าคลุมผืนบางนั้น ใจเขาย่อมคิดถึงหญิงสาวคนนั้นอยู่เสมอ ว่ามาเช่นนี้แล้ว เสี่ยวจีหลิงก็อิจฉาเขายิ่งนัก…เพราะแม้เสี่ยวจีหลิงจะมีคนที่ชอบอยู่แล้ว แต่ก็อยากรู้ว่าการได้รับความรักจากใครสักคนนั้นเป็นเช่นไร และเป็นความรู้สึกแบบใด
บางคนอาจสงสัยว่า ในเมื่ออยู่ใกล้ชิดกันมาตลอด เหตุใดเสี่ยวจีหลิงจึงไม่แต่งงานกับนางเสีย และเหตุใดนางจึงไม่ยอมแต่งกับเขา? เพราะเสี่ยวจีหลิงไม่เคยเอ่ยว่าเขาชอบนางเลย ถึงแม้จะมีหลายเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา แต่เรื่องของความชอบนั้นต้องกล่าวให้ชัดเจนเสมอ
อีกฝ่ายเพียงต้องการให้เขาพูดแค่ประโยคเดียว แต่เขากลับไม่ยอมพูดออกมา ไม่ใช่เพราะมั่นใจในตนเองมากเกินไป แต่เพราะขลาดกลัวเกินไป…มั่นใจว่านางคงรู้ดีถึงความรู้สึกของเขาอยู่แล้ว แต่กลัวว่าหากบอกไปว่าชอบก็ไม่รู้จะชอบต่อไปอย่างไรดี
หากความรักเป็นสิ่งที่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ ผู้ที่พ่ายแพ้ก็คงหนีไม่พ้นเสี่ยวจีหลิง แน่นอนว่าเขารู้ดีถึงชะตากรรมของตนเอง ตั้งแต่เริ่มต้นเขาก็รู้แล้วว่าตนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
สำหรับนักเล่าเสียงพิฆาต เพราะหญิงสาวผู้เป็นภรรยานามว่าเถาฮวา นางชอบดอกท้อ แต่กลับไม่เคยเห็นดอกท้อมาก่อน และเขาเองก็เร่ร่อนระหกระเหิน จึงบีบบังคับให้นางแต่งงานใหม่ ไปยังสถานที่ที่ดอกท้อจะบานสะพรั่งทุกปี
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเขามีเวลาว่าง ก็จะสามารถพบนางในช่วงดอกท้อบานได้จากที่ไกลๆ
ดอกท้อมักจะบานในช่วงที่สัตว์ตื่นจากจำศีลหลังย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ทุกปีในเวลานี้ นักเล่าเสียงพิฆาตจะไปที่นั่นเสมอ แต่ปีนี้เมื่อเขาไปถึงกลับไม่เห็นนาง เพราะในช่วงต้นฤดูหนาวของปีที่แล้ว เมื่อหิมะแรกเริ่มโปรยปราย ภรรยาที่เขาบังคับให้แต่งงานใหม่ล้มป่วยและเสียชีวิตลง
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในอนาคตนักเล่าเสียงพิฆาตจะกลับมาที่นี่อีกหรือไม่ แต่นักเล่าเสียงพิฆาตกลับพบว่า แม้เขาจะมาที่นี่หลายครั้ง แต่กลับไม่เคยมองสถานที่แห่งนี้อย่างชัดเจนเลยสักครั้ง และก็ไม่เคยดมกลิ่นของดอกท้ออีกเลย
‘ข้าอายุปูนนี้แล้ว นับจากวันที่นางแต่งงานใหม่ก็ผ่านมาสามสิบกว่าปีแล้ว ในช่วงสามสิบกว่าปีนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าลืมไป หรือไม่ก็ไม่เคยเอ่ยถึงอีกเลย และมีบางคนที่ข้าลืมไปแล้ว หรือไม่ก็ไม่อยากพบเจออีก เพราะเรื่องเหล่านั้นและคนเหล่านั้น ไม่ข้าก็พวกเขาต้องมีฝ่ายหนึ่งที่ทำผิดกันไป’
นี่คือคำพูดที่นักเล่าเสียงพิฆาตคิดอยู่ในหัวมานาน และทบทวนซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง ทั้งยังเป็นข้ออ้างและเหตุผลที่ดีมาก เพียงแต่นักเล่าเสียงพิฆาตไม่เคยเอ่ยคำเหล่านี้ออกมา
‘ความรัก’ กับ ‘ความหลงใหล’ เป็นสิ่งที่แตกต่างกัน นักเล่าเสียงพิฆาตรักภรรยาของเขาจริง แต่กลับไม่มีวันหลงใหลในตัวนาง ทว่าต่อมา ความรักนั้นกลับเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดโดยไม่รู้ตัว
ความรู้สึกผิดที่สามารถเอ่ยออกมาได้ย่อมไม่หนักหนาสาหัสนัก แต่ความรู้สึกผิดที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ต่างหาก จึงจะเป็นความเสียใจอย่างแท้จริง
ในช่วงเวลาที่รักกันยังสามารถใช้ข้ออ้างปกปิดหรือใช้คำโกหกหลอกลวงได้ ทั้งหมดนี้ถือเป็นการอธิบายอย่างหนึ่ง แต่ความรู้สึกผิดและความเสียใจเป็นความบ้าคลั่งอย่างหนึ่ง มันกัดกินจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณของนักเล่าเสียงพิฆาตอยู่ทุกขณะ
บางทีอาจเป็นเพราะเขารักภรรยามากเกินไป ทนไม่ได้ที่เห็นนางต้องทนทุกข์ทรมาน จึงตัดสินใจบังคับให้นางแต่งงานใหม่ แน่นอนว่าในสายตาของผู้อื่นอาจดูโหดร้ายและไร้หัวใจอย่างยิ่ง แต่ความเจ็บปวดในใจ มีเพียงนักเล่าเสียงพิฆาตเท่านั้นที่รู้ แม้ภรรยาของเขาอาจเข้าใจได้บ้าง แต่ย่อมโกรธเคืองมากกว่าเข้าใจ
เรื่องราวในอดีตนี้ถูกปลุกขึ้นมาโดยผ้าสีดอกท้อผืนหนึ่ง นักเล่าเสียงพิฆาตจึงยืนนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ทุกคนต่างคิดว่าเขาคงจะรำพึงรำพันอะไรบางอย่าง หรือกล่าวคำที่มีเพียงประสบการณ์ของเขาเท่านั้นที่เข้าใจได้ แต่เขากลับไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเลย
เขาเพียงพลิกมือชักดาบออกจากฝัก มีเสียงดังลั่นระลอกหนึ่ง จากนั้นก็ฟันดาบลงไปทางเสี่ยวจีหลิงตรงๆ เสี่ยวจีหลิงเห็นคมดาบรุนแรง จึงหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะเอนร่างถอยหลังไป กางมือขวาแล้วกำด้ามดาบแน่นทันใด
เสียง ‘ฉึบ!’ ดังกังวาน แสงเย็นส่องประกาย เสี่ยวจีหลิงออกดาบแล้ว
เดิมหลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าเสี่ยวจีหลิงจะหลบหรือปัดป้องดาบนี้ เพราะเขาออกดาบช้ากว่านักเล่าเสียงพิฆาตสามส่วน สถานการณ์เช่นนี้ย่อมเสียเปรียบ
ใครจะคาดคิดว่าเสี่ยวจีหลิงกลับไม่ถอยหนี แต่พุ่งตรงเข้าใส่ ปลายดาบตรงไปยังหน้าอกและลำคอของนักเล่าเสียงพิฆาต สะบัดข้อมือแล้วบิดเอวเพียงเล็กน้อย คมดาบของทั้งสองพลันเฉียดกัน
ปราณดาบที่ปะทะกันทำให้ดาบของทั้งคู่กระเด็นออกไปด้านข้าง แม้ดาบนี้ของเสี่ยวจีหลิงจะดูโทสะและบุ่มบ่าม แต่กลับชาญฉลาดยิ่ง! ด้วยการจู่โจมนี้ ทำให้ความได้เปรียบก่อนหน้าของนักเล่าเสียงพิฆาตหายไปในพริบตา
“นึกไม่ถึงว่าเสี่ยวจีหลิงที่ปากบอกว่าไม่สันทัดการใช้ดาบ จะใช้กระบวนท่าธรรมดาได้ลึกล้ำถึงเพียงนี้!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยชมอยู่ข้างๆ
หลังจากที่ทั้งสองหยุดนิ่งครู่หนึ่ง นักเล่าเสียงพิฆาตยกดาบขึ้นขวางตรงหน้า ปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง มือซ้ายวางบนตัวดาบแล้วดันไปข้างหน้าช้าๆ ราวกับมันถูกปิดผนึกไว้ แล้วฟันไปข้างหน้า
ดูเผินๆ เหมือนเชื่องช้าไร้พิษสง แต่กลับซ่อนเล่ห์เหลี่ยมอยู่ พลังฝ่ามือและแรงดาบผสานกันเป็นหนึ่ง เมื่อได้รับแรงเสริมจากพลังปราณ หากมีการโจมตีกลับมา ก็สามารถเปลี่ยนกระบวนท่าได้หลากหลาย กลายเป็นกระบวนดาบที่เฉียบคมอย่างยิ่ง!
แม้แต่เหวินฉีเหวินและชิงเสวี่ยชิงที่สืบทอดจากตระกูลดาบชื่อดังก็ยังมองตาไม่กะพริบ
เสี่ยวจีหลิงเห็นดาบและฝ่ามือตรงเข้ามา ไม่มีเวลาให้คิดหาทางรับมือ จึงตัดสินใจใช้วิธีหาจุดอ่อนเพื่อล้มกระบวน
ดาบของเหวินฉีเหวินในมือเสี่ยวจีหลิงแปรเปลี่ยนเป็นหอกยาว เล็งไปที่ดาบของนักเล่าเสียงพิฆาตแล้วแทงตรงเข้าไป
เหมือนนักเล่าเสียงพิฆาตจะคาดเดาได้ว่าเสี่ยวจีหลิงจะเลือกใช้วิธีเสี่ยงเช่นนี้ในการทำลายกระบวนท่า เขายิ้มเล็กน้อย คิดว่าอีกฝ่ายตกหลุมพรางของตนเข้าแล้ว จากนั้นจึงดึงฝ่ามือซ้ายกลับ และฟาดฝ่ามือใส่หัวเข่าของเสี่ยวจีหลิงสามครั้งติดในพริบตา พลังดาบและพลังฝ่ามือพลันแยกเป็นสองทิศแล้วพุ่งโจมตีพร้อมกัน
หลิวรุ่ยอิ่งและทุกคนเห็นภาพตรงหน้าต่างก็อุทานด้วยความตกใจ และแอบเหงื่อตกแทนเสี่ยวจีหลิง แต่เขากลับหมุนร่างอย่างใจเย็น มือขวากำดาบ ก่อนจะตัดลมปราณจากฝ่ามือของนักเล่าเสียงพิฆาตลง
จากนั้นอาศัยจังหวะที่แสงดาบยังไม่หมดประกาย ยกเท้าขวาขึ้น เตะไปที่ข้อศอกขวาของนักเล่าเสียงพิฆาต
เดิมทีดาบนี้ของนักเล่าเสียงพิฆาตพุ่งออกมาราวกับสายน้ำเชี่ยว แต่เมื่อเสี่ยวจีหลิงยื่นขาเข้ามาสกัด เขาจึงต้องงอแขนเพื่อป้องกัน การชะงักเพียงชั่วขณะนี้ ทำให้เสี่ยวจีหลิงหลบคมดาบไปได้อย่างง่ายดาย
“ลือกันว่าฝีมือดาบของเจ้าไม่มีอะไรโดดเด่น แต่มีฝีเท้าที่ร้ายกาจยิ่ง ไม่คิดว่าจะสามารถรับมือข้าได้ถึงเพียงนี้!”
นักเล่าเสียงพิฆาตกล่าวขึ้น
จากน้ำเสียง เขากำลังเหน็บแนมเสี่ยวจีหลิงที่มักอาศัยท่าร่างในการหลบหนี
“ในนิทานที่เล่ากันมา คำกล่าวที่ว่า ‘กลศึกไม่มีรูปแบบตายตัว ดั่งสายน้ำที่ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ตามสถานการณ์ ผู้ที่สามารถเอาชนะตามการเปลี่ยนแปลงได้ นับว่ามีฝีมือระดับเซียน’ ไม่ว่าจะเป็นการหลบหนีหรือเผชิญหน้า สุดท้ายแล้วก็เพียงเพื่อชัยชนะเท่านั้น และการชนะก็เพื่อยุติปัญหาและแก้ไขเรื่องราวที่คั่งค้าง หากเจ้าไม่ยึดมั่นเช่นนี้ ข้าย่อมหลบหนีเช่นเคย ไฉนต้องจับดาบนี้ไว้แน่นเล่า”
เสี่ยวจีหลิงกล่าวพลางยิ้ม