ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 49 พู่กันดั่งมีด วาจาบาดลึก-2
บทที่ 49 พู่กันดั่งมีด วาจาบาดลึก-2
ถนนเส้นนี้เป็นทางที่ต้องผ่านจากโรงเตี๊ยมพูนโชคกลับไปยังอาคารกรมสอบสวนหัวเมืองรัฐติง เกรงว่าเขาคงคอยเฝ้าอยู่ตรงนี้ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บอยู่นานแล้ว
ทว่าคนเราเมื่อตัดสินใจจะทำอะไร เช่นนั้นจะต้องมีผลประโยชน์แน่นอน
และบนโลกนี้ไม่มีคนจิตใจดีตั้งแต่หัวจรดเท้า ทุกคนหากไม่ไล่ตามชื่อเสียงก็ตามหาผลประโยชน์
แต่คนผู้นี้อยากได้อะไรจากตนกันแน่ หลิวรุ่ยอิ่งในยามนี้กลับคิดไม่ออกและไม่เข้าใจ
“เมื่อครู่เขาบอกว่าเขาต่างหากที่เป็นลูกค้า…”
นัยยะจากประโยคนี้ได้บอกอย่างชัดเจนแล้ว
บนตัวของหลิวรุ่ยอิ่งจะต้องมีบางสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการเป็นแน่
“เจ้าต้องการอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าหากต้องประมือ ตนสู้ไม่ไหวแน่นอน ประวิงเวลาแล้วค่อยคิดแผนจะดีกว่า ถ้าหากหาโอกาสปล่อยสัญญาณออกไป เรียกคนที่กรมสอบสวนมาช่วยได้ก็จะดี
“บริเวณโดยรอบของถนนสองเส้นนี้ไม่มีคนแล้ว เจ้าไม่ต้องคิดวางแผนแล้ว”
เขาไม่พูดความต้องการของตนเอง แต่พูดทำลายความคิดที่อยู่ในใจของหลิวรุ่ยอิ่ง
ทว่าอีกฝ่ายเหมือนไม่ได้มาคนเดียว ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งตกใจอยู่บ้าง พวกเขาเป็นใครกันแน่ พรรคพวกใดยอมลงทุนลงแรงมากมายขนาดนี้เพื่อลอบโจมตีตน
เขามองกระบี่ดาราในมือแวบหนึ่ง พลันนึกถึงฮั่ววั่งขึ้นมาทันที
“พวกเจ้าเป็นคนของวังติ้งซีอ๋อง?”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม ขณะเดียวกันเริ่มแอบโคจรพลังที่อยู่ภายในร่างกาย
“พวกเราเป็นใครไม่สำคัญ แต่เจ้าจงมอบวิชา ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ ของเจ้ามาเสีย แล้วพวกเราจะปล่อยเจ้าไป”
หลิวรุ่ยอิ่งจึงเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย ไม่น่าเชื่อว่าจะมาเพื่อ ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’…ที่ตนเองได้รับเป็นรางวัล
“กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งแปลกใจอย่างยิ่ง
ไม่ใช่เพราะเขาฟังน้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่ออก แต่รู้สึกว่าแค่ตำราเคล็ดวิชา ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ เพียงเล่มเดียวทำให้อีกฝ่ายต้องลงแรงมากมายเช่นนี้
“ถูกต้อง ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ นั่นละ”
อีกฝ่ายพูดซ้ำ
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่า ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ เล่มนี้ เป็นตำราลับล้ำค่าเล่มหนึ่งที่ค้นเจอในห้องหนังสือของกรมสอบสวนกลาง ทั้งยังไม่มีตำราลับอื่นอีกแล้ว
และสาเหตุที่เขาชอบมากเพราะเคล็ดเรียนวิชากระบี่เล่มนี้ช่วยเสริมตนให้ก้าวข้ามขั้นบรมภูมิเทียมหลังจากที่ฝึกฝนและทดลองแล้วไม่เคยได้ผล
เขาหรือจะคิดว่า ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ เล่มนี้จะเป็นผลงานเขียนของจางซู่…นักปราชญ์ที่เก่งทั้งด้านบู๊และบุ๋น
ถ้าหากไม่นับรวม ‘กายใจรวมเป็นหนึ่ง’ ก่อนที่จางซู่จะดับสูญ เช่นนั้น ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ ถึงจะนับว่าเป็นตำราเล่มเดียวของจริง
ถึงแม้ตอนที่จางซู่เขียน ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ เสร็จแล้ว แนวคิด ‘กายใจรวมเป็นหนึ่ง’ ที่เป็นศูนย์กลางของเขายังไม่ได้เกิดขึ้น
ทว่าการเกิดสิ่งใหม่ๆ บนโลกนี้ ไม่ได้ใช้เวลาเพียงข้ามคืน
แม้ ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ จะเขียนเสร็จนานแล้ว แต่แก่นแท้ของ ‘กายใจรวมเป็นหนึ่ง’ ที่มาภายหลังกลับกระจัดกระจายอยู่ในนั้น
“กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปไม่ได้อยู่ที่ตัวข้า”
หลิวรุ่ยอิ่งโกหก
“เจ้าเดินทางจากเมืองจี๋อิงมาถึงหัวเมืองรัฐติง ไม่ได้หยุดพักเลย หลังจากเข้าเมืองก็เข้าไปดื่มสุราในโรงเตี๊ยมพูนโชคเพียงลำพัง ถึงแม้เจ้าจะสั่งให้คนของกรมสอบสวนที่ร่วมเดินทางมาด้วยเก็บสัมภาระของเจ้ากลับไปที่อาคารแล้ว แต่สิ่งที่อยู่ข้างในนอกจากเสื้อผ้าที่ซักแล้วก็ไม่มี ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ ดังนั้นมันต้องอยู่ที่ตัวเจ้าเท่านั้น สิ่งของล้ำค่าเช่นนี้ เจ้าจะไม่พกติดตัวได้อย่างไร”
อีกฝ่ายยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พูดทำลายคำโกหกของหลิวรุ่ยอิ่งอย่างชัดถ้อยชัดคำ
หลิวรุ่ยอิ่งพบว่าการเดินทางของตนถูกอีกฝ่ายมองอย่างทะลุประโปร่ง และฟังจากน้ำเสียงดูเหมือนจะไปค้นสัมภาระของตนที่อาคารกรมสอบสวนในหัวเมืองรัฐติงแล้ว
ถึงแม้อาคารกรมสอบสวนที่หัวเมืองรัฐติงจะไม่มีกำลังโดดเด่นมากในบรรดาอาคารสอบสวนของทุกพื้นที่ก็ตาม แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีคนนอกเข้าไปได้อย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้
ต้องรู้ไว้ว่าส่วนในของอาคารกรมสอบสวนมีกลไกมากมาย โดยเฉพาะประตูใหญ่ที่ใช้กลอนเครื่องกลเชื่อมต่อกัน หากไม่มีกุญแจและแผ่นป้ายของอีกฝ่าย แม้จะมีพละกำลังมากมายมหาศาลก็ยากที่จะเปิดออก ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งทำลายประตูใหญ่ นั่นก็เป็นการเคลื่อนไหวที่ดังมาก คนในอาคารจะไม่รู้ได้อย่างไร
หลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่เชื่อ มือขวาค่อยๆ ยื่นเข้าไปในคอเสื้อตรงหน้าอก
“ปัง!”
เขานำตำราเคล็ดวิชา ’กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ พกติดตัวจริงๆ ใส่ไว้ในเสื้อตรงหน้าอก
แต่ถัดจากตำราลับคือระเบิดหลงไฟที่ทำขึ้นเป็นพิเศษของกรมสอบสวน หากโยนออกไปสามารถมองเห็นได้ในระยะสิบลี้ สหายที่อยู่ในหอรบสงครามจะต้องมาช่วยแน่นอน
คิดไม่ถึงว่า หลิวรุ่ยอิ่งจะโยนระเบิดหลงไฟออกจากมือ แต่ไม่รู้ว่ามีลูกธนูพุ่งมาจากทิศไหนในความมืดติดแน่นอยู่บนกำแพง
วิถีธนู เร็ว แม่นยำ และโหดมาก
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจำนวนเท่าไร แต่ตอนนี้อย่างน้อยสามารถยืนยันได้ว่านอกจากคนที่ใช้แท่งน้ำแข็งแล้วยังมีนักธนูยอดฝีมืออีกคนหนึ่ง จ้องหาโอกาสอยู่ในความมืด
ไม่แน่ว่าลูกธนูครั้งถัดไป สิ่งที่จะติดอยู่บนกำแพงก็คือศีรษะของตนเอง
มนุษย์แท่งน้ำแข็งเห็นหลิวรุ่ยอิ่งเรียกกำลังเสริม แต่ไม่ได้พูดอะไร
มองออกได้ว่า เขาไม่อยากลงมือ แค่อยากได้ ’กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ เท่านั้น
สิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้ ก็คือกำจัดความโกรธในใจของหลิวรุ่ยอิ่งให้หมดสิ้น จากนั้นปิดทางหนีของเขา เพื่อให้สภาพจิตใจเขาแตกสลาย
ด้วยเหตุนี้ หลิวรุ่ยอิ่งจะยอมแต่โดยดี เพียงแค่ต้องใช้เวลาเท่านั้น
อาณาจักรห้าอ๋องมีนายพรานบางส่วนฝึกเหยี่ยวไว้เพื่อช่วยตนล่าสัตว์
การฝึกและเลี้ยงดูเช่นนี้ไม่ได้นำเหยี่ยวมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก เพราะเหยี่ยวที่เติบโตเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากนกแก้ว
พวกเขาต้องเข้าไปในป่า ใช้นกตัวเป็นๆ เป็นเหยื่อล่อ กางตาข่ายเหล็ก จับเหยี่ยวที่ยังไม่ตื่นรู้
มีเพียงเหยี่ยวประเภทนี้ที่มีความสามารถทุกอย่างตรงตามที่นายพรานต้องการ ไม่ใช่เหยี่ยวที่มีแค่ขนสวยเท่านั้น
ทว่าเหยี่ยวเป็นสัตว์ที่สูงส่งอยู่บนท้องฟ้า
ชีวิตของพวกมันสะท้อนอยู่บนปีกที่โผบินอย่างอิสระเสรี
บินวนอยู่เหนือแม่น้ำและภูเขาลูกใหญ่ ทอดมองลงมายังพื้นพสุธาแห่งนี้
พวกมันภาคภูมิใจในตนเอง ไม่ยอมก้มหัวให้มนุษย์
ดังนั้น พวกนายพรานจึงคิดหาวิธี
คือขังเหยี่ยวในพื้นที่สี่เหลี่ยม ไม่ให้พวกมันกินหรือดื่มได้ ไม่สามารถนอนหลับและไม่สามารถบินได้
แค่สองสามวัน เหยี่ยวที่เย่อหยิ่งไม่สนใจใครจะยอมยืนอยู่บนไหล่ของนายพรานอย่างว่าง่าย กลายเป็นสหายที่จงรักภักดีของพวกเขา
ขั้นตอนเหล่านี้ เรียกว่าทรมานเหยี่ยว
ซึ่งเหมือนกับสถานการณ์ของหลิวรุ่ยอิ่งในยามนี้
ทว่า ต่างจากเหยี่ยวคือ หลิวรุ่ยอิ่งคิดเป็น
ตอนนี้เขาพบว่าอีกฝ่ายมีสองคน คนหนึ่งมีอาวุธลับเป็นแท่งน้ำแข็ง อีกคนหนึ่งเป็นยอดนักธนู ซึ่งอยู่ระยะไกล
โดยทั่วไปผู้ที่ใช้อาวุธและฝีมือการต่อสู้เช่นนี้ หลังจากถูกศัตรูเข้าประชิดแล้ว พละกำลังจะลดลงฮวบฮาบ
ถึงแม้หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่คาดหวังให้ตนสู้ชนะ แต่หากทางนี้ต่อสู้เสียงดัง อย่าว่าแต่อาคารกรมสอบสวนเลย แม้แต่ทหารของหัวเมืองรัฐติงก็ยังต้องออกมาสืบดู
แต่ตอนนี้หากตนมีการเคลื่อนไหวใดๆ ยอดนักธนูในความมืดผู้นั้นจะยิงธนูอย่างไม่ลังเลแน่นอน
เขาจะหลบลูกธนูนี้อย่างไร กลายเป็นแผนการที่สำคัญในยามนี้
หลิวรุ่ยอิ่งก้มหน้า ถอนหายใจเล็กน้อย เหมือนจนใจสุดขีด ขณะเดียวกันก็ยื่นมือขวาเข้าไปในหน้าอก
ทันใดนั้น เขาโก่งขาทั้งสองข้าง โค้งหลังตามลงไป กอดกระบี่ดาราในอ้อมอก แล้วกลิ้งไปข้างหน้าโดยใช้ศีรษะเป็นจุดหมุน
“ฟึบ!”
และแล้วยอดนักธนูก็ยิงธนูออกมาจริงๆ
เสื้อด้านหลังของหลิวรุ่ยอิ่งถูกธนูยิงขาด หากชักช้าอีกนิดเดียว ธนูดอกนี้จะปักอยู่บนหลังเอวของตน
มนุษย์แท่งน้ำแข็งเห็นหลิวรุ่ยอิ่งกลิ้งไปข้างหน้าจึงตกใจเล็กน้อย
หรือว่าสิ่งที่เขาตกใจคือการพลั้งมือของสหายในความมืด
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ให้เขามีโอกาสได้ยิงธนูเป็นครั้งที่สอง
ใช้ขาหลังกระโจนไปข้างหน้า กอดเอวของมนุษย์แท่งน้ำแข็ง
คราวนี้ทำให้มนุษย์แท่งน้ำแข็งทำตัวไม่ถูกจริงๆ
เขาคิดไม่ถึงว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะใช้วิธีนี้ เหมือนการต่อสู้หัวร้างข้างแตกตามริมถนนก็ไม่ปาน
อย่างน้อยก็เป็นนายกองกรมสอบสวน จะขายหน้าได้อย่างไร
เขาไหนเลยจะรู้ว่า ในหัวของหลิวรุ่ยอิ่งกำลังคิดว่าจะทำลายสถานการณ์นี้อย่างไร
มิหนำซ้ำ ถ้าหากต้องตาย รักษาหน้าตาไปจะมีประโยชน์อะไร
การตายอย่างมีหน้ามีตาไม่ใช่เรื่องเยี่ยมยอดอะไร มีเพียงการใช้ชีวิตอย่างไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคถึงจะควรค่าต่อการสรรเสริญ
หลิวรุ่ยอิ่งมุดศีรษะไปที่เอวของมนุษย์แท่งน้ำแข็ง เพื่อหลบธนูจากที่ลับ
สองแขนโอบไปด้านหลัง แล้วตบหลังเอวของมนุษย์แท่งน้ำแข็งด้วยสองมือในเวลาเดียวกัน
“ฝ่ามือใหญ่ประจัญบาน!”
เพียงแต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่สามารถใช้กระบี่โจมตีรุนแรงได้ในยามนี้
เพราะตนเองโดนมนุษย์แท่งน้ำแข็งกอดแน่น ดังนั้นเขาจึงหลบไม่พ้น หนีไม่ได้ และการโจมตีด้วยฝ่ามือของหลิวรุ่ยอิ่ง เป็นจุดบอดการป้องกันจุดตายของเขา จึงโดนสองฝ่ามือของมนุษย์แท่งน้ำแข็งเข้าเต็มเปา
“ฮ่า!”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งหัวเราะเสียงดังหนึ่งที ยกขาถีบหลิวรุ่ยอิ่ง แต่ตนกลับไม่เป็นไร
หลิวรุ่ยอิ่งอาศัยจังหวะนี้มองแสงดาราสะท้อนกลับท่ามกลางความมืดที่ด้านหน้าทางขวา เขาชักกระบี่ดาราออกมาด้วยมือขวา โคจรพลังปราณไปทางแสงสะท้อน มือซ้ายยังคงต่อสู้กับมนุษย์น้ำแข็งเหมือนเดิม
กระบี่ดาราห่างมือ
ประหนึ่งสายฟ้าฟาด พุ่งออกไปตามทิศทางที่กำหนด
“เคร้ง!”
ยอดนักธนูในความมืดเห็นกระบี่ดาราโจมตีเข้ามาจึงรีบหลบทันที สุดท้ายเหยียบกระเบื้องบนหลังคาแล้วร่วงลงจนตัวตนเปิดเผย
คิดไม่ถึงว่าวิชาการโยนกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งกลับเป็นกลอุบายเหมือนฟ้าร้องดังแต่ฝนตกนิดเดียว ลอยออกไปไกลไม่กี่หมี่ ก็ร่วงลงพื้น
“ฟิ้ว…”
หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่ทันดีใจที่กำจัดตัวอันตรายในความมืด ฝ่ามือซ้ายของเขากลับถูกแทงทะลุด้วยแท่งน้ำแข็งของอีกฝ่าย
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกับตนมีระยะห่างกันแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งพยายามทนความเจ็บปวดแล้วพุ่งไปข้างหน้า เก็บกระบี่ดาราขึ้นมา
เขาเห็นกลางฝ่ามือซ้ายทะลุเป็นรู แต่ไม่มีเลือดไหลออกมา
บาดแผลโดยรอบ มีพลังของความหนาวเย็นกำลังกระจายออกมาช้าๆ
“ฮ่าๆ เจ้าโดนกรวยน้ำแข็งหกชั่วยามของข้าแล้ว เที่ยงคืนไม่เกินเที่ยงวัน เที่ยงวันไม่เกินเที่ยงคืน ภายในหกชั่วยามเจ้าจะต้องตายเพราะถูกแช่แข็งด้วยพลังของน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งพูดอย่างไม่เกรงกลัว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่สนใจอีกฝ่าย เขารู้สึกถึงแผลที่อยู่กลางฝ่ามือเล็กน้อย รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริง
ทันใดนั้นจึงนิ่ง นอกจากรุดหน้าอย่างกล้าหาญแล้วก็ไม่มีวิธีอื่น
หลิวรุ่ยอิ่งโจมตีด้วยฝ่ามือขวา แต่กลับเค้นพลังได้สองสามฝ่ามือเท่านั้น
ไม่เสียแรงที่ฝ่ามือใหญ่ประจัญบานเป็นวิชาที่หลิวรุ่ยอิ่งฝึกอย่างยากลำบาก
หนึ่งฝ่ามือ รวดเร็วราวกับเงายักษ์ พร้อมกับสายลมแรงทำให้คนคาดเดาทิศทางไม่ถูก
แต่ไร้ประโยชน์ เพราะแท่งน้ำแข็งของอีกฝ่ายกลับเร็วยิ่งกว่า
“อ้า!”
ชั่วพริบตาเดียว กลางฝ่ามือขวาโดนแทงทะลุหนึ่งจุด
แม้จะเป็นเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งยังคงกัดฟันเก็บกระบี่ดาราขึ้นมา
เพราะพลังของน้ำแข็ง มือขวาเริ่มแข็งทื่อเล็กน้อย
เขาจึงต้องจับกระบี่ด้วยสองมือ ฟันกระบี่ในแนวทแยงจากซ้ายล่างขึ้นไปขวาบน
“ธรรมะมีเพียงหนึ่ง!”
กระบี่นี้เป็นวิชากระบี่ประจำกรมสอบสวนเท่านั้น ผู้ที่ไม่ใช่คนของกรมสอบสวนไม่อาจฝึกฝนได้
ธรรมะสองคำนี้มีความหมายถึงความยุติธรรม
กรมสอบสวนสืบสวนในใต้หล้า
รักษากฎหมาย พิทักษ์ความเป็นธรรม มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก
หลิวรุ่ยอิ่งแทบจะเค้นพลังทั้งหมดที่ตนสะสมมาใส่กระบี่เล่มนี้ แม้แต่จุดในระบบรอบกายก็ยังอ่อนแอ
หากไม่มีกระบี่ดาราคอยประคอง เขาคงเดินเซคุกเข่าลงไป
เมื่อใช้กระบี่นี้ ทั่วท้องฟ้าพลันแปรปรวน
ความอ่อนโยนและเข้มแข็ง พลังอินหยางที่ลงตัว พุ่งเข้าไปปลิดชีพมนุษย์แท่งน้ำแข็ง
มนุษย์แท่งน้ำแข็งเห็นกระบี่โจมตีเข้ามา ไม่เพียงแต่ไม่หลบ แต่มือที่ไพล่หลังอยู่..
“น้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์!”
มือขวาของเขาคว้ากลางอากาศเล็กน้อย หลิวรุ่ยอิ่งที่เค้นปราณกระบี่ทั่วร่างกลับโดนแช่แข็ง!
ความหนาวเย็นที่สร้างขึ้นมาอย่างแยบยลนี้ สามารถแช่แข็งได้กระทั่งกระบวนท่าของกระบี่!
“ไม่ส่ง ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ มา เจ้าจงตายเสีย!”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งกล่าวอย่างดูแคลน พร้อมจิตสังหาร
ทว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่ยอมแพ้
เขาไม่สนใจตันเถียนที่ว่างเปล่า จุดเหม่าที่แห้งเหือด พยายามใช้พลัง เค้นกระบี่ออกมา
กระบี่นี้ เพียงพุ่งไปข้างหน้านิ่งๆ
แต่ในความเป็นจริงนั้นปลายกระบี่เชื่อมต่อกัน พลังกลายเป็นสายฝน พุ่งเข้าไปสังหารมนุษย์น้ำแข็งอย่างหนาแน่น
ทันใดนั้น แสงสว่างวาบทั่วท้องฟ้า
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ดีว่าจุดเหม่าในร่างของตนเอง มีพลังเต็มเปี่ยม เปลี่ยนธาตุไฟให้เป็นพลัง ดังนั้นจึงมีอานุภาพไม่ธรรมดา
เช่นนั้นตนจะปกป้องภูเขาสมบัติได้อย่างไร คงได้แต่ถอนหายใจอย่างเปล่าประโยชน์…รู้เพียงแค่ดึงพลังเข้าไปเพื่อเปลี่ยนแปลง แต่ไม่รู้ว่าควรจะดึงพลังอันทรงอานุภาพออกมาอย่างไร
คิดไม่ถึงว่าแค่เหม่อเล็กน้อย กระบี่นี้แทงทะลุกระดูกต้นขาซ้ายของหลิวรุ่ยอิ่ง ทันใดนั้นเลือดพลันไหลออกมา…
ยอดนักธนูที่ตัวตนเปิดเผยก่อนหน้านั้น กลับหาที่ซ่อนตัวใหม่ได้แล้ว จึงกลับเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในความมืดอีกครั้ง
……………………………………………………………………….