ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 508 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-15
บทที่ 508 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-15
…………….
อากาศตอนนี้ไม่ร้อน
ยังมีแสงสุดท้ายจากอาทิตย์ตกดินเล็กน้อย นอกจากพื้นดินที่อุ่นเพราะตากแดดมาทั้งวัน กระทั่งพายุทรายก็เริ่มเย็นแล้ว
และเขาคือเจิ้นเป่ยอ๋อง
ที่นี่คือเหมืองแร่รัฐหงในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
เขาจึงไม่มีเหตุผลใดให้กลัวหรือกังวล
แต่ถ้าตัดปัจจัยทั้งหมดนั้นออก แล้วเหตุใดเขาถึงเหงื่อแตกเหมือนฝนตก
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากำลังต่อสู้ในใจอย่างรุนแรง
เขากำลังกลัวจริงๆ…
ทว่าสิ่งที่เขากลัวไม่ใช่สถานที่นี้หรือเกาเหรินตรงหน้า แต่ครั้งนี้ใจเขาไม่รู้สึกถึงมีดบินของตน
ชั่วขณะที่มีดบินพ้นมือ นอกจากแสงสีเงินในตอนนั้น มีดบินที่เชื่อมกับจิตใจเขามาตลอดก็สูญเสียการเชื่อมต่อ
คล้ายไม่เคยมีอยู่และไม่เคยครอบครอง
แต่สัมผัสจากฝ่ามือรวมถึงแสงสีเงินที่เห็นเต็มสองตาก่อนหน้านี้ไม่อาจโกหก
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่เชื่อว่าตนรับรู้ผิดหรือมองพลาด
เหงื่อยังคงไหลไม่หยุด
เสื้อบริเวณไหล่สองข้างเปลี่ยนเป็นสีเข้มเล็กน้อย…
เขาอยากลืมตาดูให้ชัด แต่กลัวลืมตาแล้วสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นผลที่ตนรับไม่ได้
หนังตาเริ่มสั่นรุนแรง
เหมือนฟังเรื่องผีสางในคืนฤดูร้อนแล้วนอนฝันร้ายตอนเด็กๆ
แต่เรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า…
แม้เด็กน้อยหวาดกลัว แต่ก็รู้ว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริง
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
หางตาเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาหลั่งน้ำตา
น้ำตาไหลเลียบแก้มมาถึงกรามแล้วผสมรวมกับเหงื่อ
เขาลืมตาแล้วในที่สุด
ทั่วทิศเริ่มมืด
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาออกแรงขยี้ตา
หลับตาแน่นเกินเป็นเวลานาน เขาแยกไม่ออกแล้วว่าตนเห็นไม่ชัดหรือแสงไม่พอ
การขยี้ตาไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่ารอบด้านชัดเจนขึ้นเท่าไร
แต่เงาร่างของเกาเหรินยังยืนอยู่ดี
ไม่ได้ต่างจากก่อนเขาออกมีด
สองแขนยังคงกางออก
ไม่ว่าความสูงของไหล่สองข้างที่ต่างกัน หรือท่าทางที่เขาจับแท่งคำนวณในมือ หรือสองแท่งที่เสียบไว้บนหูล้วนไม่มีอะไรเปลี่ยนไป
เกาเหรินอยู่นิ่งๆ เหมือนหุ่นกระบอกในขณะที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาหลับตา
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากวาดสายตาหามีดบินของตนบนกายเขาอย่างรีบร้อน
แม้อยู่ในแสงสลัวยิ่ง แต่เขายังเห็นประกายแสงตรงหัวไหล่ขวาของเกาเหริน
มีดบินที่เขาปาออกไปปักอยู่ในแอ่งไหล่ข้างขวาของเกาเหรินพอดี
เข้าเนื้อแค่สองส่วน
กำลังห้อยต่องแต่ง
สั่นไหวตามลมไม่หยุด
“ท่านชนะแล้ว”
แต่ไม่วางแขนลง
“ทำไมเจ้าไม่ป้องกัน”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
“เพราะกระหม่อมป้องกันไม่ได้”
เกาเหรินกล่าวเยือกเย็น
“แต่เจ้าตัดการเชื่อมโยงระหว่างข้ากับมันได้ ดังนั้นเจ้าป้องกันหรือหลบเลี่ยงได้แน่นอน!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
เกาเหรินไม่ได้อธิบาย แค่มองมีดบินที่ปักอยู่ในแอ่งไหล่ของตน
ปักไม่ลึก แต่เลือดออกเยอะมาก
ย้อมเสื้อผ้าของเขาเป็นสีแดงผืนใหญ่
ไหลตามเส้นใยเนื้อผ้าของชุด ปรากฏเป็นรูปใยแมงมุมและคล้ายลูกตาเปี่ยมเส้นเลือด
เหมือนตรงขอบเมฆแดงที่เห็นก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
“เจ้ารู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้เลยไม่หลบหรือป้องกัน”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามองภาพที่ขับเน้นด้วยเลือดสดบนเสื้อผ้าเกาเหรินแล้วหายใจเข้าลึก
“ท่านก็ไม่ได้อยากฆ่ากระหม่อมไม่ใช่หรือ”
เกาเหรินย้อนถาม
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่รู้ควรตอบเช่นไร
ก่อนลงมือเขารู้สึกเห็นใจอยู่บ้างก็จริง เดิมนึกว่าตนควบคุมได้ดีแล้ว ไม่นึกว่าเกาเหรินยังคงมองออกและแสดงให้เห็นบนมีดบิน
“ยิ่งมันเชื่อมกับจิตใจท่านมากเท่าไรยิ่งเป็นเช่นนี้ มีดบินของท่านมีชีวิต!”
เกาเหรินกล่าว
“แต่ว่า…ถึงท่านไม่ได้ฆ่ากระหม่อม แต่กระหม่อมไม่ชอบติดหนี้น้ำใจใคร โดยเฉพาะท่าน!”
เกาเหรินกล่าว
เขาวางแท่งคำนวณในมือซ้ายลงพื้นและล้วงแท่งคำนวณทั้งหมดในสาบเสื้อตรงหน้าอกมาโยนลงพื้นเช่นกัน
สุดท้ายใช้มือซ้ายดึงมีดบินในแอ่งไหล่ตนออก เขายิ้มมองเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา จากนั้นแทงเข้าหัวใจตนเองอย่างแรงด้วยท่วงท่าเร็วปานฟ้าแลบ ไม่เหลือมีดส่วนที่อยู่ข้างนอกแม้แต่น้อย
“แค่กๆ…”
เกาเหรินไอพ่นเลือดสดออกมา
ทั้งร่างเขางอเป็นกุ้งแห้งตัวใหญ่ พยายามออกแรงยืนตัวตรงอีกครั้ง แต่ลองหลายครั้งแล้วยังจบด้วยความล้มเหลว
“กระหม่อมสัมผัสได้ว่าตรงนี้คือตำแหน่งที่ท่านเล็งไว้แรกสุด ตอนนี้ท่านรู้สึกได้หรือยัง”
เกาเหรินไอพลางเอ่ยถาม
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาหรี่ตา
การเชื่อมต่อกับมีดบินในใจตนที่หายไปนานพลันคืนกลับมา
เขารู้สึกได้ว่าหากตนสลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดแล้วลงมือ ไม่ว่าตำแหน่ง มุมหรือแรงล้วนไม่ผิดจากตำแหน่ง มุมหรือแรงที่เกาเหรินแทงเข้าร่างตัวเองเมื่อครู่
เขาพยายามหยัดกายขึ้น กล้ามเนื้อทั่วร่างล้วนสั่นเทาอย่างรุนแรงเพราะความเจ็บปวด แต่เขายังคงยืนตรงและผายอกที่ไม่ได้กว้างนัก
มีดบินยังปักอยู่กลางหัวใจเขา
แต่ระยะพลาดจุดสำคัญไปเล็กน้อย เกาเหรินจึงยังไม่ตาย ยังหายใจได้ พูดได้และถึงขั้นยังยิ้มได้
“ทำเช่นนี้เพื่ออะไร”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาอดถามไม่ได้
“นี่ต่างหากคือความคิดเดิมของท่าน กระหม่อมแค่ช่วยให้ท่านสมปรารถนาเท่านั้น ก็เหมือนที่กระหม่อมบอกท่านก่อนหน้านี้ว่าแค่อยากให้คนธรรมดาเหล่านั้นมีโอกาสเท่าเทียมกัน”
เขามองแท่งคำนวณบนพื้น ในแววตาเปล่งประกายแห่งความหวัง
คล้ายอยากหยิบพวกมันขึ้นมาแล้วเก็บให้เรียบร้อยอีกครั้ง
แต่ไม่นานเขาก็ทิ้งความคิดนั้นไป
เพราะถ้าก้มลงด้วยสภาพของเขาตอนนี้คงลุกไม่ขึ้นอีกเลย
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาอ้าปากเล็กน้อย แต่ไม่รู้ตนควรทำอย่างไร
เขาลังเลครู่หนึ่ง ถอนหายใจแล้วยกมือใช้พลังปราณดึงมีดบินที่ปักอยู่ตรงหัวใจเกาเหรินออกมา
เสียงดัง ‘ผลั่ก’
มีดบินตั้งตรง
เลือดข้นพุ่งทะลักมาถึงข้างเท้าเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา
แต่ในอากาศกลับไม่มีกลิ่นคาวเลือด ถูกลมพัดกระจายไปหมดแล้ว
คราบเลือดสดบนพื้นที่ยังไม่แห้งก็ปกคลุมด้วยดินทรายชั้นหนึ่ง หม่นมัวลงเป็นสีเหลืองเก่าๆ
“เจ้าพูดถูก ข้าไม่อยากฆ่าเจ้า…ถึงปามีดตามวิถีเดิมข้าก็ไม่อยาก”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
เขาล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาเช็ดเลือดเนื้อที่ติดบนมีดบินอย่างเอาใจใส่จนสะอาด จากนั้นโยนลงพื้นคลุมคราบเลือดแอ่งใหญ่นั้นไว้พอดี
เกาเหรินเริ่มไออีกครั้ง
เขาอยากพูดแต่ในคอเต็มไปด้วยลิ่มเลือด
จึงสำลักเพราะตัวเอง
“ยังมีเวลาอีกมาก ไม่ต้องรีบร้อน”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
ใช้พลังปราณยกแท่งคำนวณที่กระจายบนพื้นลอยขึ้นมาตรงหน้าเกาเหริน
เกาเหรินเก็บแท่งคำนวณแล้วโบกมือกล่าว
พูดจบร่างกายโซเซ คิดจะเดินจากไป
“เจ้าจะไปไหน”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“หาที่นอนสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
เกาเหรินพยายามยกมุมปาก อยากทำให้ตัวเองดูเหมือนยิ้ม
“เสียเลือดเกินไป เจ้าจะหลับไม่ตื่น”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“นั่นเป็นเรื่องดียิ่งสำหรับท่านไม่ใช่หรือ”
เกาเหรินกล่าว
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาขมวดคิ้ว ชัดว่าเขาไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเกาเหริน
“ท่านไม่อยากฆ่ากระหม่อม แต่ถ้ากระหม่อมหลับไม่ตื่น ชีวิตนี้ก็ไม่นับว่าตายเพราะท่าน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ท่านและกระหม่อมล้วนทำสำเร็จ”
เกาเหรินกล่าวอธิบาย
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเรื่องสำคัญเกี่ยวกับชีวิตเช่นนี้มีอะไรให้สำเร็จทั้งสองฝ่าย แต่เกาเหรินกล่าวเช่นนี้ เขายังคงพยักหน้า
“แต่…สหายร่วมทางของเจ้าล่ะ หรือว่าเจ้าจะทอดทิ้งเขา”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
เขาเพิ่งรู้สึกเคารพเกาเหรินเล็กน้อย แต่เห็นอีกฝ่ายยกเท้าเดินอย่างแน่วแน่ก็พลันรู้สึกคนผู้นี้เย็นชาเกินไปจนแทบไม่มีความเป็นคน
“ท่านหมายถึงจิ้งเหยา?”
เกาเหรินหยุดฝีเท้าย้อนถาม
เจิ่นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“เขาไม่ใช่สหายร่วมทางของกระหม่อม”
เกาเหรินกล่าว
“อย่างมากก็เหมือนท่านกับกระหม่อม ถือว่ามีประโยชน์ร่วมกันกระมัง…แต่ตอนนี้ไม่มีโอกาสแล้ว!”
เกาเหรินทิ้งช่วงครู่หนึ่ง เม้มปากและกล่าวต่อ
กลิ่นคาวเลือดในลำคอยังคงจู่โจมโพรงจมูกของเขา ทำให้เขาได้กลิ่นคาวตลอดเวลา
“ตกลงเบี้ยหวัดอยู่ที่ไหน”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งก็คือเบี้ยหวัดกองทัพชายแดนก้อนนั้น
เห็นเรื่องราวใกล้จบลงแล้ว สิ่งที่เขาห่วงที่สุดยังคงเป็นเรื่องนี้
“หากกระหม่อมพาท่านหาเบี้ยหวัดคืนมา ท่านจะปล่อยกระหม่อมไปหรือไม่”
เกาเหรินถาม
“ตอนเจ้าจะไปเมื่อครู่ ข้าไม่ได้รั้งไว้”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายิ้มกล่าวอย่างผ่อนคลาย
“แม้ข้าอยากกลายเป็นต้นไม้ แต่ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นตอนนี้ ตรงกันข้าม ข้าหวังให้เวลานั้นมาช้าเท่าไรยิ่งดี!”
เกาเหรินกล่าว
จากนั้นเดินไปทางชุมชนแออัดข้างโรงเตี๊ยมเถ้าแก่เนี้ย
เลือดสดขยายพื้นที่จากหน้าอกเขามาถึงขาและเท้า
เกาเหรินเดินอยู่ด้านหน้า ทุกก้าวล้วนประทับรอยเท้าสีเลือดที่มีบางส่วนขาดหายไปบนพื้น
ด้วยเกี่ยวเนื่องกับความสูง เขาฝีเท้าไม่เร็วและรอยเท้าเล็กนัก
เขาก็ไม่รู้ทำไมตนระมัดระวังเช่นนี้ แต่ในใจรู้สึกว่าเดินอยู่ข้างหน้าอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องดี
เดินไม่นานนักก็เห็นเงาคนจำนวนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้านโกโรโกโสจากไกลๆ
พวกเขาล้วนเป็นลูกน้องที่จิ้งเหยาพามาจากทุ่งหญ้า
คนเหล่านี้ไม่เคารพเกาเหรินแม้แต่น้อย ตอนจิ้งเหยาไม่อยู่ยิ่งไม่มีทางทำตามคำสั่งของเขา
พอเกาเหรินใกล้เข้ามาพวกเขาถึงเห็นว่าข้างหลังมีคนแปลกหน้าตามมาอีกคนหนึ่ง
เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทว่าอย่างไรก็คิดไม่ออก…แต่นั่นไม่ได้ทำให้พวกเขาทำท่าเหมือนเจอศัตรูน้อยลง ถึงอย่างไรในเหมืองแร่นี้ก็มีแค่จิ้งเหยาผู้นำหน่วยของตนที่วางใจได้เต็มที่ กระทั่งเกาเหรินยังอาจกลายเป็นศัตรูได้
เกาเหรินผิวปากใส่คนเป็นหัวหน้า
เพียงเห็นคนนั้นเพิ่งขมวดหัวคิ้ว มือขวาจับด้ามดาบขึงตามองเจิ้นเป่ยอ๋อง ตอนกำลังจะเอ่ยถามกลับถอยหลังโดยพลัน
กลุ่มคนที่ตามเสียงมาเห็นสภาพการณ์แล้วพากันชักดาบ แต่ไม่มีใครดึงดาบโค้งของตนออกจากฝักได้เลย
‘ตึงตึงตึง!’
ชั่วพริบตา ชาวทุ่งหญ้ารูปร่างกำยำสิบกว่าคนที่ผ่านศึกมานับร้อยพลันนอนเกลื่อนกลาดเต็มพื้น
บนตัวพวกเขาไม่มีรอยแผลใด สีหน้าก็ยังนับว่าสงบ
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาใช้จิตสัมผัสรอบหนึ่ง พบว่าพวกเขาไม่มีชีพจรเลยสักคน…
“เบี้ยหวัดอยู่ในบ้านโทรมๆ แห่งนี้…ทุกสิ่งที่ท่านเห็นล้วนหลอมขึ้นจากเงิน”
เกาเหรินยกมือชี้พลางกล่าว
สีหน้าพลันอ่อนล้าอย่างยิ่ง
คล้ายถูกดึงส่วนประกอบของชีวิตออกไปกว่าครึ่งในคราวเดียว
……………………………………….
ข้อความถึงนักอ่าน
@…………….
เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพของนักแปล ทางทีมงานจึงมีความจำเป็นต้องปรับลดการอัปเดต “ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา” เหลือวันละ 1 ตอน เพื่อรักษาคุณภาพการแปล โดยจะอัปเดตในเวลา 12:30 น. ของทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้
…………….