ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 509 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-16
บทที่ 509 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-16
…………….
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามองเข้าไปในบ้านแวบหนึ่ง
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสลัวแล้ว ในบ้านไม่ได้จุดตะเกียง มืดจนมองเห็นไม่ชัด
แต่ยังเห็นเค้าโครงโต๊ะเก้าอี้ข้าวของเครื่องใช้ได้รางๆ
บ้านโกโรโกโสที่พวกคนงานเหมืองแร่อาศัยอยู่คงไม่มีสิ่งของครบชุดเช่นนี้
แต่ฝีเท้าของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเหมือนถูกตอกไว้ที่เดิม เขาไม่เดินเข้าไปสักชุ่น
เขาลังเลอะไรอยู่
กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่รู้…
เพียงรู้สึกทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกะทันหันและประหลาดเล็กน้อย
ทั้งที่กำลังมีแนวโน้มในทางที่ดี แต่ยิ่งราบรื่นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากระวนกระวาย
เกาเหรินกุมหน้าอกนิ่งเงียบอยู่ด้านข้าง
เขารอเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเคลื่อนไหวอย่างอดทน ดูแล้วมีความจริงใจหลายส่วน
หนำซ้ำสภาพร่างกายเขาตอนนี้ยังอ่อนแอถึงขีดสุด เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาคิดว่าเขาไม่มีแรงก่อความวุ่นวายอีก
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาลังเลอยู่นาน สุดท้ายยังคงก้าวเข้าไปในบ้าน
เกาเหรินตามติดอยู่ข้างหลัง การกระทำนี้ทำให้เขาหยุดฝีเท้าครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้
แต่พอเกาเหรินเดินเข้าในบ้านก็สาวเท้าเดินนำเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามาข้างโต๊ะ ไม่รู้หยิบพับไฟจากไหนมาจุดตะเกียงบนโต๊ะ
ชัดว่าตะเกียงดวงนี้น้ำมันไม่พอ ไส้ตะเกียงก็สั้นจนน่าตกใจ
ว่าตามหลักไส้ตะเกียงสั้นเช่นนี้ไม่พอให้เกิดแสงไฟส่องสว่างได้เลย แต่มันกลับลุกไหม้
ประกายไฟเท่าเม็ดถั่วยังคงส่องแสงแยงตา นอกจากส่องทั้งบ้านให้สว่างแล้วยังไล่ผ่านหน้าต่างและประตูไปถึงข้างนอก
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายืนมือไพล่หลัง กวาดมองทุกสิ่งในบ้าน
ข้างหน้าเขามีเก้าอี้เตี้ยไร้พนักตัวหนึ่ง เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาฉวยหยิบด้วยมือซ้าย มือขวาปามีดบินอีกเล่ม เมื่อเสียดสีกัน บนคมมีดมีเส้นใยสีขาวเงินหลายกลุ่ม กำลังส่องประกายสว่างไสวภายใต้แสงตะเกียง
คราวนี้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายิ้มพอใจ รู้สึกว่าเกาเหรินเป็นคนเชื่อถือได้จริงๆ
“เอาเบี้ยหวัดมาหลอมเป็นของเหล่านี้ เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยปากชม
“ท่านคิดว่านี่เป็นความคิดของกระหม่อม?”
เกาเหรินย้อนถาม
เขานั่งลงข้างโต๊ะ ตอนนี้สีหน้าเขาแดงฝาดเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความซีดเผือดก่อนหน้านี้
“ไม่ใช่หรอกหรือ เจ้าอย่าบอกเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเด็ดขาดว่าความคิดยอดเยี่ยมเช่นนี้เป็นของชาวทุ่งหญ้าพวกนั้น!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ครั้งนี้คงทำให้ท่านอ๋องผิดหวังแล้ว…ความคิดที่ท่านเห็นว่ายอดเยี่ยม พวกเขาเป็นคนคิดเองจริง”
เกาเหรินกล่าว
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาฟังแล้วเงียบอยู่นาน
คิดว่าไม่ใช่แค่เขา ติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งก็อาจประเมินราชสำนักทุ่งหญ้าต่ำเกินไป
แม้ในใจตนและคนอื่นประเมินอีกฝ่ายไว้สูงตลอด แต่เรื่องเบี้ยหวัดครั้งนี้กลับทำลายความเข้าใจทั้งหมดก่อนหน้านี้จนสิ้นในช่วงเวลาสั้นๆ
“เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่ได้ผิดหวัง เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาแค่ขาดความมั่นใจเล็กน้อย”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายิ้มกล่าว
เพียงแต่เกาเหรินมองว่ายิ้มนี้ไม่ได้ผ่อนคลายขนาดนั้น กลับดูฝืนหลายส่วน
“ในเมื่อเงินอยู่ที่นี่ทั้งหมด เจ้าก็ไปได้แล้ว”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถอนหายใจแล้วกล่าวกับเกาเหริน
“ท่านดูแค่เก้าอี้ตัวเดียว ไม่กลัวว่าที่เหลือเป็นของปลอมหมดหรอกหรือ”
“ถึงข้าไม่ได้สายตาดีเพียงนั้น แต่รู้ว่าของในบ้านนี้เป็นเครื่องเงินทั้งหมด”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เกาเหรินลุกขึ้นกล่าวอย่างเบิกบาน
แต่เขาไม่ได้ไปทันที กลับหันหน้าหาโต๊ะ ค้อมตัวลงคิดจะเป่าแสงตะเกียงให้ดับ
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่ได้ห้ามเขาทำ แม้เป่าดับแล้วทั้งบ้านจะกลับมาสู่จุดที่ยื่นมือไม่เห็นห้านิ้วเช่นก่อนหน้านี้
เกาเหรินอยากคืนของในนี้ให้เขาอย่างครบถ้วน
แต่เกาเหรินเป็นคนจุดแสงตะเกียงนี้เอง
ดังนั้นก่อนไปเขาต้องเป่ามันให้ดับ มีแค่เช่นนี้ถึงจะนับว่าสมบูรณ์
แม้การกระทำนี้ไม่ค่อยสมเหตุสมผล แต่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายังเข้าใจได้
ลมหายใจเสียงดัง ‘ฟู่’
เกาเหรินเป่าตะเกียงดับแล้ว
แต่ในบ้านไม่ได้มืดลงทันที กลับสว่างขึ้นเหมือนแสงแรกของวันที่ห่อหุ้มด้วยหมอกยามเช้า เป็นสิ่งที่ทำให้คนยากคาดเดาได้
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง เรื่องมาถึงตอนนี้เขารู้แล้วว่าตนกลัวเกาเหรินลอบกัด ความกระวนกระวายของตนก่อนหน้านี้ได้รับการยืนยันแล้ว
แต่ไม่ว่าเป็นอันตรายแบบใด สิ่งที่ต้องมาก่อนคือรู้ตำแหน่งของตนชัดเจนและรับรองความปลอดภัยของตน
รอบด้านล้วนเป็นไอหมอก
ไม่หนามาก ไหลเคลื่อนอย่างเชื่องช้าเหมือนลมพัดเมฆ
แต่นี่ไม่ได้แปลว่าเขาเห็นตำแหน่งที่ตัวเองอยู่ชัดเจน
“หนึ่ง…สอง…สาม…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยานับก้าวของตน ตอนเขาหยุดเป็นระยะที่เดินไปข้างหน้าหนึ่งจั้งพอดี
แต่พื้นที่นี้เหมือนขยายออกไปไม่หยุด…บ้านหลังเล็กโกโรโกโสก่อนหน้านี้ไม่มีที่เหลือให้เดินวนสักจั้ง
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากำมีดบินในมือแน่น พลันก้มหน้าเห็นว่าใต้เท้าตนไม่ใช่หาดทรายโกบีในเหมืองแร่ แต่เป็นทางเดินที่ปูด้วยหินปูนชำรุดหลายต่อหลายแผ่น กว้างขวางนัก แต่ไม่รู้ทอดไปที่ใด
เดินไปเรื่อยๆ ไอหมอกบางลงเยอะแล้ว เริ่มเห็นฉากรอบด้านชัดขึ้นทีละน้อย
เขาพบว่าตัวเองอยู่ในเมืองโบราณที่กำลังลอยขึ้น
ไม่รู้เมืองอยู่ที่ไหน ชื่ออะไร และไม่รู้ตนมาถึงที่นี่ได้อย่างไร
ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังจากเกาเหรินเป่าแสงตะเกียงดับ เจิ้นเป่ยอ๋องคิดว่าตนทะลุเข้ามาในค่ายกลมายาที่เกาเหรินวางไว้ที่นี่แต่แรกแน่นอน
ฝั่งขวาของทางหินปูนผุพังเป็นแม่น้ำแห้งขอดแตกระแหงสายหนึ่ง
รอยแยกแต่ละสายเหมือนคนใกล้หิวตาย มันใช้กำลังเฮือกสุดท้ายอ้าปากอยากได้รับอาหารเล็กน้อยเพื่อให้ตนประคองชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกครึ่งชั่วยาม
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาจ้องรอยแยกเหล่านี้จนเหม่อลอยเล็กน้อย เหมือนข้างหลังพวกมันซ่อนปากขนาดยักษ์ที่ทำให้คนอกสั่นขวัญหายได้อยู่จริงๆ จากนั้นเขาก็เริ่มหงุดหงิด…
เหงื่อเย็นก่อนหน้านี้ถูกอุณหภูมิร่างกายอุ่นจนแห้งสบายแล้ว ตอนนี้กลับร้อนขึ้นมาอีก เขาออกแรงดึงคอเสื้อให้สาบเสื้อตรงหน้าอกเปิดช่องกว้างๆ เพียงแต่รอบด้านไม่มีลม จึงไม่มีความเย็นสบายแต่อย่างใด…การดึงคอเสื้อเช่นนี้กลับยิ่งทำให้เขารู้สึกร้อนอบอ้าวเกินทน…
แม้เมืองร้างนี้ชำรุดทรุดโทรม แต่กลับสะอาดเป็นระเบียบอย่างน่าประหลาด เหมือนมีคนปัดกวาดทุกวัน ไม่ว่าพื้นหรือบริเวณใดที่อยู่ในระยะสายตาล้วนไม่เห็นเศษฝุ่น
ที่นี่กาลเวลาไร้ความหมาย เส้นแสงยังคงอึมครึม และผ่านมานานเช่นนี้ก็ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใด
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเดินเลียบทางสายนี้ต่อไป เห็นกลางแม่น้ำฝั่งขวาเริ่มมีก้อนหินระเกะระกะ ทั้งใหญ่เล็กผ่านเหตุการณ์หนักหนามาไม่น้อย บนก้อนหินเต็มไปด้วยรูช่องมากมาย นี่เกิดได้จากลมและน้ำกัดเซาะสั่งสมเป็นเวลานานเท่านั้น
เจิ้นเป่ยอ๋องรู้สึกไม่สบายใจและกลัวรูช่องในก้อนหินเหล่านั้นเล็กน้อย…หากรอยแยกแตกระแหงกลางแม่น้ำก่อนหน้านั้นเหมือนปากขนาดยักษ์จำนวนมาก รูที่มีอยู่ทั่วก้อนหินเหล่านี้ก็เป็นดวงตานับไม่ถ้วน
ความไม่สบายใจและความหวั่นกลัวยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อเขาเข้าใกล้ก้อนหินเหล่านั้น ในที่สุดแสงสีเงินสายหนึ่งฉายวาบออกจากมือเขาอีกครั้ง
มีดบินพุ่งตรงไปทางก้อนหิน
ก้อนหินแตกออกเพราะการโจมตีจากมีดบิน
แต่เสียงหึ่งๆ หวี่ๆ ที่ดังตามมากลับทำให้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาขมวดคิ้ว
ครั้งนี้เขาไม่ได้หลับตาตอนมีดบินพ้นมือ
เขาจึงเห็นชัดเจนว่ามีแมลงตัวเล็กไม่ทราบชื่อทะลุออกมาจากรูก้อนหินเหล่านั้นจำนวนมาก
พวกมันหาที่กำบังใหม่อย่างสับสนวุ่นวายเหมือนตัวต่อแตกตื่น
ครึ่งหนึ่งมุดเข้าในก้อนหินที่เหลือ อีกครึ่งตกลงในรอยแยกแตกระแหงกลางแม่น้ำ ไม่เหลือร่องรอย…
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยารีบเดินผ่านก้อนหินแตกละเอียดเหล่านี้ เค้าโครงร้านรวงเริ่มปรากฏเป็นรูปในดวงตาเขาคร่าวๆ แล้ว
สถานที่นี้แปลกมากพอแล้ว แต่เขายังเห็นบ้านรูปทรงประหลาดและสิ่งก่อสร้างแปลกๆ ที่ไม่รู้ว่าคืออะไรอีกมากมาย
สุดท้ายมาถึงทางแยกของถนนที่เดินอยู่ ที่นี่มีรูปปั้นใหญ่โตตั้งตระหง่านอยู่รูปหนึ่ง
ทั้งรูปเป็นสีขาวทึบ มองไกลๆ เหมือนนมอัดก้อนที่ชาวทุ่งหญ้ากินอัดอยู่รวมกัน แต่เมื่อเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเข้าไปใกล้ถึงพบว่ารูปปั้นนี้ไม่ใช่ร่างนักปราชญ์หรือฉากงดงามอะไร แต่ใช้กระดูกของคนรวมเข้าด้วยกันทั้งหมด
เขาล้วงมีดบินออกมาเล่มหนึ่ง ถือมันออกแรงสลักบนฐานรูปปั้นเพื่อทิ้งสัญลักษณ์ไว้ ถึงอย่างไรอยู่ที่นี่ไอหมอกก็มีผลต่อระยะสายตา มองเห็นไม่ไกล…และไม่รู้จิตเขาเป็นอะไร ทุกครั้งที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาอยากใช้ก็จะรู้สึกเจ็บปวด
ไม่ใช่แค่ส่วนหัว แต่เริ่มจากกระดูกสันหลังขยายมาถึงหน้าอก
แต่ไม่ว่าเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาใช้กำลังเท่าไร เขาก็ไม่อาจใช้มีดบินของตนทิ้งรอยแม้เพียงเส้นบางๆ บนฐานรูปปั้นสีขาวนี้ได้เลย จึงได้เพียงล้มเลิก…เดินตรงไปตามทางแยกที่ปรากฏขึ้นมาใหม่
สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงผุพังจนทำให้คนสงสาร…แต่ยิ่งเก่าแก่จนทำให้คนอึดอัด เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเฝ้ารออยู่ตลอดว่าจะได้เห็นบางสิ่งที่ตนคุ้นเคยแล้วมาวิเคราะห์ว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่ เพราะถึงเป็นค่ายกลมายาก็ต้องวาดอิงจากความเป็นจริง ไม่มีทางโผล่ออกมาเฉยๆ ดังนั้นขอแค่รู้ชัดว่าที่นี่คือที่ไหนก็จะเห็นวิธีทะลวงออกไปได้ไม่ยาก
แต่เดินมานานแล้วเขาก็ยังไม่เห็นร่องรอยใดที่ตนคุ้นเคย…สองฝั่งทางเดินเริ่มปรากฏเป็นสิ่งก่อสร้างจำนวนหนึ่ง ทว่าบ้าน ศาลาและหน้าร้านริมถนนเหล่านี้กลับไม่มีประตูหน้าต่าง ด้านที่มุ่งหาเขาดูเหมือนแผ่นหินราบเรียบสะอาดหมดจด ส่วนชายคาบนหลังคา เสาเหลี่ยมและธรณีประตูยิ่งเหมือนรูปสลักนูน ไม่เหมือนสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยสิ้นเชิง…
แต่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาคิดอีกที รู้สึกว่าที่นี่อาจเป็นสภาพในเก้าบรรพตที่พวกอสูรอาศัยอยู่ แม้เขาไม่เคยไปที่ใดในเก้าบรรพต แต่เกาเหรินเป็นศิษย์คนโตของอดีตสุดยอดนักพรตอินหยางไท่ไป๋ เขาต้องเคยติดตามอาจารย์ท่องทั่วหล้าแล้วเป็นแน่
อีกอย่างเพราะคนระดับเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมบนเก้าบรรพต ดังนั้นเอามาวางเป็นค่ายกลมายาจึงยิ่งเป็นการคุกคามและอันตรายต่อชีวิตมากขึ้น
ยามนี้เส้นแสงเกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน
หมอกหนาในตอนแรกเริ่มกระจายออกอย่างช้าๆ รอบด้านปลอดโปร่งและแจ่มชัดขึ้นมา แต่ก็ยังมืดลงโดยไม่อาจหยุดยั้งราวกับถึงช่วงกลางคืน
เดินมาเรื่อยๆ เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็เหนื่อยเล็กน้อย เขาอยากหาที่พักสักครู่ ตนอยู่ในค่ายกลมายาแต่ซุนเต๋ออวี่ยังอยู่ข้างนอก เขาไม่ห่วงเรื่องความปลอดภัยของตนมากนัก บวกกับเดินมานานเช่นนี้ก็ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้บ้างแล้ว
ความร้อนรนและความไม่สบายใจก่อนหน้านี้กำลังไหลย้อนกลับทีละนิดเหมือนกระแสน้ำ
………………………………………
…………….