ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 510 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-17
บทที่ 510 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-17
…………….
เขาคือเจิ้นเป่ยอ๋อง นิสัยและความแน่วแน่ของเขาไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะมีได้ แต่เขายังคงหวาดกลัวบ้านเรือนไร้ประตูหน้าต่างริมทางเหล่านั้นเล็กน้อย…จึงอยากเดินต่อไปอีกหน่อย
ไม่นานก็ถึงทางแยกอีกแห่ง คราวนี้ตรงกลางทางแยกไม่มีรูปปั้น เดิมเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยานึกว่าค่ายกลมายานี้เป็นวังวนไม่รู้จบ เป้าหมายคือการถ่วงเวลา เมื่อเกาเหรินผู้เป็นเจ้าของค่ายกลมายาไปไกลแล้วย่อมสลายหายไป แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น…ที่นี่กว้างขวางกว่าที่เขาคิดไว้เยอะ
แต่คราวนี้เหมือนเขาเดินถึงสุดขอบค่ายกลมายาแล้ว เพราะเดินเลียบทางแยกใหม่นี้ยังไม่ถึงสิบจั้งก็เห็นกำแพงดินเตี้ยๆ หลายแห่ง
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาอดดีใจไม่ได้!
กำแพงดินเตี้ยๆ เหล่านี้เป็นสิ่งเดียวที่เขารู้สึกคุ้นเคยนับแต่ก้าวเข้าค่ายกลมายา
ดินโคลนผสมฟางข้าวผ่านการกวนและทุบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นก้อนดิน จากนั้นผ่านการตากแดดจนแข็งเหมือนเหล็ก ก่อขึ้นไปหลายๆ ชั้นก็เป็นบ้านเรือนที่พบเห็นได้ทั่วไปในหมู่บ้านพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือ กำแพงดินตรงหน้าสร้างด้วยวิธีเดียวกัน เขายื่นมือออกไปลูบหลายครั้งเพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้น
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเดินถึงตรงนี้แล้วคิดว่าตนต้องพักสักหน่อย
แม้เขาออกแค่มีดเดียวในการต่อสู้กับเกาเหริน แต่มีดนั้นกินแรงไม่น้อย ทั้งยังมาเดินไกลขนาดนี้อีก หากปรับไม่ทันสภาวะของเขาคงไม่ต่างจากเกาเหรินเท่าไร เรื่องไม่คาดคิดมักเกิดขึ้นได้ตอนยังไม่ออกจากค่ายกลมายานี้ ดังนั้นการประคองตนให้อยู่ในสภาวะที่ดีตลอดเวลาก็ยิ่งเป็นเรื่องสำคัญ
เขานั่งลงพิงกำแพงดินเตี้ย การมีที่พักพิงด้านหลังมักทำให้คนรู้สึกสงบ แม้ไม่ได้นอนหลับ แต่การพักผ่อนชั่วครู่ก็เพียงพอให้เขาฟื้นฟูกำลังกายและใจได้เล็กน้อย
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาผ่อนลมหายใจยาวเหยียด นึกขึ้นได้เมื่อครู่เหมือนตนลืมดูว่าข้างหลังกำแพงดินคืออะไร เขาหันขวับแล้วพบว่าตรงนี้เป็นจุดสิ้นสุดของเมืองในค่ายกลมายาแห่งนี้จริงๆ มองไกลออกไปก็เป็นพื้นที่รกร้าง
ใต้กำแพงดินเตี้ยเป็นแนวผาตัดต่ำๆ เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเห็นศาลเจ้าแห่งหนึ่งผ่านช่องผาตัด มีครบทั้งแท่นบูชา เสาหินและเวิ้งในผนังแบบโบราณ แต่มันใหญ่โตจนน่าตกใจ ทั้งยังเป็นสีกระดูกขาวทึบล้วน
เขาพลันนึกถึงรูปปั้นที่เห็นก่อนหน้านั้น จึงเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าศาลเจ้าแห่งนี้สร้างจากกระดูกขาวเหมือนกันใช่หรือไม่ ว่ากันตามหลักแล้วสี่ด้านของศาลเจ้าล้วนมีภาพวาดฝาผนังเล่าเรื่องเทพเซียนที่บูชาในนั้นสำแดงเดชช่วยคน แต่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่เห็นอะไรเลย
ทว่าประตูศาลเจ้ากลับมีก้อนหินจำนวนมากถูกจัดเรียงเป็นเครื่องหมายประหลาด ส่วนก้อนหินเหล่านั้นจะเหมือนกับก้อนหินที่เต็มไปด้วยรูในแม่น้ำแตกระแหงนั้นหรือไม่เขาไม่รู้…ระยะไกลเกินไป ไม่ใช่จุดที่สายตามองเห็นแล้ว
เส้นแสงมืดลงกว่าเดิม เคล้าความสงบเงียบเล็กน้อยราวแสงจันทร์สลัว
ศาลเจ้าเลือนรางเล็กน้อยเมื่ออยู่ภายใต้เส้นแสงที่เกียจคร้านเช่นนั้น แต่เครื่องหมายประหลาดด้านหน้าที่สร้างจากก้อนหินเหล่านั้นกลับเปล่งแสงรางๆ
สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยเส้นแสงนี้ยังมีกำแพงดินข้างหลังเจิ้นเป่ยอ๋อง คล้ายกลายเป็นกลุ่มเมฆหนาฉับพลันกำลังยกสูงขึ้นอย่างช้าๆ ไม่ถึงครู่ก็บดบังสายตาเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา
อากาศที่เคยนิ่งพลันมีลมอ่อนไร้ที่มา โชคดีที่นี่สะอาดเป็นระเบียบทุกหนแห่งอย่างประหลาด ลมพัดมาแล้วไม่มีฝุ่นฟุ้งกระจาย แต่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากลับพบว่าลมหอบนี้พัดมาจากช่องว่างตรงผาตัดอย่างคาดไม่ถึง
การค้นพบใหม่ปลุกให้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามีกำลังวังชาโดยพลัน เขายอบกายกระโดดลงตามช่องว่างและเดินไปยังศาลเจ้าทางตะวันตกเฉียงใต้เพื่อดูให้ชัด
เมื่อเข้าไปใกล้ถึงพบว่ามันดูยิ่งใหญ่กว่ามองจากไกลๆ เล็กน้อย ทั้งยังมีประตูบานคู่โอ่อ่าเป็นทางเข้า กว้างใหญ่กว่าประตูวังเจิ้นเป่ยอ๋องของเขาเสียอีก มองออกไปในใต้หล้า นอกจากประตูเมืองหลวงคงยากหาสิ่งใดมาเทียบเคียง
เมื่อเดินเข้าศาลเจ้า เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเห็นบนผนังและเพดานมีร่องรอยภาพวาดฝีแปรงยุ่งเหยิงขีดเขียนหวัดๆ แต่มีรายละเอียดชัดเจนอยู่มากมาย
การเขียนหวัดกับความยุ่งเหยิงเป็นคำที่อยู่ตรงข้ามกัน ไม่น่าเกิดขึ้นพร้อมกันได้ แต่ภาพแรกที่เจิ้นเป่ยอ๋องรับรู้จากร่องรอยเหล่านี้ก็เป็นเช่นนั้น นอกจากนั้นแล้วในหัวเขาก็ไม่รู้จะเอาคำใดมาบรรยาย
ร่องรอยเหล่านี้อยู่บนคานในศาลเจ้าทั้งหมด ส่วนนอกของคานใหญ่คงทนแต่ละชิ้นเหมือนห่อของบางอย่างไว้ด้วย และร่องรอยเหล่านี้ก็วาดอยู่บนสิ่งที่ห่อหุ้ม ไม่รู้เกี่ยวกับเวลาผ่านมานานเกินไปหรือไม่ สิ่งห่อหุ้มเหล่านี้ลอกออกไปเยอะแล้วจึงทำให้ร่องรอยที่ควรสมบูรณ์ขาดแหว่งไป
ทันใดนั้นมีเสียงดนตรีเศร้าโศกทอดมาจากส่วนลึกของศาลเจ้า ฟังแวบแรกเหมือนเสียงร้องเพลงของหญิงงามเศร้าระทม แต่พอแยกชัดแล้วก็รู้สึกไม่เหมือน แต่เสียงดนตรีก็ยังมีมนต์สะกดเหลือล้นดึงเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเดินเข้าไปเรื่อยๆ
ส่วนลึกของศาลเจ้ามีภูเขากระดูกที่กองขึ้นจากโครงกระดูกทั้งหมดตั้งสูงตระหง่าน บนยอดถึงขั้นแทงทะลุหลังคาศาลเจ้า
บริเวณกึ่งกลางภูเขามีกำแพงล้อมทรงสามเหลี่ยมที่สร้างจากกะโหลกมนุษย์ทั้งหมด ใจกลางกำแพงวางโลงศพขนาดใหญ่ไว้ใบหนึ่ง ในช่องฝาครอบกับตัวโลงมีฟองผสมเลือดสดไหลออกมาข้างนอกไม่ขาดสาย
ฟองที่ไหลออกมาเหล่านั้นถูกเบาะกลมที่วางอยู่เบื้องล่างดูดซับไว้อย่างต่อเนื่อง และบนเบาะกลมมีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง
สวมชุดดำตัวใหญ่ หมวกกันลมปิดบังใบหน้า ในมือถือขลุ่ยสีขาวทึบเลาหนึ่งเป่าบรรเลง เสียงดนตรีนั้นก็คือเสียงขลุ่ยของคนผู้นี้
เขาเห็นเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาค่อยๆ เดินเข้ามา เสียงขลุ่ยพลันหยุดลง จากนั้นลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า เจิ้นเป่ยอ๋องเห็นเบาะกลมที่คนผู้นี้นั่งปักลายโครงกระดูกไร้เลือดเนื้อครบสรีระ สีขาวล้วนทั้งหมด สามหน้าสี่แขน ใบหน้าสามกะโหลกแบ่งมองซ้าย หน้าและขวาสามทิศทาง สี่แขนขวาสูงซ้ายต่ำ สองมือขวายกไม้กลองขนาดใหญ่เตรียมตีลงไปทุกเมื่อ สองมือซ้ายถือภาชนะใส่สุราที่ทำจากกะโหลกขนาดยักษ์ ด้านในเต็มไปด้วยเลือดสด
เมื่อคนผู้นี้ลุกขึ้น กะโหลกและกระดูกสะโพกสามหน้าสี่แขนบนเบาะกลมนั้นเริ่มสั่นไหว สองขาก็เหยียดในท่าประหลาดคล้ายกำลังเต้นรำ
“เจิ้นเป่ยอ๋อง ซ่างกวนซวี่เหยา?”
เหยียนจื่อถาม
เสียงเปี่ยมชีวิตชีวาคล้ายไม่มีอยู่จริงพรั่งพรูออกมาทั่วทิศ…
“เกาเหริน ทำไมต้องเล่นละครเช่นนี้”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“กระหม่อมไม่ใช่เกาเหริน”
เหยียนจื่อส่ายหน้ากล่าว
เขาเดินลงมาจากกลางภูเขาทีละก้าวและยืนอยู่ตรงหน้าเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา
เจิ้นเป่ยอ๋องทำหน้าฉงน ที่นี่คือค่ายกลมายาที่เกาเหรินจัดวางไว้ หากคนผู้นี้ไม่ใช่เกาเหรินแล้วจะเป็นใคร
“กระหม่อมชื่อเหยียนจื่อ ชื่อจำไม่ยาก”
เหยียนจื่อกล่าว
เขาเก็บขลุ่ยกระดูก ประสานมือคำนับเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเป็นการทักทาย
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเห็นมือเขาผอมแห้ง ผิวหนังย่นหุ้มกระดูกเหมือนไม่มีเลือดเนื้อสักนิด
“ที่นี่คือที่ใดกันแน่”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
“ที่นี่คือบ้านของกระหม่อม”
เหยียนจื่อยิ้มกล่าว
ใบหน้าไร้เลือดเนื้อยิ้มแล้วดูน่าชังกว่าร้องไห้เสียอีก
“บ้านของเจ้า? ที่นี่ไม่ใช่ค่ายกลมายาที่เกาเหรินวางไว้หรอกหรือ”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
“เกาเหรินให้ท่านเข้ามาอย่างไรกระหม่อมไม่ทราบชัด…แต่ที่นี่คือบ้านของกระหม่อมจริง กระหม่อมสร้างต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นเองกับมือ แม้ที่นี่ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า แต่กระหม่อมเป็นคนสร้างทุกสิ่งที่ท่านเห็น และกระหม่อมก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ มันย่อมเป็นบ้านของกระหม่อม”
เหยียนจื่อกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้ารู้ว่าข้าคือเจิ้นเป่ยอ๋อง แต่ข้ายังไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามองภูเขากระดูกข้างหลังเหยียนจื่อแวบหนึ่งและกล่าว
“กระหม่อมบอกแล้วว่าชื่อเหยียนจื่อ หากท่านถามว่ากระหม่อมเกี่ยวข้องอันใด เช่นนั้นต้องขออภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยังไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น”
เหยียนจื่อกล่าว
“เจ้าเป็นอะไรกับเกาเหริน”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถามต่อ
“กระหม่อมไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ข้อแลกเปลี่ยนสำเร็จแล้ว!”
เหยียนจื่อกล่าว
“หรือว่าเนื้อในของข้อแลกเปลี่ยนก็คือข้า”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถามพลางชี้ปลายจมูกของตน
“เป็นท่านจริงพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนจื่อพยักหน้า
“ข้าไม่รู้จักเจ้าและไม่รู้ว่าเจ้าทำอะไร แต่ในเมื่อเจ้ายินดีให้ข้ามา ‘บ้าน’ ของเจ้า ทั้งยังพูดคุยกับข้าอย่างสุภาพ คิดว่าข้าต้องมีประโยชน์อยู่บ้าง ไม่ถึงขั้นต้องรีบเอาใส่โลง”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“แม้ข้าออกจากบ้านน้อยนัก แต่ก็ได้ยินข่าวลือมาบ้าง ว่ากันว่าเจิ้นเป่ยอ๋องชอบทำตัวตามสะดวก ตอนนี้ได้พบแล้วถึงรู้ว่าข่าวลือนั้นจริง”
เหยียนจื่อกล่าว
เขาพินิจพิเคราะห์เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาอย่างพึงใจ เหมือนชมงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ตนสะสมไว้
“สายตาของเจ้าทำข้าอึดอัดนัก…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
ถอยหลังสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ…อาจเพราะบ้านกระหม่อมไม่เคยมีคนนอกเข้ามา กระหม่อมเลยไม่ชินนัก”
เหยียนจื่อกล่าวพลางค้อมตัวเล็กน้อย
“เกาเหรินก็ไม่เคยมา?”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
“เขาก็ไม่เคยมา…กระหม่อมเคยเจอเขาช่วงสั้นๆ ในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องกับเขตชายแดนราชสำนักทุ่งหญ้าเท่านั้น”
เหยียนจื่อกล่าว
“เอาเถอะ เอาเป็นว่าไม่เกี่ยวกับเกาเหริน ตกลงเจ้ารีบร้อนอยากพบข้าด้วยเรื่องอะไร”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
“กระหม่อมอยากทำข้อแลกเปลี่ยนกับท่านพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนจื่อโน้มน้าว
ผายมือขวาทำท่าเชิญและเดินนำเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไปข้างหน้า
ส่วนฐานของภูเขากระดูกพลันเปิดประตูบานหนึ่ง ข้างในมีแสงตะเกียงอบอุ่นส่องสว่าง
เพียงแต่ตอนนี้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยารู้สึกไม่ชอบแสงตะเกียงเล็กน้อย…เขาคิดว่าพอตนกลับถึงวังเจิ้นเป่ยอ๋องคงไม่ให้ในวังมีแสงตะเกียงไปอีกนาน
เทียบกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกะทันหันของสตรี บุรุษมักมีเหตุผลมากกว่า ดังนั้นความชอบความชังเหล่านี้ล้วนมีที่มาเสมอ เกาเหรินใช้แสงตะเกียงที่เป่าดับดึงเขามาสถานที่แปลกประหลาด…
แม้จนถึงตอนนี้เจิ้นเป่นอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายังยึดมั่นในความคิดที่ว่าที่นี่คือค่ายกลมายา แม้เขาไม่อาจอธิบายการมีตัวตนของเหยียนจื่อ แต่เขาไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลว่าที่นี่คือบ้านอะไรนั่น…
นอกจากแสงตะเกียงยังมีลมและแสงจันทร์
ตอนนี้ทั้งสามสิ่งล้วนทำให้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาระอา…
เขาคิดไว้แล้วว่าพอกลับไปจะสร้างห้องหนึ่งขึ้นมาโดยเฉพาะ
หน้าต่างห้องต้องแข็งแกร่งแน่นหนา ห้ามมีลมเข้ามาแม้แต่น้อย นอกจากนั้นยังต้องให้คนใช้ผ้าดำทึบแสงคลุมหน้าต่างไว้ตอนอาทิตย์ยามเย็นใกล้ลาลับ เช่นนี้แม้เป็นจันทร์เพ็ญในคืนวันไหว้พระจันทร์ก็จะไม่มีแสงจันทร์เล็ดลอดเข้าในห้องแม้เพียงนิด
แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ในห้องก็จะมืดมิด โชคดีที่ตอนนั้นคงไม่มีอะไรมาควบคุมจิตเขาแล้ว ดังนั้นจึงใช้ชีวิตยามกลางคืนเหมือนคนตาบอดโดยอาศัยจิตของตนได้
แต่เรื่องตรงหน้าต้องจัดการทันที ลองฟังก่อนว่าคนที่เรียกตัวเองว่า ‘เหยียนจื่อ’ ผู้นี้อยากทำข้อแลกเปลี่ยนอะไรกับเขา
……………………………………
…………….