ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 511 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-18
บทที่ 511 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-18
……….
ประตูนั้นแคบเล็กน้อย เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถึงขั้นต้องเอียงตัวถึงจะผ่านไปได้ สิ่งที่เชื่อมกับประตูคือระเบียงทางเดินสั้นๆ สุดทางมีห้องโถงทรงกลมที่ไม่ค่อยกว้างนัก
เขาคิดไม่ตกเล็กน้อยว่าเหตุใดศาลเจ้าข้างนอกใหญ่โตขนาดนั้น แต่ทุกสิ่งในภูเขากระดูกกลับเล็กกะทัดรัดจนน่าสงสาร แต่ที่แปลกสุดคือเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่เห็นบริเวณใดในห้องโถงจุดตะเกียง ทว่าแสงสีเหลืองอบอุ่นยังคงเติมเต็มพื้นที่ให้ทุกสิ่งในนี้ดูมีอายุเก่าแก่ ไม่เว้นแม้แต่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา เหมือนตนแก่ขึ้นสิบปีในพริบตา
ตรงกลางห้องโถงมีโต๊ะแปดเซียนตัวหนึ่งกินพื้นที่ไปเกือบครึ่ง แต่ข้างโต๊ะขนาดใหญ่กลับวางเก้าอี้ไว้แค่สองตัว ล้วนทำจากไม้จินซือหนาน[1]ชั้นดี ข้างนอกทาน้ำมันชักเงาไว้ชั้นหนึ่ง
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเกรงใจเหยียนจื่อเล็กน้อย นั่งลงตามตำแหน่งแขกและเจ้าบ้าน
“ได้ยินว่าท่านไม่ชอบดื่มสุรา กระหม่อมเลยเตรียมมาแค่ชา”
เหยียนจื่อกล่าว
“ไม่ขนาดนั้น หากเจ้าอยากดื่มสุรา ข้าก็ดื่มได้นิดหน่อย เพียงแต่คอไม่ค่อยแข็งเท่านั้น”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“กระหม่อมดื่มอะไรก็ได้”
เหยียนจื่อกล่าว
มือเริ่มชงชาอย่างคล่องแคล่ว
“ดูก็รู้ว่าเจ้าดื่มชาบ่อยครั้ง”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“เวลาส่วนใหญ่ก็อยู่เบื่อๆ ไม่สู้หาอะไรทำสักหน่อย การชงชาเป็นกิจกรรมฆ่าเวลาทีเดียว กระหม่อมจึงเลือกทำมันพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนจื่อกล่าว
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามองจอกชาที่เขายื่นมา สองมือรับแล้วจิบคำหนึ่งเบาๆ รสชาติดีทีเดียว! ดูไม่ออกเลยว่าเหยียนจื่อมีฝีมือเช่นนี้ด้วย…
“ก่อนเข้าเรื่องข้อแลกเปลี่ยนที่เจ้าว่าข้ามีหลายเรื่องอยากยืนยันสักหน่อย”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถือจอกชากล่าว
“เชิญพูดพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่นี่คือที่ใดกันแน่ เมืองร้างประหลาดที่ข้าเดินมาก่อนหน้านั้นคืออะไร ศาลเจ้านี้บูชาใคร ทำไมถึงมีภูเขากระดูกมหึมาเช่นนี้ แล้วโลงศพที่ปล่อยฟองเลือดไม่หยุดกับเบาะกลมใต้ร่างเจ้าคือสิ่งใด”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
“นี่หาใช่สิ่งที่เข้าใจได้ในสองสามประโยค…หากท่านไม่รีบ กระหม่อมอธิบายให้ท่านเข้าใจได้พ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนจื่อกล่าว
“แล้วข้อแลกเปลี่ยนที่เจ้าว่าเกี่ยวกับเกาเหรินหรือไม่ คุยสำเร็จจะเป็นอย่างไร คุยไม่สำเร็จจะเป็นเช่นไร”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถามต่อโดยไม่สนใจคำพูดของเหยียนจื่อ
“คำถามนี้ตอบง่ายทีเดียว กระหม่อมบอกท่านได้ทันที”
เหยียนจื่อดื่มชาคำหนึ่งแล้วกล่าวเชื่องช้า
“ข้อแลกเปลี่ยนที่กระหม่อมอยากคุยกับท่านไม่เกี่ยวกับเกาเหรินแม้แต่น้อย เขาเป็นแค่คนกลางที่สร้างโอกาสให้พวกเราเจอกันครั้งนี้ แต่กระหม่อมดูออกว่าเหมือนเขาจะใช้วิธีหยาบคายหรือพูดหลอกล่อให้ท่านมาที่นี่ เพราะกระหม่อมสัมผัสความขุ่นเคืองเบาๆ ได้จากคำพูดและสีหน้าของท่าน”
เหยียนจื่อกล่าว
“ข้าถูกหลอกจริงๆ…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าวพลางยิ้มเจื่อน
“ส่วนที่เขาผิดกระหม่อมต้องขออภัยจากใจจริงพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างกระหม่อมไม่อยากให้ความไม่สบายใจเหล่านี้ส่งผลถึงข้อแลกเปลี่ยนที่เราจะคุยกันในภายหลัง”
เหยียนจื่อกล่าว
“ไม่ส่งผลแน่นอน ข้ารับรองด้วยชื่อของเจิ้นเป่ยอ๋อง”
ตอนนี้เขาสนใจเหยียนจื่อหลายส่วนทีเดียว
คนผู้นี้ดูสุภาพเรียบร้อย แต่ที่จริงกลับระมัดระวังยิ่ง
หากเขาไม่ได้โกหก ก็คงเป็นเพราะเจอผู้คนน้อยเกินไป พอต้องพูดมากต่อหน้าคนแปลกหน้ากะทันหันเลยทำให้เหยียนจื่อหวั่นเกรงเล็กน้อย
คนเรามีแค่ตอนทำเรื่องไม่ถนัดหรือพูดสิ่งที่ไม่เชี่ยวชาญเท่านั้นถึงจะเป็นเหมือนเขา ทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำล้วนต้องใคร่ครวญก่อนครู่หนึ่ง แม้นี่เป็นนิสัยที่ดี แต่มักทำให้คนรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ดีพ่ะย่ะค่ะ…”
เหยียนจื่อกล่าวพลางผ่อนลมหายใจหนักหน่วง
ดูออกว่าเขาใส่ใจเรื่องนี้มาก ตอนนี้ได้การรับรองจากเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาแล้วจึงวางใจได้เต็มที่
“ส่วนคำถามก่อนหน้านี้ของท่าน กระหม่อมเคยตอบรอบหนึ่งแล้ว…แต่ในเมื่อท่านถาม กระหม่อมก็จะพูดอีกครั้ง เมืองร้างที่ท่านผ่านมาก่อนหน้านั้นรวมถึงศาลเจ้านี้กระหม่อมเป็นคนสร้างทั้งหมด อ้อ…ศาลเจ้ามีอยู่ก่อนแล้ว พูดให้ถูกคือกระหม่อมแค่ปรับปรุงใหม่ ส่วนโลงศพกับเบาะกลม กระหม่อมบอกท่านไม่ได้…ทุกคนล้วนมีความลับของตนไม่ใช่หรือ”
เหยียนจื่อกล่าว
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาพยักหน้า
ฟังเรื่องเหลวไหลมาเยอะขนาดนี้ตนยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนตรงหน้าเลย
“ส่วนกระหม่อมเป็นนายแห่งไพรซากศพคนปัจจุบันพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนจื่อดื่มชา ชี้ตัวเองพลางกล่าว
“นายแห่งไพรซากศพ? คือสิ่งใด…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน
“ท่านคิดเสียว่าเป็นการสืบทอดที่โบราณและลึกลับยิ่งก็แล้วกัน กระหม่อมคิดว่าท่านต้องเคยได้ยิน ‘พลานุภาพ’ กระมัง”
เหยียนจื่อถาม
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ก่อนหน้านี้ไม่นาน ‘พลานุภาพ’ เจอผู้สืบทอดคนใหม่ไม่ไกลจากหอทรงปัญญา เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร และ ‘นายแห่งไพรซากศพ’ ที่กระหม่อมว่าคือการสืบทอดที่เก่าแก่ยิ่งกว่า ‘พลานุภาพ’ พ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนจื่อพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง
วิธีอธิบายสิ่งหนึ่งได้ดีที่สุดก็คือการยกสิ่งที่อีกฝ่ายรู้อยู่แล้วมาเป็นตัวอย่าง
“ตอนนี้เราคุยเรื่องข้อแลกเปลี่ยนได้หรือยังพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนจื่อเอียงศีรษะถามเสียงเบา
เขาเห็นเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่จึงระมัดระวังเป็นเท่าตัว
“เจ้าต้องการอะไร”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
“กระหม่อมต้องการคนพ่ะย่ะค่ะ คนเป็นๆ ชายหรือหญิงก็ได้ แต่ต้องแข็งแรงมีกำลัง”
เหยียนจื่อกล่าว
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาพลันหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่…ไม่นึกเลยว่าข้อแลกเปลี่ยนที่เหยียนจื่อว่าจะฟังดูเหมือนการเล่นของเด็กเช่นนี้
“เจ้าต้องการกี่คน”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยารู้สึกว่าตนหัวเราะไม่เกรงใจเช่นนี้เสียมารยาทไปหน่อย เก็บอารมณ์แล้วเอ่ยถาม
“มีเท่าไรกระหม่อมก็เอาเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรู้ว่าในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องมีคุกเยอะมาก คงมีนักโทษประหารกำยำล่ำสันไม่ใช่น้อย”
เหยียนจื่อกล่าว
“เจ้าจะเอาคนเยอะขนาดนี้มาทำอะไร”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถามด้วยความแปลกใจ
“ในเมื่อพวกเขาเป็นนักโทษประหารอยู่แล้ว จะไปสนใจทำไมอีก”
“ในเมื่อเจ้าบอกเป็นข้อแลกเปลี่ยน แล้วข้าจะได้อะไร”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
“กระหม่อมไม่รู้ว่าท่านขาดสิ่งใด แก่นของการแลกเปลี่ยนก็คือการแลกสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มี”
เหยียนจื่อกล่าว
“ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าขาดสิ่งใด…ดูท่าข้อแลกเปลี่ยนระหว่างเราคงไม่สำเร็จแล้ว”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายักไหล่กล่าว
“ลองคิดให้ถ้วนถี่ ต้องมีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนจื่อกล่าว
น้ำเสียงร้อนรน
“นี่ต้องใช้เวลา หากข้านึกออกแล้วค่อยติดต่อเจ้า”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
เหยียนจื่อขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง หยิบป้ายคำสั่งทำจากกระดูกขาววางไว้ข้างจอกชาของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาแล้วกล่าว
“ถ้าอยากพบกระหม่อม แค่กรีดนิ้วมือหยดเลือดบนแผ่นป้ายคำสั่งแล้วเดินเลียบทางที่ท่านเดินผ่านเมื่อครู่ก็มาพบกระหม่อมได้ที่นี่”
เหยียนจื่อกล่าว
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาหยิบป้ายคำสั่งกระดูกขาวแผ่นนี้มาลูบคลึงในมือ มันไม่มีความอุ่น แต่ก็ไม่ถือว่าเย็น แม้ทำจากกระดูกขาว แต่ถืออยู่ในมือแล้วให้ความรู้สึกเรียบลื่นเหมือนหยก
“มีวิธีที่ไม่ต้องเสียเลือดหรือไม่ กรีดนิ้วเจ็บเกินไป…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
เหยียนจื่อนิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใด จึงได้แต่เก็บป้ายคำสั่งแผ่นนี้ จากนั้นยกจอกชาเตรียมดื่มอีกคำแล้วจากไป
“ออกไปก็ต้องยุ่งยากแบบนั้นหรือ”
“ไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะ ตอนท่านอยากไปกระหม่อมสามารถส่งท่านออกไปได้เลย เข้ามาจากตรงไหนก็ออกไปตรงนั้น”
เหยียนจื่อกล่าว
“ข้าชอบแสงตะเกียงที่นี่ของเจ้า”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาลุกขึ้นกล่าว
เหยียนจื่อยิ้มเล็กน้อย บ้านตนได้รับคำชมจากคนอื่นเป็นเรื่องน่ายินดีเสมอ
เขาเห็นเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วจึงดีดนิ้วทีหนึ่ง หลังผ่านความคลุมเครือชั่วขณะก็กลับมาในบ้านโกโรโกโสที่เกาเหรินเป่าแสงตะเกียงดับก่อนหน้านั้น เพียงแต่ตอนนี้ในบ้านว่างเปล่าไม่เหลือสิ่งใด เกาเหรินคงขนของใช้ที่หลอมจากเงินเหล่านั้นไปตั้งนานแล้ว
“ท่านอ๋อง?!”
คนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังร้องตะโกน
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาหันไปมอง เป็นซุนเต๋ออวี่พร้อมเยว่ตี๋ยืนอยู่ข้างกาย
“ทำไมพวกเจ้าไม่สู้กันแล้ว”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าวหยอกเย้า
“ผู้กำกับการกรมสอบสวนกลางถวายบังคมเจิ้นเป่ยอ๋องเพคะ”
เยว่ตี๋กล่าวทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“คนกันเองทั้งนั้น ไม่ต้องเกรงใจ…เมื่อครู่ก็มีคนพิลึกพูดจาแปลกๆ กับข้าเป็นกอง ทำเอาตอนนี้ข้ายังปวดหัวอยู่เล็กน้อย…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
มือขวากำหมัดออกแรงทุบท้ายทอย
“เมื่อครู่ท่านอ๋องไปไหนมาพ่ะย่ะค่ะ ทำไมระหว่างนั้นขาดการติดต่อ!”
ซุนเต๋ออวี่ถามด้วยสีหน้ากังวล
“ข้ายังยืนอยู่ตรงนี้ก็แปลว่าไม่เป็นอะไร เรื่องด่วนตรงหน้าควรหาเกาเหรินให้เจอไม่ใช่หรือ”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเดินมาข้างกายซุนเต๋ออวี่และตบไหล่เขาพลางกล่าว
เสียงกีบม้าเร่งร้อนทอดมาจากเขตชุมชนแออัดอย่างรวดเร็ว เยว่ตี๋ได้ยินคนในนั้นคุยกันแว่วๆ เป็นหลิวรุ่ยอิ่งกับหวาหนง นางจึงรีบเดินไปร้องเรียกหน้าประตู หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเสียงตะโกนท่ามกลางสายลมแล้วควบม้ากลับมาทันที
“ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเยว่ตี๋แล้วถามด้วยความแปลกใจ
“มาพบเจิ้นเป่ยอ๋องก่อน!”
เยว่ตี๋เดินนำเขาเข้าในบ้าน
กลิ่นสุราหึ่งจากตัวหลิวรุ่ยอิ่งทำให้นางขมวดคิ้ว
หลิวรุ่ยอิ่งดื่มจนเมาโดยไม่มีสาเหตุในจวนนายท่านจินแล้วหวาหนงพยุงเข้าไปล้มตัวนอนที่ห้องข้าง จนมาตื่นเพราะกระหายน้ำหลังผ่านไปสองชั่วยามถึงฟื้นสติกลับมา
พอมองสีท้องฟ้าก็แอบไม่สบายใจเล็กน้อยจึงรีบควบม้ากลับมากับหวาหนงโดยไม่ได้บอกลานายท่านจินกับเสี่ยวจีหลิงด้วยตัวเอง แต่เขายังทิ้งข้อความไว้ให้นายท่านจินในห้องเพื่ออธิบาย
คิดว่าตอนฟ้าสางวันนี้นายท่านจินกับเสี่ยวจีหลิงและคนอื่นคงย้อนมาโรงเตี๊ยมเถ้าแก่เนี้ย
“หลิวรุ่ยอิ่งนายกองกรมสอบสวนกลางถวายบังคับเจิ้นเป่ยอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
ในความมืดหลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้มองหน้าให้ชัด แต่เยว่ตี๋บอกเช่นนั้นเขาก็ลงไปคำนับอย่างงงงวย
“ได้ยินว่าตอนอยู่อาณาจักรติ้งซีอ๋องเจ้าทำสุนัขเฒ่าฮั่วนั่นเสียหน้า…ข้ารับการคำนับนี้ไม่ได้!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเบี่ยงกายกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งอึดอัดไม่น้อย…ไม่รู้ควรพูดอะไร ในใจย้อนคิดอย่างละเอียดแล้วรู้สึกตอนอยู่อาณาจักรติ้งซีอ๋องตนก็ยังนับว่าปกติ ไม่ได้มีตอนไหนปะทะกับติ้งซีอ๋องฮั่ววั่ง
“แต่นายกองหลิวของเราโด่งดังโดยแท้…เพิ่งออกมาแค่วันกว่าๆ ก็มีคนเอ่ยชื่อถามหาเขาสองคนแล้ว!”
เยว่ตี๋ยืนอยู่ด้านข้าง กอดกระบี่ยาวยิ้มกล่าว
“ใครถามหาข้าหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“คนหนึ่งคือจิ้งเหยา ผู้นำหน่วยแห่งราชสำนักทุ่งหญ้าที่ปล้นเบี้ยหวัด ส่วนอีกคน…เป็นแม่นางงามล้ำคนหนึ่ง!”
เยว่ตี๋กล่าว
………………………………………
[1] ไม้จินซือหนาน ไม้ลวดลายเหมือนดิ้นทอง
โหมดอ่านต่อเนื่อง