ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 512 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-19
บทที่ 512 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-19
……….
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินคำว่า ‘จิ้งเหยา’ แล้วแย้มยิ้ม
การลำบากรอในช่วงนี้นับว่าไม่ผิดหวัง
ส่วนแม่นางที่เยว่ตี๋เอ่ยถึงเขานึกไม่ออกว่าเป็นใคร
“หนึ่งวันสั้นๆ ที่ข้าออกไปดูเหมือนจะเกิดเรื่องมากมาย…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ก็แหงสิ มีแค่เจ้าสองคนดื่มสุราสบายใจ คนอื่นเขาสู้กันแทบตาย”
เยว่ตี๋กล่าว
จากนั้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังหลิวรุ่ยอิ่งออกไปอย่างคร่าวๆ
“หมายความว่าท่านเจิ้นเป่ยอ๋องถูกเกาเหรินลอบกัดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เดาว่าเป็นเช่นนั้น!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
ท่าทางไม่อึดอัด กลับจะสบายอารมณ์สิบส่วน
“ตอนนี้เกาเหรินไปที่ใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ฟังคำเล่าของเยว่ตี๋จบ กลิ่นสุราที่มีแค่บนตัวเขาก็หายหมดสิ้น
“โกบีกว้างใหญ่ ไม่มีร่องรอย…หากเขาปิดเป็นความลับก็ตามหายากแล้ว”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“เจ้ากลับไปพบแม่นางน้อยในร้านเถ้าแก่เนี้ยก่อนเถอะ”
จากนั้นส่งสายตาให้หลิวรุ่ยอิ่ง
เขารู้ว่าเยว่ตี๋กับซุนเต๋ออวี่ยังมีเรื่องสำคัญต้องหารือกับเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา ไม่ว่าด้วยประสบการณ์หรือตำแหน่งขุนนาง ตนล้วนมีน้อยและต่ำเกินไป อยู่ต่อไม่ได้แน่นอน ได้เพียงตอบรับคำหนึ่งแล้วจูงม้าเดินไปโรงเตี๊ยมเถ้าแก่เนี้ยพร้อมกับหวาหนง
เดินไม่ไกลก็เห็นแสงตะเกียงในร้านเถ้าแก่เนี้ย หน้าประตูยังมีเงาสองสามคนวูบไหวอยู่รางๆ ไม่รู้ทำไม ความคุ้นเคยยากอธิบายจากเงาคลุมเครือนั้นทำให้หลิวรุ่ยอิ่งใจหาย แต่เงาคนเหล่านั้นยืนหันหลังให้แสง เห็นใบหน้าไม่ชัดโดยสิ้นเชิง
“ท่านนี่เอง!”
หลิวรุ่ยอิ่งเดินถึงประตูโรงเตี๊ยมเถ้าแก่เนี้ย เห็นเงาร่างงดงามที่ยืนรออยู่ตรงประตูแล้วอดร้องตกใจไม่ได้
แค่เงาที่ดูคุ้นเคยก็ทำให้ทั้งร่างเขาสั่นเทา คล้ายการสั่นนั้นไปกระตุ้นจิตวิญญาณและหัวใจ เป็นความรู้สึกเร่งร้อน รอคอยและหวั่นกลัวเล็กน้อยแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว
ปลายจมูกหลิวรุ่ยอิ่งซึมเหงื่อเม็ดละเอียด สองขาชาอ่อนแรง มือกำแน่นผิดปกติ ริมฝีปากบนล่างสั่นเล็กน้อย
เป็นนางหรือ
เขารู้สึกตนต้องโทษขั้นสูงสุด หวาดกลัวหมื่นส่วนทั้งอยากหลุดพ้นความรู้สึกเช่นนี้โดยเร็ว
คนผู้นั้นได้ยินแล้วหันมาสบตากับหลิวรุ่ยอิ่งทันใด
นัยน์ตาเจ้าหมิงหมิงตกใจ แม้เห็นชัดว่าเป็นเขา มองใบหน้าของเขาถ้วนถี่แล้วยังคงคุ้นเคย ทว่าก็แปลกหน้าเล็กน้อย แต่เป็นความแปลกหน้าที่นางยินดี
ฉับพลันนางรู้สึกตนเหมือนภรรยาที่รอสามีกลับมา เหมือนการพบเจอกันนี้ช่างสมเหตุสมผลเพราะต้องเป็นเช่นนั้น ทั้งยังเป็นการเติมเต็มช่วงเวลายาวนานที่ไม่ได้พบหน้ากัน
ตอนนี้นางจึงรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าช่องว่างเล็กๆ ในใจถูกเติมเต็มแล้ว เป็นความพึงใจที่อธิบายได้ยาก เหมือนกับที่เจ้าอยากกินของบางอย่าง รอมาเนิ่นนาน แต่มีคนบอกเจ้าทุกวันว่าวันนี้กินไม่ได้ ต้องรอถึงเดือนถัดไป
ช่วงแรกเจ้าจะนึกถึงแต่สิ่งนั้นมากขึ้นทุกวัน มาถึงกลางเดือนเหมือนเจ้าคุ้นชินกับทุกวันที่ไม่ได้มันมาและไม่ต้องการขนาดนั้นแล้ว แต่ก็ยังนึกถึงอยู่
พอมาถึงสิ้นเดือน เจ้าถูกเคี่ยวกรำจนมีความอดทน ถึงขั้นอยากปล่อยวางสิ่งนั้น เจ้าไม่อยากถูกเตือนซ้ำๆ ว่านั่นเป็นสิ่งที่เจ้าไม่อาจครอบครอง แต่ตอนเจ้ากำลังจะปล่อยวาง สิ่งนั้นกลับถูกยกมาวางตรงหน้า
เจ้ามองสิ่งที่อยากได้มานาน แต่รับไว้ไม่ได้เพราะรู้สึกเหมือนผ่านมาหลายปี ทว่ามันก็เป็นสิ่งที่เจ้าต้องการที่สุดในยามแรก แม้มองมันเงียบๆ โดยไม่ทำอะไรก็สบายใจไม่น้อย ไม่มีความรู้สึกที่คอยย้ำเตือนทุกวันแล้ว
“ท่านกลับมาแล้ว?”
เจ้าหมิงหมิงถาม
น้ำเสียงนางอ่อนล้ามาก
ไม่ใช่แค่น้ำเสียง
กระทั่งสีหน้าก็เหนื่อยล้ายิ่ง
ดูเหมือนการต่อสู้ที่เยว่ตี๋ว่าจะทำให้เจ้าหมิงหมิงป้องกันตนลำบากไม่น้อย
เจ้าหมิงหมิงมองหลิวรุ่ยอิ่งแล้วใจเต็นเร็วนัก แต่ความเหนื่อยล้าทั้งกายใจทำให้นางไม่มีแรงยิ้มให้เขา
นางเสียใจเล็กน้อยที่สู้กับคนอื่น ไม่สิ คงต้องบอกว่าไม่อยากเจอเขาในสภาพเหนื่อยล้าเช่นนี้
เกาลัดคั่วน้ำตาลยืนอยู่ข้างกายเจ้าหมิงหมิง นางยังประคองแม่นางน้อยที่กำลังเหม่อลอย
นางเห็นหลิวรุ่ยอิ่งแล้วยู่ปาก เดินมาหน้าคุณหนูของตนแล้วยื่นมือขวาใส่หลิวรุ่ยอิ่งพลางกล่าว
“ของล่ะ”
“ของอะไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งงุนงงกับคำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยของเกาลัดคั่วน้ำตาลเล็กน้อย
“คราวก่อนในหอทรงปัญญา ก่อนไปท่านรับปากข้าว่าเจอกันครั้งหน้าจะซื้อเกาลัดคั่วน้ำตาลที่อร่อยที่สุดในโลกให้ข้ากิน ของล่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มเจื่อนครู่หนึ่ง…
ประโยคนี้เขาพูดหรือเปล่าก็จำไม่ได้แล้ว…
แต่ในช่วงบอกลาเช่นนั้นเป็นไปได้ว่าเขาพูดกับนายบ่าวสองคนนี้เป็นมารยาท ดังนั้นถึงสัญญาอะไรไปก็สมเหตุสมผล
แต่มารยาทก็คือมารยาท นับจริงจังไม่ได้หรอก
เหมือนสหายเก่าสองคนกลับมาพบกันบนถนน หลังถามสารทุกข์สุขดิบครู่หนึ่งจะพูดเป็นมารยาทเล็กน้อยก่อนบอกลา และมารยาทนี้มักจบด้วยการให้สัญญา แต่สัญญานี้จะทำได้เมื่อไร เกรงว่าอีกไกลไร้กำหนด…
แต่ทั้งสองฝ่ายควรรู้มารยาทในการมีมนุษยสัมพันธ์ถึงจะถูก แม้มีวาสนาได้เจอกันอีกต่างฝ่ายก็รู้อยู่ในใจ จะไม่มีการแบมือขอทันทีที่เจอเหมือนเกาลัดคั่วน้ำตาล
“ขอโทษด้วย ครั้งนี้ข้าเตรียมตัวไม่พร้อม ครั้งหน้าได้กินแน่!”
หลิวรุ่ยอิ่งยื่นบังเหียนในมือให้หวาหนงแล้วกล่าว
“มนุษย์อย่างพวกท่านก็เป็นเช่นนี้…ครั้งหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า! พูดไม่เคยรักษาสัญญา!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวด้วยความโมโห
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกเก้อกระดากจนไม่ได้สนใจคำว่า ‘มนุษย์’ ที่เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวโดยสิ้นเชิง แต่เถ้าแก่เนี้ยกับหลี่จวิ้นชางที่กำลังเก็บกวาดซากในร้านกลับได้ยินเต็มสองหู ต่างหยุดมือไปชั่วขณะ
เจ้าหมิงหมิงไม่ได้ร่วมหัวข้อไร้มารยาทกับเกาลัดคั่วน้ำตาล แต่การไม่เข้าร่วมของนางคือขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วดึงแขนเสื้อเกาลัดคั่วน้ำตาลให้นางถอยหลัง ส่วนตนเบี่ยงกายหลบเปิดทาง หลิวรุ่ยอิ่งก็เดินเข้าร้านทันที
“ไม่นึกว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวกับเจ้าหมิงหมิง
เขาเคลื่อนสายตาออกไปเล็กน้อย เป็นการเคลื่อนไหวเหนือการควบคุม เขาพยายามเอาสายตามาไว้ที่เจ้าหมิงหมิงและมองดวงหน้ารูปร่างงามของนาง แต่จิตใจกลับว้าวุ่นอยากมองไปที่อื่นเพื่อบรรเทาลมหายใจร้อนแผดเผาไร้ที่มานี้
“ไม่เร็วหรอก หนึ่งเดือนกว่าแล้ว”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งนิ่งเงียบ
เถ้าแก่เนี้ยที่กำลังงานยุ่งอยู่ในโถงใหญ่เห็นหลิวรุ่ยอิ่งในท่าทางเช่นนี้แล้วอดหลุดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นเรียกให้พวกเขารีบนั่งลง แม้ไม่เหลือโต๊ะเก้าอี้สภาพสมบูรณ์ แต่เถ้าแก่เนี้ยยังให้หลี่จวิ้นชางย้ายโต๊ะตัวเล็กกับเก้าอี้เตี้ยหลายตัวลงมาจากห้องพักชั้นบน
“ในเมื่อไม่พบกันนานก็ต้องดื่มสุรา!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
จากนั้นหยิบสุราหลายกามาวางบนโต๊ะเล็กโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ทั้งที่ทุกสิ่งในร้านถูกทำลายเละหมดแล้ว แต่เถ้าแก่เนี้ยยังหยิบสุราออกมาเหมือนมีเวทมนตร์ แค่จุดนี้นางก็นับว่าเป็นสตรีผู้พลิกสถานการณ์แล้ว
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งกับเจ้าหมิงหมิงนั่งลง เกาลัดคั่วน้ำตาลก็ประคองแม่นางน้อยคนนั้นนั่งลงด้านข้าง แม้นางดื่มสุรา แต่กลับรินให้แค่หลิวรุ่ยอิ่งกับคุณหนูของตนสองจอก
“ทำไมนึกอยากมาเหมืองแร่นี้”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เดิมเขาเห็นสุราตรงหน้าแล้วอยากยกจอกดื่มให้หมด แต่พริบตานั้นก็นึกถึงท่าทางรังเกียจของเยว่ตี๋ตอนตัวเขามีกลิ่นสุราคลุ้งเมื่อครู่…หนำซ้ำยังไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวสามคนนั้นหารือเรียบร้อยแล้วจะมีเรื่องให้ตนต้องไปทำอีกหรือไม่ เขาจึงไม่กล้าดื่มสุราอีกเด็ดขาด
“อยากมาดูสถานที่ที่ไม่เคยเห็น”
เจ้าหมิงหมิงไม่ได้คิดเยอะขนาดนั้น นางหยิบจอกสุรามาจิบคำหนึ่งเบาๆ แล้วกล่าว
“ข้ารู้สึกว่าท่านเป็นคนน่าสนใจมากจริงๆ!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“อย่างไรหรือ”
เจ้าหมิงหมิงไม่วางจอกและโพล่งถามออกมา
แม้นางเห็นหลิวรุ่ยอิ่งแล้วดีใจยิ่ง แต่ภายนอกยังคงอยู่ในท่าทางสบายๆ เรื่องของความคิดย่อมเป็นสิ่งที่สตรีไม่อาจเปิดเผยมากเกินไป แต่นางไม่ได้ทำเพราะสิ่งนี้ นางกลัวเปิดเผยออกมาโดยไม่มีเค้าแล้วทำให้คนอึดอัดจนไม่รู้จะพูดอะไร
พวกเขายังอยู่ในความสัมพันธ์ประหลาดที่รู้แก่ใจแต่ไม่มีใครเอ่ยออกมา
“เพราะท่านเหมือนไม่เคยเห็นสิ่งใดมาก่อน สนใจใคร่รู้ในทุกสิ่ง!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ไม่ออกจากบ้านย่อมเห็นโลกภายนอกน้อย สู้นายกองหลิวที่เดินทางทั่วหล้าไม่ได้หรอก”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“เรื่องของท่านทำเสร็จแล้วหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้าเบาๆ
“คนกลับมาเจอกันควรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างแยกกันไปไม่ใช่หรือ”
เถ้าแก่เนี้ยที่อยู่ด้านข้างเอ่ยแทรก
ช่วยหลิวรุ่ยอิ่งแก้สถานการณ์
ดังนั้นเขาจึงเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังตนพาหวาหนงออกจากหอทรงปัญญาให้เจ้าหมิงหมิงฟังแทบครบทุกรายละเอียด เว้นแต่เรื่องที่พูดไม่ได้
ทว่าแม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่าดื่มสุราไปหลายจอกตอนพูดออกรส
คุยกันไปมาเจ้าหมิงหมิงก็เล่าเรื่องที่ตนพบเจอในหนึ่งเดือนกว่านี้ให้หลิวรุ่ยอิ่งฟังเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องของนางกับผู้ตัดสัมพันธ์ บัณฑิตจางและอิ๋นซิงในหอราชสีห์ รวมถึงเรื่องจิ้งเหยาตามตนตลอดทางมาถึงเหมืองแร่นี้
“ท่านมาพร้อมกับจิ้งเหยา…อันตรายเกินไปแล้ว!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ท่านเป็นห่วงคุณหนูข้าหรือ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอียงศีรษะ เติมสุราให้หลิวรุ่ยอิ่งจอกหนึ่งแล้วถาม
“นี่นับว่าเป็นห่วงหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคำพูดแบบไหนถึงจะนับเป็นความห่วงใย เพราะเขาเป็นคนที่ได้รับความห่วงใยน้อยมากอยู่แล้ว คนที่ขาดความเอาใจใส่มักไม่รู้ว่าควรใส่ใจคนอื่นอย่างไร
จุดนี้ก็เหมือนคนขาดความรักที่มักจะเห็นแก่ตัว แต่นี่ไม่ใช่ความผิดของเขา สภาพแวดล้อมทำให้เป็นเช่นนั้น ไม่เคยถูกรักจึงไม่รู้ว่าควรรักอย่างไร
แต่ในความเข้าใจของหลิวรุ่ยอิ่ง ความรู้สึกเช่นความห่วงใยต้องอยู่บนความชอบหรือรักเป็นอย่างมาก เพียงแต่ต่างคนแสดงออกไม่เหมือนกัน
แต่ไรมากวีชาวบ้านล้วนจุ่มพู่กันด้วยน้ำวสันต์และก้อนเมฆปลิวลม หากไม่ใช้เมฆลมเป็นกระดาษแต่งเพลงรักก็ใช้กลิ่นดอกไห่ถังหรือกิ่งก้านถั่วแดงเป็นสัมผัสแต่งกลอนรัก สองคนพิงไหล่แอบอิงพลิกอ่านด้วยกัน ไม่ว่าดอกไม้บานหรือร่วงโรย เมฆรวมตัวหรือกระจาย ฟ้าดินกลับตาลปัตรก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขา
เจ้าหมิงหมิงเคยบอกหลิวรุ่ยอิ่งว่านางมาจากทางใต้ จุดนี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีทางพิสูจน์จึงได้แต่เชื่อ จากลมวสันต์อ่อนๆ จากทางใต้สู่พายุทรายที่โบกพัดกลางทะเลทรายโกบี ฉากนี้เรียกได้ว่าขัดแย้ง แต่ในความเปลี่ยนแปลงไม่คาดคิดนี้มีความรู้สึกยากอธิบายค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
ความรู้สึกนี้กำลังเปลี่ยนความคิดและจิตใจของหลิวรุ่ยอิ่งอย่างช้าๆ ถึงขั้นรักทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับนาง เขาเริ่มใฝ่หาลมวสันต์อ่อนๆ ทางใต้ อยากสัมผัสกลิ่นอายที่นางหลงเหลือไว้ในสถานที่ที่เคยอยู่ อยากรู้อย่างลึกซึ้งว่านางถูกหล่อหลอมมาอย่างไร อยากเข้าใจทุกสิ่งที่นางเข้าใจ และร่วมสำรวจวันข้างหน้าที่อยากค้นหาไปกับนาง
“นางเป็นคนออกความเห็นให้มาที่นี่ แต่ข้ามักรู้สึกว่าจะได้เจอเรื่องไม่ธรรมดาจึงไม่ได้ไปเมืองเจิ้นเป่ยอ๋อง พอออกจากแดนสุขสัญจรก็ตรงมาที่นี่เลย”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เทียบกับความกระมิดกระเมี้ยนของหลิวรุ่ยอิ่ง นางเปิดเผยตรงไปตรงมากว่ามาก
………………………………………….