ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 513 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-20
บทที่ 513 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-20
……….
ตอนอยู่เก้าบรรพตนางก็อ่านเรื่องเล่าเกี่ยวกับความรักชายหญิงมาไม่น้อย
แม้ตอนพลิกหน้าหนังสือเนื้อหาระหว่างบรรทัดจะทำให้นางหน้าแดงอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่นางยังคงอ่านต่อไปด้วยไม่อาจถอนตัว
เจ้าหมิงหมิงก็รู้จากในเรื่องเล่าธรรมดาซ้ำซากเหล่านั้นว่าการโหยหาคนคนหนึ่งไม่อาจซ่อนเร้น ทุกครั้งที่ลมพัดมาคล้ายได้ยินอีกฝ่ายกำลังร้องเรียกชื่อของตน ดอกไม้ทุกดอกที่เห็นตามทางล้วนสัมผัสได้ถึงจังหวะชีพจรของแต่ละฝ่าย กระทั่งเรื่องที่ดูเงียบเหงาเศร้าสร้อยอย่างฝนตกก็กลายเป็นพลังมหาศาลเพราะคนในใจได้
พื้นที่ว่าง สายลมอ่อนและดอกไม้นั้นพันเกี่ยวเป็นเส้นด้ายบางที่มองไม่เห็นระหว่างทั้งสอง แม้ไม่อาจค้นหาอดีต แต่ยังคงวาดเค้าโครงบางๆ ของชีวิตในภายหน้าได้
ดอกไม้วสันต์จันทร์ยามสารท ผืนแผ่นดินแม่น้ำลำคลอง พันปีหมื่นปีล้วนบอกเล่าความรักแก่ผู้คน ไม่ว่าเคลิ้มในหมอกฝนเจียงหนาน มองดาวแลดวงจันทร์เย็นเยียบ ความคิดถึงในใจไม่เคยลดลง นี่ก็คือความโหยหา
ตอนแรกเจ้าหมิงหมิงไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้…บิดาของนางก็บอกว่าโลกใบนี้มีความรักมากมาย ไม่รู้ควรเริ่มพูดจากตรงไหน มีความรู้สึกมากมายที่ไม่อาจบรรยายเป็นตัวอักษรได้ แต่ไม่ว่าความรักหรือความรู้สึกแบบใดล้วนไม่อาจต้านทานความคิดถึง
สิ่งที่ยังพันเกี่ยวไม่คลายแม้ผ่านไปยาวนานเช่นนี้ บางครั้งอยู่ไกลสุดขอบฟ้า บางครั้งกลับใกล้เพียงคืบศอก ตอนเจ้าข้ามทะเลข้ามภูเขาบุกฝ่าพันลี้เพื่อตามหา พอก้มหน้ามองอาจอยู่ในจอกสุราของตน แต่ยิ่งเป็นสิ่งยากคาดเดาเจ้าหมิงหมิงก็ยิ่งเฝ้าฝันหา…
“ดูมาเยอะขนาดนี้ คิดว่าน่าสนใจบ้างหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“สถานที่ล้วนไม่ต่างกัน หากคนน่าสนใจอยู่ที่ไหนก็น่าสนใจ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
พูดจบยันสองแขนมือรองแก้มอยู่บนโต๊ะ มองหลิวรุ่ยอิ่งด้วยความสนอกสนใจ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าหมิงหมิงบอกว่าหลิวรุ่ยอิ่งน่าสนใจ แต่เหมือนความรู้สึกทุกครั้งที่พูดล้วนต่างกัน ครั้งนี้หลิวรุ่ยอิ่งรับรู้ได้ว่าเจ้าหมิงหมิงสื่อความนัยเด่นชัดขึ้นหลายส่วน
“แม่นางชมเกินไปแล้ว…ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองน่าสนใจตรงไหน!”
“ข้าชื่อเจ้าหมิงหมิง บอกแต่แรกแล้วว่าท่านเรียกข้าว่าเจ้าหมิงหมิงได้”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
ประกายในแววตามืดลงฉับพลัน คล้ายไม่พอใจคำเรียกเมื่อครู่ของหลิวรุ่ยอิ่ง
‘ทำไมเขาเหมือนท่อนไม้อย่างนี้…’
คำพูดหนึ่งผุดขึ้นในใจเจ้าหมิงหมิงทันที น้ำเสียงเหมือนสาวน้อยตำหนิข้อเสียของคนที่ตนชมชอบ ทำให้นางอดตกใจไม่ได้ แต่ไม่ได้รู้สึกเหนือคาดมากนัก นางแค่อยากให้เขาเรียกนางแบบนั้นเพราะอยากสนิทกันมากขึ้นไม่ใช่หรือ
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าความรู้สึกเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างแท้จริง เรื่องความรู้สึกน่าสนใจกว่าตัวเขาเสียอีก เมื่อชอบคนคนหนึ่งจนถอนตัวไม่ขึ้น ความรู้สึกอาจทำให้คนตกต่ำในฉับพลัน และอาจทำให้คนเติบโตในพริบตา
หากคนอื่นเกิดความรู้สึกเช่นนี้เป็นต้องเดินเข้าไปดูโฉมหน้าที่แท้จริงให้รู้แล้วรู้รอด แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่คิดเช่นนั้น…เขาคิดว่าความรู้สึกเป็นเรื่องอันตรายมาก
แต่นี่ก็เป็นปกติของคน บางคนอาจประหลาดใจกับความรู้สึกอันบริสุทธิ์ บางคนก็ทอดถอนใจเพราะพลาดไม่รู้เรื่องบางช่วงบางตอน
ชีวิตมีขึ้นมีลงมากมาย ความรู้สึกครองพื้นที่แค่ส่วนหนึ่งในนั้น มันไม่อาจหาอาหารและเงินทองมาให้ได้ ถึงขั้นทำให้จิตใจคนคนหนึ่งเลื่อนลอยและถูกผลักไสไม่รู้จบ หรืออาจโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิตเพราะความฝันใฝ่ไกลเกินเอื้อม
สิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งคิดไม่ตกคือเหตุใดยังมีคนมุ่งหน้าเดินบนทางสายนี้โดยไม่ขลาดกลัวทั้งที่เห็นหนทางข้างหน้าชัดเจน
“ข้าแค่รู้สึกท่านเป็นคนน่าสนใจมาก แล้วข้าก็คิดว่าการอยู่กับท่านจะได้สัมผัสเรื่องราวน่าสนใจต่างๆ มากมาย”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
‘น่าสนใจมาก’ เป็นคำที่ควรใช้อย่างระมัดระวัง
เรื่องระหว่างสองคนโดยเฉพาะความรักชายหญิง จุดสำคัญของการเกิดเรื่องราวก็อยู่ที่ความสนใจ รู้สึกคนคนหนึ่งน่าสนใจก็เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกทั้งหลาย อย่างไรทุกคนเกิดมาบนโลก หลังจากมีสติปัญญากับจิตวิญญาณก็มีชีวิตอยู่เพื่อความอบอุ่นและความสุข
คิดว่าทุกคนคงยึดมั่นในความคิดเดียวกันนี้ แต่ยังไม่ทันเข้าใจคำพูดน่าฟังมากมายให้ถ้วนถี่ก็หนีหายไปเงียบๆ โดยเฉพาะเจ้าหมิงหมิงกับหลิวรุ่ยอิ่งที่ยังไม่ได้สัมผัสความรู้สึกอะไรเลย
การใจเต้นเช่นนี้ไม่เหมือนจอกสุราในมือที่ใจจะรู้ดีว่าทุกคำดื่มไปเท่าไร ดื่มกี่คำถึงจะหมด หากพวกเขาไม่ตื่นตระหนกกับจุดเริ่มต้นที่ดูไม่สลักสำคัญเหล่านี้ก็คงรู้สึกเฉยๆ เหมือนก้อนเมฆลอยผ่านตา แต่เมื่อเกิดช่องว่างกลับรู้สึกเจ็บปวดรุนแรง ทะลุทะลวงทุกสิ่งโดยรอบหรือแม้กระทั่งร่างกายของตนจนถ้วนทั่ว
เจ้าหมิงหมิงเองก็ไม่เข้าใจความคิดของนางชัดเจนนัก เพียงรู้สึกแม้นั่งเงียบๆ กับหลิวรุ่ยอิ่งโดยไม่พูดสิ่งใดและไม่ดื่มสุราก็ยังไม่น่าเบื่อ
ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของชีวิต ความโดดเดี่ยวครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของนางมาตลอด ตอนอยู่บนภูเขาเจ้าหมิงหมิงไม่มีเรื่องในใจและไม่มีเรื่องในอดีต แต่ไรมานางจึงไม่มีอะไรให้คิดหรืออดีตให้นึกถึง
เจ้าหมิงหมิงไม่ใช่คนชอบความวุ่นวาย ทุกคนบนภูเขารู้จุดนี้ดี เกาลัดคั่วน้ำตาลรู้ดีที่สุด แต่กระทั่งตอนที่ตัวนางยังไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของตนได้โดยสมบูรณ์ จะไปคาดหวังให้คนอื่นมาคิดหรือรู้สึกแบบเดียวกันได้อย่างไร
นิสัยของทุกคนล้วนเป็นปริศนา แต่เจ้าหมิงหมิงรู้แน่ชัดว่านางไม่ได้เย็นชา กลับจะอบอุ่นอย่างยิ่ง เทียบกับการเปิดเผยตรงๆ นางชอบรักษาระยะเฝ้ามองไม่ใกล้ไม่ไกลกับหลิวรุ่ยอิ่งเช่นตอนนี้มากกว่า วิธีเช่นนี้ไม่เพียงทำให้นางรู้สึกปลอดภัย ขณะเดียวกันก็รู้สึกไม่สร้างความสับสนและแรงกดดันใส่หลิวรุ่ยอิ่งมากเกินไป แต่เรื่องเหล่านี้ไม่เอ่ยออกมาแล้วคนอื่นจะรู้ได้อย่างไร โดยเฉพาะกับคนไม่ละเอียดอ่อนอย่างหลิวรุ่ยอิ่งยิ่งต้องสื่อสารให้ชัดเจน
ก่อนหน้านี้ประมาณสองเดือนกว่าเจ้าหมิงหมิงกับหลิวรุ่ยอิ่งยังเป็นคนแปลกหน้า การทำความรู้จักระหว่างคนแปลกหน้าจำเป็นต้องพูดคุยกันให้มากที่สุด หากวันนั้นหลิวรุ่ยอิ่งไม่เป็นฝ่ายเลี้ยงสุราเจ้าหมิงหมิงกับเกาลัดคั่วน้ำตาลในโรงเตี๊ยมพูนโชคหัวเมืองรัฐติงอาณาจักรติ้งซีอ๋อง ตอนนี้ทั้งสองก็อาจยังไม่ได้รู้จักกัน
ปากกับหูต้องร่วมมือกันถึงจะทำให้คนสองคนเปลี่ยนความแปลกหน้าเป็นสนิทสนม จากได้พบเป็นรู้จัก หากเอาแต่พูดจาคลุมเครือไม่ชัดเจนหรือใช้แค่หูฟัง เช่นนั้นความสัมพันธ์ของเขาสองคนก็อาจตื้นเขินไม่พัฒนาไปชั่วชีวิต
บางทีหลังได้คบหาเรียนรู้กันหลายปีอาจยังรู้สึกประหลาดใจที่ไม่มีเรื่องใดจงใจให้เป็นเช่นนั้น ทุกคำพูด ทุกเสียงหัวเราะและคำติเตียนผ่านมาค่อนชีวิต เจ้าหนุ่มน้อยที่เคยไม่รู้จักก็กลายเป็นคนที่มองนางเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อย่างเปิดเผย
“ท่านเคยมีคนที่เข้าใจท่านหรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงถาม
นางครุ่นคิดอยู่นาน เรียบเรียงคำพูดแล้วเอ่ยปากอีกครั้งในที่สุด
มองเพียงปราดเดียว ไม่ต้องมีคำพูดก็รู้ความทุกข์และความกลัดกลุ้มของอีกฝ่าย ความห่วงใยอย่างสุดซึ้งเช่นนี้ก็คือความเข้าใจที่เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถึง
แน่นอนว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่มีคนแบบนั้น แต่เขาก็รู้ว่านี่เป็นความรู้สึกลึกซึ้ง เขาไม่ปฏิเสธว่าตนรู้สึกดีกับเจ้าหมิงหมิงมากจริงๆ แต่เขาแยกไม่ออกว่าเป็นเพราะรูปโฉมดั่งเซียนบนสวรรค์ชั้นเก้าหรือนิสัยเงียบสงบไม่เหมือนใครของนาง
แยกจุดนี้ไม่ออก หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่อาจพูดเปิดใจกับเจ้าหมิงหมิงได้อย่างแท้จริง และเขายังมองว่าฐานะของเจ้าหมิงหมิงลึกลับเกินไป เขาเป็นคนของกรมสอบสวนกลาง ย่อมมีเรื่องให้ระวังมากมาย…ด้วยความไม่เข้าใจและความสับสนเหล่านั้นหลิวรุ่ยอิ่งจึงหลบหน้าเจ้าหมิงหมิงตลอด กระทั่งนับเป็นเพื่อนยังทำไม่ได้
บางคนถูกกำหนดไม่ให้เป็นเพื่อน เป็นได้แค่คนรัก และหากเป็นคนรักไม่ได้ เช่นนั้นก็เป็นเพื่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ
การยิ้มทึ่มทื่อไม่ได้มีมาแต่กำเนิด มันเริ่มจากชั่วขณะที่ข้าตกหลุมรักเจ้า…หลิวรุ่ยอิ่งพลันนึกถึงเหตุการณ์คล้ายกับครั้งแรกที่เขาเจอเจ้าหมิงหมิงแล้วยิ้มขึ้นมาอย่างทึ่มทื่อ หากคนคนหนึ่งยิ้มไม่มีปี่มีขลุ่ยในยามปกติ เช่นนั้นเขาต้องนึกถึงอดีตที่ดีงามและควรค่าให้หันกลับไปมองแน่นอน
ใช่ว่าเขาไม่ชอบปัจจุบัน แต่วิถีทางโลกนี้ยุ่งเหยิงเกินไป กัดกินเวลาและชีวิตของเขามากเกินไป มีเพียงหลบอยู่ในช่วงอดีตที่งดงามเหล่านั้นเงียบๆ ถึงจะพอหายใจหายคอได้บ้าง
“ข้าไม่มี…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวตอบ
“เรื่องเล่าของท่านต้องเยอะกว่าข้าแน่ หากท่านอยากพูด ข้าก็อยากลองฟัง”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
นางใช้นิ้วชี้มือขวาเขี่ยจอกสุราที่ดื่มหมดแล้ว ปลายนิ้วเคลื่อนไปมาไม่หยุด
“ข้าไม่มีเรื่องเล่าอะไร…ข้าแค่ทำเรื่องเลวร้ายมาอย่างหนึ่ง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เงาร่างของหยวนเจี๋ยปรากฏขึ้นในหัวเขา
“เรื่องเล่าไม่แบ่งดีเลว เรื่องเลวร้ายก็เป็นเรื่องเล่าเหมือนกัน”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“เพราะเรื่องนี้ข้าติดหนี้ก้อนใหญ่นัก ต้องคืนหมดก่อนถึงจะบอกได้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวต่อ
“เรื่องนี้เกี่ยวกับแม่นางคนหนึ่ง?”
เจ้าหมิงหมิงถาม
หลิวรุ่ยอิ่งชะงัก สัญชาตญาณของสตรีไม่ธรรมดาจริงๆ…ทั้งที่เขายังไม่ได้พูดอะไร แต่เจ้าหมิงหมิงทายถูกเกือบหมด
“ไม่เป็นไร ท่านค่อยพูดตอนอยากพูดก็ได้ อย่างไรข้าก็มีเวลาและความอดทน”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
ระหว่างนั้นจอกสุราที่โอนเอนตกลงบนโต๊ะอย่างแรง
นี่เป็นโต๊ะไม้แข็ง จอกสุราเครื่องเคลือบกระดูกขาวกระทบกับมันก็เกิดเสียง ‘เพล้ง’ ดังกังวาน
“พวกท่านคงไม่ต่อสู้กันใช่หรือไม่ ของพังไม่สำคัญ ชดใช้ตามราคาก็พอ แต่ถ้ายังอยากหาที่นั่ง เกรงว่าต้องนั่งยองตรงตีนกำแพงแล้ว!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
ซากในโถงใหญ่ถูกเก็บกวาดประมาณหนึ่งแล้ว ตอนนี้เถ้าแก่เนี้ยกำลังถือผ้าเช็ดดินฝุ่นกับเศษไม้บนโต๊ะคิดเงิน
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มเหยเก จากนั้นเลื่อนสายตามาบนใบหน้าของเจ้าหมิงหมิงอีกครั้ง
“ต่อไปจะไปที่ไหน”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ท่านล่ะ”
เจ้าหมิงหมิงย้อนถาม
“ข้าคงต้องกลับเมืองหลวง”
หลิวรุ่ยอิ่งคิดแล้วกล่าว
“พอดีเลย ข้าก็จะไปเมืองหลวง!”
เจ้าหมิงหมิงยิ้มกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งก็ยิ้ม
ในใจทั้งสองต่างรู้ความคิดของอีกฝ่าย แต่บางครั้งก็ค่อนข้างคลุมเครือ ทว่ากลับดีสำหรับทั้งสองฝ่าย อย่างน้อยก็ไม่มีใครรู้สึกกดดัน
“เมืองหลวงเป็นเมืองของฉิงจงอ๋องหรือ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“ถูกต้อง และเกาลัดคั่วน้ำตาลอร่อยที่สุดที่ข้าว่าก็อยู่ในเมืองหลวง!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หากเจ้าหมิงหมิงกับเกาลัดคั่วน้ำตาลไปเมืองหลวงเหมือนกัน เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าตนจะผิดคำพูดแล้ว
“แม่นางผู้นี้ก็เป็นสหายของหมิงหมิงหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งสังเกตเห็นแม่นางน้อยข้างกายเกาลัดคั่วน้ำตาลจึงเอ่ยปากถาม
“ข้าไม่รู้ว่านางเป็นใคร แต่จิ้งเหยากับคนอื่นๆ ตามสังหารนางตลอด บาดเจ็บหนักฟื้นมาแล้วก็อยู่ในสภาพนี้ ไม่กินไม่ดื่ม เหม่อลอยทั้งวัน…”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวด้วยความกังวล
แต่ตอนนางได้ยินหลิวรุ่ยอิ่งเรียกตนว่า ‘หมิงหมิง’ ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
“ข้าก็เคยพานางไปหาหมอแล้ว แต่บอกว่าไม่เป็นอะไร ก่อนหน้านี้มีคนหนึ่งเหมือนเป็นคนในกรมสอบสวนของท่านบอกให้ข้าพานางไปเมืองหลวงเป็นดีที่สุด”
เจ้าหมิงหมิงยื่นมือเกลี่ยผมตรงหน้าผากให้แม่นางน้อยพลางกล่าว
ตอนแรกหลิวรุ่ยอิ่งนึกว่าคนที่เจ้าหมิงหมิงบอกคือจิ้นเผิงหรือเยว่ตี๋ ไม่นึกว่าพอนางบรรยายลักษณะแล้วกลับเป็นเจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยา
คนที่ทำให้เขาห่วงใยเป็นพิเศษต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน แม่นางน้อยผู้นี้ก็มีเรื่องลึกลับ หลิวรุ่ยอิ่งแอบจำเรื่องนี้ไว้ในใจ พอกลับถึงกรมสอบสวนกลางแล้วรายงานให้ผู้บังคับการกรมเว่ยฉี่หลินทราบเป็นดี
“ในเมืองหลวงก็มีหมอที่ดีที่สุดใช่หรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงถาม
นางยังคงไม่วางใจกับสภาพของแม่นางน้อยผู้นี้
“แน่นอนอยู่แล้ว เมืองหลวงใจกลางใต้หล้า ไม่ว่าสิ่งใดล้วนดีที่สุด”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างภูมิใจยิ่ง ถึงอย่างไรเขาก็มาจากเมืองหลวง นึกถึงสายตาแปลกใจปนอิจฉาที่ผู้คนมองมาตอนบัณฑิตจางพูดเฉลยฐานะของเขาในโรงเตี๊ยมพูนโชค เมืองจี๋อิงอาณาจักรติ้งซีอ๋อง เขาถึงได้รู้สถานะของเมืองหลวงที่อยู่ในใจผู้คนในใต้หล้า
………………………………………