ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 514 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-21
บทที่ 514 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-21
……….
“คุณหนู ไหนๆ ก็ดีที่สุดแล้ว เช่นนั้นเราก็ลองไปเดินเล่นดูสิเจ้าคะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยอย่างรีบร้อน ขณะเดียวกันก็มองเจ้าหมิงหมิงด้วยสายตาเว้าวอน
“พวกเราจะไปย่อมไม่มีปัญหา แต่ไม่รู้ว่านายกองหลิวจะต้อนรับหรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวพลางยิ้ม สายตามองใบหน้าหลิวรุ่ยอิ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ย่อมต้อนรับด้วยความยินดียิ่ง!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว ในใจมีความสุขหลายส่วน คนที่ตนรักจะไปสถานที่ที่ตนรักย่อมเป็นเรื่องดียิ่ง
“หลังภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ท่านก็จะกลับเมืองหลวงเลยหรือ”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม ในคำพูดแฝงความเสียใจเล็กน้อย
“หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ย่อมเป็นเช่นนั้น”
หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ากล่าว
“ครั้งที่แล้วก่อนจะออกจากหอทรงปัญญา ท่านก็พูดเช่นนี้…”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว น้ำเสียงแฝงความขุ่นเคืองเล็กน้อย
หลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจลึก เพราะตัวเขาเองก็ไม่อาจบอกได้จริงๆ ว่าหลังจากจัดการเรื่องเบี้ยหวัดนี้เสร็จสิ้นแล้ว จะมีสิ่งเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นระหว่างทางกลับไปหรือไม่
ดูเหมือนเรื่องไม่คาดคิดจะตามเขามาโดยตลอด นับตั้งแต่หลิวรุ่ยอิ่งออกจากกองบัญชาการกรมสอบสวนกลางในเมืองหลวง ก็ไม่มีสิ่งใดเป็นไปตามใจดั่งใจหวัง
แต่เรื่องเหนือความคาดหมายเดิมก็เป็นเรื่องปกติของชีวิต กระทั่งเป็นส่วนหนึ่งด้วยซ้ำ
เมื่อคนผู้หนึ่งเผชิญกับเรื่องไม่คาดคิดก็มักจะชอบนิยามความดีร้ายในความหมายแคบๆ เสมอ หากสามารถหลีกหนีคำนิยามตื้นเขินนี้ไปได้ เรื่องเหนือความคาดหมายก็น่าจะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจและน่าตกใจในชีวิตของทุกคน
ความประหลาดใจมีทั้งดีและร้าย แต่ความน่าตกใจกลับไม่มี ไม่มีความแตกต่างระหว่างการได้ยินข่าวดีหรือเกิดเรื่องร้ายที่ทำให้คนตกใจใดๆ ว่ากันถึงที่สุดแล้วหลิวรุ่ยอิ่งก็ยังไม่อาจใจเย็นได้มากพอ อย่างไรเสียเรื่องไม่คาดคิดมักจะทำให้มีความคิดลึกซึ้งและจินตนาการไปไกล
จากมุมมองนี้ แม้แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็ยังต้องขอบคุณเรื่องไม่คาดคิดต่อเนื่องเหล่านี้ด้วยซ้ำ
ทว่าจิตวิญญาณของเขาไม่มั่นคงพอ ยามที่จิตใจยังไม่สมบูรณ์อย่างสิ้นเชิง เมื่อเรื่องไม่คาดคิดเหล่านี้ตามมาติดๆ ย่อมเป็นภาระที่แท้จริง ทำให้เขาไม่เหลือพื้นที่หายใจหายคอ และยิ่งไม่มีเวลาไปนั่งครุ่นคิดเงียบๆ ว่าเรื่องไม่คาดคิดเหล่านี้เปลี่ยนแปลงและฝึกฝนเขาในด้านในบ้าง
สิ่งเดียวที่หลิวรุ่ยอิ่งรู้ในตอนนี้คือ เรื่องเหนือความคาดหมายเหล่านี้ไม่อาจหยุดยั้งและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากต้องยอมรับมันเท่านั้น อย่างไรเสียจะเดินต่อไปบนเส้นทางสายนี้ก็ไม่มีความชัดเจนนัก ไม่เพียงแต่เขา กระทั่งชายชราเลี้ยงม้าก็ด้วย
เรื่องไม่คาดคิดเป็นเรื่องส่วนตัวยิ่งกว่าแม่นางที่ตนเองชอบเสียอีก สำหรับความชอบของแต่ละคนนั้นก็ยังมีขอบเขตให้เลือก แต่เรื่องไม่คาดคิดถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ในมือพระเจ้าถือเครื่องวัดที่แม่นยำยิ่งกว่าช่างตัดเสื้อเสียอีก คนผู้หนึ่งเดินไปสองสามก้าวจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดเช่นไร จะใหญ่หรือเล็ก จะผ่านไปได้หรือจะสะดุดล้วนเป็นเรื่องที่ลิขิตไว้แล้ว
จนถึงตอนนี้ หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดคร่าวๆ ว่าเรื่องไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นกับเขาเหมือนจะเป็นเรื่องสะเทือนจิตใจทั้งสิ้น ไม่เพียงแค่ร่างกายเลือดตกยางออก แต่จิตวิญญาณยังทรมานและตึงเครียดตลอดเวลา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็หวาดกลัวเล็กน้อยและอยากจะดื่มสุราสักจอกเพื่อผ่อนคลายจิตใจชั่วครู่
หลิวรุ่ยอิ่งเอื้อมมือขวาออกมา ยามที่ปลายนิ้วสัมผัสกับขอบจอกสุราพลันรู้สึกถึงความอุ่นร้อน
จอกสุราก็วางอยู่บนโต๊ะ สุราก็รินใหม่จากไห ตามหลักแล้วมันควรจะเย็นชืด แต่สัมผัสอุ่นร้อนนี้ไม่สามารถหลอกลวงผู้คนได้…หลังจากมึนงงชั่วครู่ เขาถึงตระหนักได้ว่าไม่ใช่จอกสุราอุ่นเกินไป แต่มือของเขาเย็นเยียบเกินไปต่างหาก
หลิวรุ่ยอิ่งกังวลและหวาดกลัวสิ่งใดอยู่?
ตัวเขาเองก็ไม่รู้ ยิ่งไม่อาจบอกได้ชัดเจน
อาจเป็นเพราะบทสนทนากับเจ้าหมิงหมิง ทำให้เขาหวาดกลัวการเดินทางที่ไม่อาจล่วงรู้หลังออกจากเหมืองแร่เพื่อกลับเมืองหลวง…สิ่งที่เขากลัวไม่ใช่เรื่องไม่คาดคิด แต่เป็นความจริงจากเรื่องไม่คาดคิดที่ไม่เต็มใจเผชิญหน้าต่างหาก
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องโหดร้ายประเภทนี้ได้ สุดยอดนักพรตอินหยางเช่นเซียวจินข่านอาจสามารถทำนายได้ แต่หากคนผู้หนึ่งใช้ชีวิตโดยอาศัยผลการทำนายตลอดเวลา เกรงว่าเขาคงไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะก้าวออกจากประตูบ้าน อย่างน้อยหลังจากหลิวรุ่ยอิ่งผ่านพ้นอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ปลดปล่อยความสามารถมากมายที่ก่อนหน้านี้มองไม่เห็น
“ข้าไม่อาจควบคุมสิ่งที่พบเจอได้ แต่ข้ารู้เพียงว่าจะต้องกลับไปเมืองหลวงให้ได้ อีกทั้งนี่ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวข้าเท่านั้น แต่ก็เพื่อหวาหนงและท่านด้วย”
หลิวรุ่ยอิ่งพลันแย้มยิ้มกล่าว
“ข้าหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถามอย่างเหลือเชื่อ เขาใส่ใจตนด้วยหรือ
หวาหนงเป็นศิษย์หลานของเขา หลิวรุ่ยอิ่งย่อมต้องรับผิดชอบและดูแลเขา
แม้ระหว่างตนเองและหลิวรุ่ยอิ่งจะมีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ แต่นางไม่เชื่อว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะจัดให้นางอยู่ในตำแหน่งสำคัญเพียงนี้
“ใช่แล้ว! ข้าได้รับการฝากฝังจากอาจารย์ของหวาหนงว่าต้องพาเขากลับเมืองหลวงโดยไร้รอยขีดข่วน อีกทั้งข้ายังสัญญากับเกาลัดคั่วน้ำตาลด้วยว่าจะซื้อเกาลัดคั่วน้ำตาลที่อร่อยที่สุดให้นาง ซึ่งมีแค่ในเมืองหลวงเท่านั้น ส่วนท่านนั้น แต่ไรมาข้าล้วนให้ความสำคัญกับคำมั่นสัญญาระหว่างสหายเสมอ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“หวาหนงเป็นศิษย์หลานของท่าน เกาลัดคั่วน้ำตาลก็ซื้อของอร่อยให้ แต่สำหรับข้ากลับเป็นคำมั่นสัญญาที่คลุมเครือ ช่างขอไปทีจริงๆ…”
เจ้าหมิงหมิงกลอกตาพูดพึมพำ อารมณ์หดหู่ลงอย่างไม่อาจสังเกตเห็น ในใจยังเคืองเกาลัดคั่วน้ำตาลที่ถูกจำได้ว่าจะซื้อของอร่อยให้
“นี่เป็นหนที่สองที่ข้ารับปากเรื่องบางอย่างกับสหาย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
ยามนี้มือเขากลับคืนสู่อุณหภูมิปกติแล้ว จึงยกจอกสุราขึ้นมาดื่มรวดเดียว
“หนแรกคือผู้ใด เมื่อใดหรือ”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
สตรีมักจะอ่อนไหวกับลำดับก่อนหลังเสมอ…
หนึ่งวันมีสิบสองชั่วยาม ทั้งๆ ที่หลายเรื่องจะทำก่อนหลังก็ไม่ได้แตกต่างกัน แต่ในสายตาของสตรี นี่เป็นเรื่องใหญ่อย่างยิ่ง
อย่างเช่น วันนี้ต้องเดินเล่น กินข้าวและดื่มสุรา
ต่อให้สลับลำดับเป็นกินข้าว ดื่มสุรา เดินเล่นก็ไม่ใช่ปัญหา
แต่สตรีมักจะรู้สึกว่าหากเรื่องของตนถูกวางไว้ลำดับที่สองหรือสาม เช่นนั้นย่อมเป็นปัญหาใหญ่จะต้องโต้เถียงและแย่งชิงลำดับก่อนหลังจึงจะยอมแพ้
“คนแรกคือเซียวจินข่าน เรื่องแรกก็คือ ‘พาหวาหนงศิษย์ของเขากลับเมืองหลวง’”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างจนปัญญายิ่งนัก
“อ๋อ…”
เจ้าหมิงหมิงลากเสียงยาวตอบรับ
นางไม่อาจโต้แย้งคนผู้นี้และเรื่องนี้ได้
แม้จะไม่อาจโต้แย้ง แต่ก็ไม่สามารถหยุดนางจากการแสดงอาการไม่พอใจได้
ในสายตาสตรี คำตอบที่ดีที่สุดคือไม่มีลำดับก่อนหลัง ทั้งหมดมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
นางอาจจะถามอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้งว่ารักหรือไม่ รักตนมากเพียงใด หากตอบว่ารักที่สุด เช่นนั้นก็เท่ากับคว่ำหม้อข้าวตนเอง อย่าหวังว่าจะได้กินข้าวดีๆ เลย…มีคนที่รักมากที่สุด เช่นนั้นก็ย่อมมีคนที่ไม่ค่อยรักสักเท่าใด ไม่ค่อยรักก็ยังยึดครองคำว่ารักอยู่ดี ไม่ว่าการวิเคราะห์เช่นนี้จะสมเหตุสมผลหรือไม่ แต่สตรีส่วนใหญ่ในใต้หล้าต่างก็คิดเช่นนี้
ใช่ว่าส่วนน้อยไม่คิด คิดแต่แค่ไม่พูดเท่านั้น คำตอบที่ถูกต้องสำหรับคำถามนี้เพียงคำตอบเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ ‘รักเพียงเจ้า’ หากสิ่งใดขึ้นชื่อว่า ‘หนึ่งเดียว’ สำหรับสตรีแล้วย่อมราบรื่นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามปัญหาใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นนี้เป็นการเดิมพันแห่งวาทศิลป์ทางอารมณ์ระหว่างชายหญิง
“ข้าสามารถติดตามท่านไปตลอดทางได้หรือไม่ หรือเราจะนัดหมายเวลาพบกันที่เมืองหลวงเล่า”
เจ้าหมิงหมิงดื่มสุราหนึ่งจอกและเอ่ยถามต่อ
“เรื่องนี้ ข้าต้องขอคำชี้แนะจากเบื้องบน…อย่างที่ท่านรู้ สถานะของข้าค่อนข้างพิเศษ…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอ้อมแอ้ม
เขาระมัดระวัง กลัวว่าจะทำให้เจ้าหมิงหมิงขุ่นเคืองอีก
“ก็ได้”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งตะลึงเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้าหมิงหมิงจะรับปากอย่างยินดีเช่นนี้
ระหว่างสตรีด้วยกันมักจะเกิดความรู้สึกดีๆ และมิตรภาพได้ยากยิ่ง
ใบหน้าสุภาพอ่อนโยนยิ่ง แต่พอหันหลังจากไป ต่างก็ถ่มน้ำลายและตำหนิต่อว่าไปพร้อมๆ กัน
สำหรับเรื่องเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งเคยเห็นเยว่ตี๋กับเถ้าแก่เนี้ยมาแล้วหนหนึ่ง…ไม่อยากเห็นมันเกิดขึ้นกับเจ้าหมิงหมิงและเยว่ตี๋เป็นหนที่สองจริงๆ ชั่วครู่หนึ่งในใจพลันกังวลเหลือเกิน ถึงขั้นรู้สึกว่าหากเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมกัน เรื่องไม่คาดคิดอาจจะเป็นการโต้เถียงระหว่างสตรีสองคนนี้ก็เป็นได้
“ท่านคิดสิ่งใดอยู่”
เจ้าหมิงหมิงโบกมือตรงหน้าหลิวรุ่ยอิ่งแล้วเอ่ยถาม
นางมองหลิวรุ่ยอิ่งด้วยแววตาหม่นหมองและขมวดคิ้วบ่อยครั้ง ราวกับมีเรื่องกวนใจที่พูดไม่ได้
“ข้ากำลังคิดหาเส้นทางกลับไป”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
แน่นอนว่าไม่จริง เจ้าหมิงหมิงก็ฟังออกเช่นกัน หลิวรุ่ยอิ่งโกหกไม่เก่งจริงๆ การปิดบังที่งุ่มง่ามเช่นนี้กลับทำให้เขาดูน่าเอ็นดูยิ่งขึ้นในสายตาเจ้าหมิงหมิง
“ทางกลับไปไม่ใช่ทางเดียวกับที่ท่านมาหรอกหรือ”
เจ้าหมิงหมิงย้อนถาม
“มีสองเส้นทางให้กลับไป…ทางแรกคือทางด่วนหลวงที่ข้าเดินทางจากเมืองหลวงไปเมืองติ้งซีอ๋อง ส่วนอีกทางคือเดินทางทางน้ำโดยข้ามแม่น้ำจักรพรรดิ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
แต่ทางด่วนหลวง ไม่มีทางกลับให้เดินทางไปได้
หลังจากห้าอ๋องปกครองร่วมกัน ฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าลงแรงสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านเสียงส่วนใหญ่ จุดประสงค์คือหากเกิดความโกลาหลในใต้หล้า ทัพสามเกียรติที่เก่งกาจที่สุดในเมืองหลวงจะสามารถรุดหน้าไปช่วยเหลือสถานที่ต่างๆ ตามทางด่วนหลวงได้ แม้แต่อาณาจักรติ้งซีและอาณาจักรเจิ้นเป่ยที่ไกลที่สุด ทัพแนวหน้าก็ยังสามารถมาถึงตอนรุ่งสางและพลบค่ำได้
ราษฎรทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางบนทางด่วนหลวง ทั้งนี้มีการตั้งหอสังเกตการณ์ทุกสิบลี้ ช่วงเวลาระหว่างนี้นายทหารจะลาดตระเวนตลอดเช้าค่ำเพื่อความปลอดภัย
ทางด่วนหลวงทั่วหล้ามีเพียงสี่สายเท่านั้น แบ่งออกเป็นจากเมืองหลวงไปยังอาณาจักรอ๋องอื่นๆ แต่ฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าเห็นแก่ตนเล็กน้อย นั่นคือถนนพิเศษสี่สายนี้สามารถเดินทางจากเมืองหลวงไปยังอาณาจักรสี่อ๋องได้ในทิศทางเดียว ไม่สามารถเดินทางย้อนอาณาจักรสี่อ๋องมายังเมืองหลวงได้
การทำเช่นนี้ไม่เพียงแค่รักษาความปลอดภัยของเมืองหลวงเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในมาตรการของหลิวจิ่งเฮ่าเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเป็นผู้นำแห่งห้าอ๋อง อย่างไรเสียทัพสามเกียรติก็สามารถมาถึงในเวลารุ่งสางและพลบค่ำได้ หากสี่อ๋องที่เหลือใช้ทางด่วนหลวงก็สามารถใช้กำลังทหารต้อนม้าได้ เมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้
นอกจากทางด่วนหลวงแล้ว ถนนหลักที่สร้างขึ้นอย่างสมเหตุสมผลในอาณาจักรห้าอ๋องคือถนนสายตรง เทียบกับทางด่วนหลวงแล้วแคบกว่ามากนัก แต่ก็เพียงพอให้รถม้าที่ใช้ม้าสามตัวผ่านไปได้ โดยทั่วไปเมื่อตระกูลขุนนางและเจ้าหน้าที่จะเดินทางล้วนเลือกถนนสายตรง ตราบใดที่จ่ายเงินไม่กี่ตำลึงก็สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกและสบายใจ ไฉนจะไม่ยินดีเล่า
แต่สำหรับประชาชนทั่วไป หากเดินทางไกลคงไม่เต็มใจเสียเงิน และยังวิพากษ์วิจารณ์ถนนสายตรงมาระยะหนึ่งแล้ว…แม้จะกล่าวกันว่าดินแดนทั่วหล้าไม่ได้เป็นของอ๋อง แต่หากเหยียบพื้นดินกลับถูกเรียกเก็บภาษี เช่นนั้นห้าอ๋องก็คงไร้เหตุผลเกินไป
ไม่ว่าจะสมเหตุสมผลเพียงใด ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับ ‘เงินตรา’ ก็ถือเป็นการเอารัดเอาเปรียบและการปล้นชิงอย่างหนึ่ง
“แม่น้ำจักรพรรดิหรือ เหมือนข้าจะเคยได้ยินมาก่อน”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินดังนี้จึงก้มหน้าและกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เขาไม่รู้จะอธิบายแม่น้ำจักรพรรดิให้เจ้าหมิงหมิงฟังอย่างไร อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นสตรี หากพูดตรงเกินไปนักย่อมไม่ใช่เรื่องดี…ยิ่งกว่านั้นเจ้าหมิงหมิงจะต้องถามเขาเป็นแน่ ในเมื่อเป็นสถานที่ที่จะไป ไฉนเจ้าจึงยืนกรานที่จะไปเล่า
………………………………………………………….