ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 515 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-22
บทที่ 515 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-22
……….
“คุณหนูท่านลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ แม่น้ำจักรพรรดิก็อยู่ในหมู่เรือเที่ยว เรือทุกลำมีแต่นางคณิกาประชันความงามกันเต็มไปหมด ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่เริงรมย์ที่สุดในใต้หล้าอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
บังเอิญว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลรู้จักสถานที่แห่งนี้ จึงตอบคำถามคุณหนูของนางเสีย
เรือเที่ยว คณิกา คำเหล่านี้เจ้าหมิงหมิงย่อมฟังเข้าใจ สายตาของนางจึงมองหลิวรุ่ยอิ่งแปลกๆ เล็กน้อยและเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นายกองหลิวอารมณ์สุนทรีย์เสียจริง!”
“ในเมื่อออกมาข้างนอกแล้ว ก็อยากจะลองไปดูสักครั้ง…”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดกระท่อนกระแท่น เสียงอ่อนลงเล็กน้อย
“ที่นั่นสนุกหรือ”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถามทันควัน จ้องหลิวรุ่ยอิ่งไม่วางตา ไม่ปล่อยอารมณ์ใดไปแม้แต่น้อย กังวลอยู่เสมอว่าคำพูดและท่าทีของเขาจะไม่ตรงกัน แววตาจึงเป็นสิ่งที่สามารถมองผู้คนได้ทะลุปรุโปร่งที่สุด
“ข้าก็ไม่รู้…แต่ด้วยชื่อเสียงเลื่องลือเพียงนี้ คิดว่าน่าจะไม่เลวทีเดียว มีชื่อเสียงย่อมดีจริง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ในเมื่อนายกองหลิวกล่าวถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าก็อยากจะไปดูเสียหน่อย!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวพลางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย นางก็อยากจะดูนักว่าสตรีเช่นใดที่งดงามยิ่งกว่านาง
แม้จะอยู่ภายใต้แสงสลัว เส้นกล้ามเนื้องดงามบนคอระหงก็เผยให้เห็นอย่างชัดเจน หลิวรุ่ยอิ่งอดมองอย่างหลงใหลไม่ได้
ในเวลานี้เอง เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา ซุนเต๋ออวี่และเยว่ตี๋ก็เดินเข้ามา
สีหน้าทั้งสามคนผ่อนคลาย ดูเหมือนจะมีความสุขที่ได้สนทนากัน
หลิวรุ่ยอิ่งลุกขึ้นทักทาย เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเดินถึงเบื้องหน้าก่อนและตบไหล่หลิวรุ่ยอิ่งอย่างแรง
หลิวรุ่ยอิ่งมองเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาอย่างเก้อกระดาก คิดไม่ถึงว่าเขาจะยิ้มบางๆ ให้ตน
“เกาเหรินคงไปได้ไม่ไกล นายกองหลิวยินดีนำเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อข้าได้หรือไม่”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยถาม
เพิ่งสิ้นเสียง สายตาหลิวรุ่ยอิ่งพลันเบือนไปหาเยว่ตี๋
แม้ว่าเขาจะเป็นเจิ้นเป่ยอ๋อง แต่เขาก็ไม่อาจสั่งการคนของกรมสอบสวนกลางได้โดยตรง หลิวรุ่ยอิ่งยังต้องรอให้เยว่ตี๋อนุมัติก่อน แต่เขาพลาดสิ่งหนึ่งไป เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาสามารถพูดออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ได้ ย่อมต้องหารือกับเยว่ตี๋มาก่อนแล้วเป็นแน่
ดังคาด หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งสบตากับเยว่ตี๋ก็เห็นว่านางพยักหน้าให้เขา
“กระหม่อมยินดีน้อมรับภารกิจพ่ะย่ะค่ะ!”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นดังนี้จึงรีบยกกระบี่ประสานมือกล่าวพลางค้อมกายคำนับเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา
“ไปทำธุระเถิด ข้าก็จะเตรียมพักผ่อนแล้ว!”
เจ้าหมิงหมิงหยัดกายขึ้นหลังจากพยักหน้าให้ทั้งสามคนแล้วพูดกับหลิวรุ่ยอิ่ง
“หากข้ากลับมาแล้วเจ้ายังไม่นอน พวกเราค่อยมาดื่มกัน!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เจ้าหมิงหมิงยิ้มแต่ไม่ตอบ ทว่าเดินไปทางเถ้าแก่เนี้ยแทน
แต่ก่อนจะออกจากโต๊ะยังกำชับเกาลัดคั่วน้ำตาลว่าอีกเดี๋ยวให้นำสุราบนโต๊ะที่ยังดื่มไม่หมดไปไว้ในห้อง
ขณะที่หลิวรุ่ยอิ่งกำลังจะออกจากร้านไปอย่างเร่งรีบ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าตนไม่รู้ตำแหน่งของเกาเหริน แม้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาจะบอกว่าเขาออกไปได้ไม่ไกล แต่ทะเลทรายโกบีกว้างใหญ่ ทุกหนแห่งดูโล่งกว้าง หากไม่มีตำแหน่งที่แม่นยำย่อมเป็นการงมเข็มในมหาสมุทร ท้ายที่สุดไม่เพียงแต่จะไม่พบเกาเหริน ตนก็อาจจะกลับมาไม่ได้ด้วยซ้ำ…
“ไม่ต้องสนใจว่าเขาอยู่ที่ใด เจ้าแค่เชื่อมั่นในตนเองว่าจะตามหาเขาพบก็เพียงพอแล้ว”
คำพูดของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไล่ตามหลังหลิวรุ่ยอิ่งมา
ทำให้เขาที่กำลังลังเลอยู่หน้าประตูได้สติได้สติขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อเท้าขวาก้าวข้ามธรณีประตู เท้าซ้ายก็ก้าวตามไปข้างหน้าทันที ก้าวฉับๆ อย่างรวดเร็วจนร่างควบอยู่บนอานม้าอย่างมั่นคง
หลิวรุ่ยอิ่งเหลือบมองทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตรงข้ามกับจุดที่แสงจันทร์กำลังขึ้นในยามนี้พอดี
แส้ม้าฟาดลงและเสียงคมชัดดังขึ้นในยามค่ำคืน ขัดจังหวะเสียงหวีดหวิวของลมชั่วครู่และตามด้วยเสียงกีบม้าเป็นระยะ
ในร้านของเถ้าแก่เนี้ย
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา ซุนเต๋ออวี่และเยว่ตี๋นั่งอยู่หน้าโต๊ะของเจ้าหมิงหมิงก่อนหน้านี้
ค่ำคืนนี้จะไม่นอน
ยิ่งกว่านั้นหลังจากประสบกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญเหล่านี้ ไม่มีผู้ใดรู้สึกง่วงงุนทั้งสิ้น
“เหตุใดจิ้นเผิงยังไม่กลับมาเล่า”
ซุนเต๋ออวี่เอ่ยปากถามทำลายความเงียบ
“ไม่รู้”
เยว่ตี๋ตอบเรียบง่ายนัก
คำว่าไม่รู้นี้ ไม่ใช่เพราะนางยังมีอคติต่อซุนเต๋ออวี่ แต่นางไม่รู้จริงๆ
คนผู้หนึ่งออกจากกรมสอบสวนกลางปุบปับและมาเป็นหัวหน้าอาคารในเมืองหยางเหวินที่เล็กและห่างไกล เช่นนั้นการกระทำของเขาก็มีเพียงตัวเขาที่รู้
แต่ขณะที่คำว่า ‘ไม่รู้’ ออกจากปากเยว่ตี๋ กลับมีเสียงฝีเท้าหนักยิ่งดังขึ้นสามครั้ง แต่ละครั้งตรงกับจังหวะพูดของเยว่ตี๋อย่างประจวบเหมาะ ทันทีที่พูดจบก็มีร่างหนึ่งยืนอยู่ข้างโต๊ะ เป็นจิ้นเผิง
สามคน ดวงตาสามคู่ ในยามนี้กำลังจ้องเขาอยู่
อาภรณ์จิ้นเผิงสมบูรณ์ดี กระบี่ยาวในมือเก็บเข้าฝัก
แม้แต่เส้นผมก็ยังเรียบร้อยมากและไม่หลุดลุ่ยสักเส้น
สภาพเช่นนี้ไหนเลยจะเหมือนเพิ่งผ่านการต่อสู้มา? แต่กลับดูคล้ายนายน้อยผู้ร่ำรวยเพิ่งตื่นนอนโดยมีสาวใช้ช่วยขัดสีฉวีวรรณให้มากกว่า
“เหตุใดเจ้าถึงกลับมาคนเดียว”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
จิ้นเผิงก็เป็นคนจากกรมสอบสวนกลางเช่นกัน หากนางไม่เอ่ยปากก่อน เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาและซุนเต๋ออวี่ก็ไม่อาจเอ่ยได้
“ไม่สู้ท่านถามข้ามาตรงๆ ว่าจิ้งเหยาไปไหนแล้วจะดีกว่า”
จิ้นเผิงกล่าว
“จิ้งเหยาไปไหนแล้ว”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
นางรู้ว่านิสัยของจิ้นเผิงแปลกนัก
วิธีเดียวที่จะจัดการคนนิสัยแปลกประหลาดได้ก็คือทำตามนิสัยของเขา ฉะนั้นเยว่ตี๋ที่เด็ดขาดมาโดยตลอดจึงเปลี่ยนวิธีถามอีกครั้ง
“ไปแล้ว”
จิ้นเผิงกล่าว
กระชับตรงประเด็น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทั้งสามคนต่างขมวดคิ้วทันที
คำว่า ‘ไปแล้ว’ มีความหมายกว้างเกินไป…
จิ้นเผิงอาจพ่ายแพ้ทำให้จิ้งเหยาหนีไปได้ หรือจิ้นเผิงอาจจงใจพ่ายแพ้และขายความลับเพื่อให้จิ้งเหยาหลบหนีไปได้ สถานการณ์ทั้งสองนี้สามารถสรุปด้วยคำว่า ‘ไปแล้ว’ ได้ แต่สถานการณ์แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร นอกจากจิ้นเผิงแล้วก็ไม่มีใครรู้
“ข้าปล่อยไปแล้ว”
จิ้นเผิงกล่าว
จากนั้นวางกระบี่ของตนลงบนโต๊ะ
เยว่ตี๋จำได้ชัดเจนว่าก่อนหน้านี้เขาสวมชุดลำลอง แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบของกรมสอบสวนกลางแล้ว
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาและซุนเต๋ออวี่ไม่รู้ว่าเขาจะทำสิ่งใด ส่วนเยว่ตี๋เริ่มกุมหน้าผากพลางถอนหายใจ
หลังจากจิ้นเผิงวางกระบี่ยาวในมือ ก็ปลดเข็มขัดของตนออกด้วย
ตามด้วยถอดเครื่องแบบราชการบนกายออก พับอย่างเรียบร้อยแล้ววางไว้ข้างกระบี่ยาวของตน ส่วนเข็มขัดและเหรียญตรากรมสอบสวนก็โยนบนมันลงบนเสื้อผ้า จากนั้นถอยไปสองสามก้าวแล้วคุกเข่าลง
“ข้าเป็นคนปล่อยไปเอง จะจัดการเช่นไรล้วนขึ้นอยู่กับใต้เท้าผู้กำกับการกรม”
จิ้นเผิงกล่าวพลางมองเยว่ตี๋
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาและซุนเต๋ออวี่จับต้นชนปลายไม่ถูก…พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนของกรมสอบสวนจึงสมรู้ร่วมคิดกับผู้นำหน่วยแห่งราชสำนักทุ่งหญ้า ประเด็นสำคัญที่สุดคือ หลังจากที่เขาปล่อยจิ้งเหยาไป ก็ยังกลับมาสารภาพความผิดอย่างเปิดเผย ไม่ใช่ว่าควรติดตามจิ้งเหยาไปราชสำนักทุ่งหญ้าหรอกหรือ
“เพราะเหตุใด”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยถามจริงจังยิ่งนัก
ซุนเต๋ออวี่แทบจะไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของเขามาก่อน มองออกว่าท่านอ๋องจอมเกียจคร้านผู้นี้สนใจเรื่องเบี้ยหวัด โดยเฉพาะเรื่องของจิ้งเหยาเป็นพิเศษ
“กระหม่อมไม่ใช่คนที่แยกแยะเรื่องส่วนตัวและส่วนรวมได้ แต่กระหม่อมรู้ว่าบุญคุณต้องทดแทนพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งเผิงกล่าวพลางส่ายหน้า
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เต็มใจอธิบายเรื่องนี้เท่าไรนัก
ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ทิ้งกระบี่ถอดเสื้อผ้ารับผิดทันทีที่เข้ามาเป็นแน่
“จิ้งเหยามีบุญคุณต่อเจ้าหรือ”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยถาม
แต่จิ้นเผิงนิ่งเงียบ เอาแต่มองสองมือของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ท่านอ๋อง เขาเป็นคนของกรมสอบสวนเรา ใต้เท้าผู้บังคับการกรมย่อมให้คำอธิบายแก่ท่านอย่างแน่นอนเพคะ”
เยว่ตี๋กล่าว
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาได้ยินแล้วพลันหัวเราะขึ้นมา ทั้งยังลุกขึ้นยืนและพยุงจิ้งเผิงให้ลุกขึ้น
“ข้าเพียงอยากรู้เรื่องเดียว จิ้งเหยาไปที่ใดแล้ว”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยถาม
“ข้าคิดว่านี่ไม่ใช่คำถามที่ยากและข้าก็อยากจะรู้มากจริงๆ”
“แม้กระหม่อมจะปล่อยเขาไป แต่ขณะเดียวกันก็ต้องให้คำมั่นสัญญาด้วย เขารับปากว่าหลังจากกลับไปราชสำนักทุ่งหญ้าคราวนี้จะไว้ทุกข์สามปีให้มารดาของเขาที่ล่วงลับไปตามธรรมเนียมอาณาจักรห้าอ๋องของเราพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้ที่บิดามารดาล่วงลับ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือพลเรือนจะต้องไว้ทุกข์แสดงความกตัญญู สามปีเป็นระยะเวลาที่พอเหมาะ แต่ก็ยังไม่มากพอเมื่อเทียบกับพระคุณในการอบรมเลี้ยงดูของบิดามารดา จำต้องใช้รูปแบบและวิธีเช่นนี้เพื่อไว้ทุกข์เท่านั้น
ชาวทุ่งหญ้าย่อมไม่มีธรรมเนียมเช่นนี้ พวกเขาเชื่อว่าหลังจากที่บรรพบุรุษล่วงลับไปจะกลายเป็นดวงวิญญาณพุ่งเข้าสู่กองไฟที่ลุกโชนไม่มีวันดับของชนเผ่า คอยอวยพรและปกป้องลูกหลาน ฉะนั้นในใจจิ้งเหยา มารดาของเขาจึงยังไม่ล่วงลับไป เพียงแต่เปลี่ยนแนวทางในการติดตามเขาและส่องแสงสว่างให้ทั้งเผ่าต่อไป
“เขารับปากแล้วหรือ”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยถาม
จิ้นเผิงพยักหน้า
“ได้! ข้าเชื่อเจ้า ทั้งยังเชื่อว่าเขาจะต้องทำได้!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าวหัวเราะร่าพลางลูบฝ่ามือ
ครั้นเห็นท่าทางที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นนี้ของท่านอ๋อง ซุนเต๋ออวี่ก็ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรกันแน่
“จิ้นเผิงไร้ความผิดในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง หากพวกเจ้ากรมสอบสวนต้องการให้เขารับผิดชอบ เช่นนั้นก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าแล้ว ไม่เกี่ยวกับข้า”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาพูดกับเยว่ตี๋
ประโยคนี้เป็นการตัดสินที่จิ้นเผิงปล่อยจิ้งเหยาไปโดยพลการ
เยว่ตี๋กัดริมฝีปากแน่น ไม่เอ่ยวาจา
นางสับสนอย่างยิ่งเช่นกัน
ปล่อยจิ้งเหยาไปโดยพลการ ไม่ใช่ความผิดเพียงเล็กน้อยเลย