ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 516 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-23
บทที่ 516 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-23
……….
กรมสอบสวนสามารถให้อภัยที่เขาดื่มสุรา และสามารถเพิกเฉยต่อการเลือกออกจากตำแหน่งโดยพลการได้ แต่ไม่มีโอกาสแก้ต่างในเรื่องที่สมรู้ร่วมคิดกับราชสำนักทุ่งหญ้าเช่นนี้
หากจิ้นเผิงกลับกรมสอบสวนไปพร้อมกับตน เกรงว่าจะถูกขังคุกทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตู สถานที่แห่งนั้นเมื่อก้าวเข้าไปแล้วออกมาได้ยากนัก…ยิ่งกว่านั้นครั้งนี้เขาสร้างปัญหาใหญ่หลวงให้ตนเองอีกต่างหาก
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาส่งสายตาให้ซุนเต๋ออวี่ ทั้งสองผุดลุกจากไปอย่างรู้หน้าที่ และมุ่งหน้าขึ้นไปชั้นบน บันไดในร้านถูกทำลายระหว่างการต่อสู้ ทั้งสองจึงทะยานขึ้นแล้วเดินเข้าห้องอย่างง่ายดายไปตามๆ กัน
“เจ้าไปเถิด”
ครั้นได้ยินเสียงปิดประตูดังจากชั้นบน เยว่ตี๋จึงหยิบกระบี่บนโต๊ะยื่นให้จิ้นเผิง นิ้วที่กำกระบี่เปลี่ยนเป็นสีขาวซีด
“ไปหรือ”
จิ้นเผิงไม่เข้าใจอย่างยิ่งและไม่ได้รับเอากระบี่ สายตาจับจ้องดวงตาแวววาวของเยว่ตี๋
เขาไม่รู้ว่าตนเองจะไปที่ใดได้อีก ยิ่งกว่านั้นเขาก็ไม่อยากไป
“มีชีวิตให้รอดเท่าที่จะทำได้ เหตุใดต้องกลับไปให้ถูกตัดสินจำคุกและรับโทษด้วยเล่า”
เยว่ตี๋กล่าว
“ท่านเป็นห่วงข้าหรือ”
จิ้นเผิงดีใจเล็กน้อย ทว่าริมฝีปากยังคงปกติ
“อย่างไรเสียในฐานะสหาย ข้าไม่อยากเห็นเจ้าติดคุก…”
เยว่ตี๋จงใจเน้นคำว่าสหาย แต่คำพูดนุ่มนวลยิ่งนัก
บอกว่าเป็นสหาย แต่ความกังวลที่ไม่เป็นธรรมชาติบนใบหน้ากลับทรยศหัวใจนาง
ทั้งสองพลันเงียบขึ้นมา
จิ้นเผิงรู้สถานการณ์ของตนเป็นอย่างดี
“เอาเช่นนี้แล้วกัน…หากกลับไปแล้วเรื่องไม่มีการพลิกผันใดๆ ท่านก็ชักกระบี่ฆ่าข้าเสีย การติดคุกก็เป็นทางตันอยู่แล้ว แทนที่จะอัดอั้นเช่นนั้น ไม่สู้ตายใต้กระบี่ท่าน ไม่ได้มีคำกล่าวที่ว่าเพื่อหญิงงามแล้วแม้ตายก็ยินดีหรอกหรือ”
จิ้นเผิงพูดพลางหัวเราะ
จนถึงยามนี้เขาก็ยังหัวเราะออกมาได้ จำต้องบอกว่าความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ไม่มีใครเทียบได้
“เขามีบุญคุณใดต่อเจ้ากันแน่ เจ้าจึงทำเพื่อเขาได้ถึงเพียงนี้”
เยว่ตี๋ไม่เข้าใจ มีผู้ใดหรือเรื่องใดที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตนอีกหรือ
“ท่านจำเหตุการณ์ในตอนนั้นได้หรือไม่”
จิ้นเผิงเอ่ยถาม
ทว่าแค่เปรยถึง ไม่ได้พูดจนหมดเปลือก
ร่างกายเยว่ตี๋พลันสั่นสะท้าน จากนั้นเข้าใจในทันใด
“เฮ้อ…”
นางถอนหายใจลึกๆ
เรื่องนั้นในปีนั้น จิ้นเผิงสามารถรอดชีวิตกลับมาได้ อีกทั้งร่างกายยังคงสภาพสมบูรณ์เกินความคาดหมายของทุกคน ต้องรู้ว่าพิธีรำลึกที่กรมสอบสวนกลางจัดเตรียมให้เขาในเบื้องต้นได้เสร็จสิ้นแล้ว…เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งต่อหน้าฝูงชนโดยไร้รอยขีดข่วน ผลกระทบนี้รุนแรงเพียงใดย่อมไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้
“หากเป็นเช่นนี้…ก็ควรค่า!”
เยว่ตี๋กล่าว
แม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่นางก็ไม่อยากให้จิ้นเผิงถูกส่งเข้าคุกและยิ่งไม่ยอมให้เขาตายภายใต้กระบี่ของตน
กระบี่มีไว้ต่อกรกับศัตรู จะฟาดฟันใส่สหายได้อย่างไร
ผู้ที่แกว่งกระบี่ใส่สหายไม่มีทางอายุยืนเป็นแน่…แม้ว่าเยว่ตี๋ไม่ต้องการมีชีวิตยืนยาว เพราะสตรีชราหนึ่งปีย่อมอัปลักษณ์ขึ้นหนึ่งส่วน นางอยากตายอย่างงดงามที่สุดในช่วงเวลาที่งามบานสะพรั่งที่สุดของตน แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่อาจโน้มน้าวให้ตนเองแกว่งกระบี่ใส่สหายได้ อีกทั้งนางยังรู้ด้วยว่าจิ้นเผิงก็มีความคิดเช่นเดียวกับตน ล้วนไม่ต้องการมีชีวิตยืนยาวเกินไป
มีใครในโลกนี้บ้างที่ไม่ชอบมีอายุยืนยาว ยามนี้และที่แห่งนี้ก็มีเพียงคนทั้งสองที่นั่งเผชิญหน้ากัน ปล่อยให้จิ้นเผิงตายเงียบๆ ในคุก ไม่สู้ให้เยว่ตี๋แทงกระบี่ทะลุคอหอยยามที่พบหน้าผู้บังคับการกรมเว่ยฉี่หลิน
แม้วิธีการตายเช่นนี้ไม่อาจกล่าวได้ว่าสะเทือนเลือนลั่นสักเท่าใด แต่หากเยว่ตี๋ตัดสินใจทำเช่นนี้ก็จะต้องเป็นตอนที่ปลายกระบี่ทะลุคอหอยของจิ้นเผิง เพียงสะบัดข้อมือแล้วออกแรงหมุนคว้านสองสามที เช่นนี้จะทำให้บาดแผลขยายใหญ่และเลือดไหลทะลักมากขึ้น
ตราบใดที่เลือดของจิ้นเผิงสาดกระจายบนพื้นห้องโถงกรมสอบสวนกลางก็นับว่าสะเทือนเลือนลั่นแล้ว หากโชคดีก็อาจสาดกระเซ็นบนเสาในห้องโถง นั่นจะไม่ยิ่งทำให้ชื่อเสียงเลื่องลือขึ้นอีกหรือ
“เรื่องของเจ้าข้าไม่อาจตัดสินเหตุผลถูกผิดได้…หากดึงดันจะกลับเมืองหลวง เช่นนั้นก็สวมเสื้อผ้า คาดเข็มขัดให้เรียบร้อย หลังจากกลับไปแล้วก็รอให้ใต้เท้าผู้บังคับการกรมลงโทษเถิด”
เยว่ตี๋กล่าว
……………………….
หลิวรุ่ยอิ่งควบม้าสะบัดแส้ทะยานไปตามทิศทางที่ตนเลือก
ค่ำคืนมืดสนิท ก่อนดวงจันทร์ใกล้จะสลับกับดวงอาทิตย์เป็นช่วงเวลาที่มืดที่สุด หลิวรุ่ยอิ่งมองเห็นถนนเบื้องหน้าไม่ชัดเจนนัก โชคดีที่บนทะเลทรายโกบีไม่มีสิ่งกีดขวาง และม้าของเขาก็ยังเป็นม้าจากที่ทำการเมืองหยางเหวินซึ่งนับว่าได้รับการฝึกฝนอย่างดีและแสนรู้ระดับหนึ่ง
สิ่งเดียวที่หลิวรุ่ยอิ่งทำได้คือจับสายบังเหียนมือเดียวให้มั่น ส่วนอีกมือหนึ่งจับกระบี่ยาวระหว่างเอวที่สั่นไหวอย่างรุนแรงตามจังหวะขึ้นลงของร่างกาย
ความกดอากาศยามค่ำคืนหนักหน่วงทำให้เขาหายใจกระชั้นเล็กน้อย ราวกับว่าที่ควบทะยานอยู่ไม่ใช่ม้าใต้ร่าง แต่เป็นตัวเขาเอง อากาศที่สูดเข้าจมูกในยามนี้เหนียวหนืดยิ่งนัก ไม่ได้ตรงสู่ปอดอย่างราบรื่นเหมือนก่อนหน้านี้ แต่รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ราวกับเป็นเยื่อบางๆ ที่ติดอยู่ในร่างกายเขาอย่างแน่นหนา
ความรู้สึกเช่นนี้อธิบายยากจริงๆ และหลิวรุ่ยอิ่งก็พบว่าตนเองจนปัญญาไร้วิธีแก้ปัญหา หากต้องการแก้ไขปัญหาหนึ่ง จำต้องรู้ต้นตอของปัญหาเสียก่อน แต่น่าเสียดายนักที่เขาไม่รู้ แต่เมื่อไม่รู้ปัญหาแท้จริงแน่ชัด เขาก็ยังมีวิธีสุดท้ายที่ทำได้นั่นก็คือการหยุด
เมื่อความรู้สึกไม่สบายตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วของหลิวรุ่ยอิ่งก็ยิ่งช้าลงเรื่อยๆ เช่นกัน…จนในที่สุดเขาทำได้เพียงหยุดม้า โก่งหลังและนั่งหอบหายใจแรงๆ บนอานม้า
ทันใดนั้นเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นความง่วงงุนปะทะเข้ามา ทำให้เขาไม่สามารถลืมตาได้เล็กน้อย ร่างกายอ่อนแรงจนเกือบจะร่วงตกจากหลังม้าอยู่รอมร่อ ในความมึนงงเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกเหมือนมีใยแมงมุมก่อตัวขึ้นจากกาลเวลาล้อมอยู่รอบตัว ไม่ว่าจะวันเวลา หรือตะวันจันทร์ดาราล้วนถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่ข้างกายเขา ภายใต้การชี้นำที่ล่องลอยนี้
หากยามนี้หลิวรุ่ยอิ่งมีสติคงเบิกตากว้างมองไปรอบๆ เป็นแน่ แม้ว่าจะยังคงมืดมิดและหนืดแน่น และไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใดๆ แต่เขาก็จะยังทำเช่นนี้ ราวกับว่าสามารถรับรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่รู้ในยามท้องฟ้าสว่างสดใสได้ในชั่วพริบตา
“ในเมื่อเหนื่อยแล้ว เหตุใดจึงไม่ลงจากม้าแล้วพักสักครู่เล่า”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางราตรีมืดมิด
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้สึกถึงความแปลกประหลาดใดๆ
ในทางกลับกันเป็นเพราะเสียงนี้พลันทำให้สภาพแวดล้อมรอบๆ หลิวรุ่ยอิ่งผ่อนคลายลงเล็กน้อย แรงกดดันต่อเขาเบาบางลงไปมากทีเดียว
สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ เขาฟังคำแนะนำของเสียงนี้และพลิกตัวลงจากม้ามายืนอยู่บนพื้น เมื่อครู่เขาได้ยินไม่ชัดว่าเสียงมาจากทางไหน แต่มั่นใจมากว่าเสียงนั้นอยู่ไม่ไกลและเป็นเกาเหรินอย่างไม่ต้องสงสัย
‘พรึ่บๆ…’
แสงไฟสว่างโร่ หลิวรุ่ยอิ่งเห็นโต๊ะและเก้าอี้แกะสลักสองตัววางอยู่ไกลออกไปหนึ่งจั้งทางด้านขวาของตน บนโต๊ะมีสุราวางอยู่และมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ เพียงแต่ว่ารูปร่างของคนผู้นี้แคระแกร็นเกินไป…เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ ความสูงของโต๊ะก็อยู่ตรงตำแหน่งไหล่ของเขาแล้ว แต่เขากลับพยายามวางสองแขนของตนไว้บนโต๊ะและยันศีรษะไว้ ฉากนี้จึงดูน่าขันสำหรับหลิวรุ่ยอิ่งยิ่งนัก…ดูเหมือนทั้งร่างของเกาเหรินจะรองรับด้วยแขนสองข้าง เก้าอี้ใต้บั้นท้ายก็ถูกลดขนาดลงจนเป็นเพียงการประดับตกแต่ง บนโต๊ะมีกาและจอกสุราที่สร้างจากกลไก แต่เนื้อสัมผัสกับรูปแบบแตกต่างจากของเถ้าแก่เนี้ยที่เป็นกระเบื้องเคลือบกระดูกขาว แต่ที่วางอยู่บนโต๊ะของเกาเหรินเผาแบบเคลือบไล่ระดับ
“นายกองหลิวพบกันอีกแล้ว!”
เกาเหรินกล่าว
แต่สายตาของเขาจ้องมองตรงไปที่โต๊ะ แม้น้ำเสียงจะมีชีวิตชีวาเหมือนแต่ก่อน แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
เขาไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า…คราวก่อนที่พบกันโดยบังเอิญ เขารู้แค่ว่าระดับพลังยุทธ์ของเกาเหรินต้องไม่ด้อยเป็นแน่ แต่คราวนี้กลับได้ยินเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาบอกว่าแม้แต่เขาก็ยังตกหลุมพรางของเกาเหรินอย่างไร้สุ้มเสียง
วิธีปกป้องตนเองที่ดีที่สุดคือการรักษาระยะห่าง เหมือนกับที่รีบชักมือกลับทันทีเมื่อสัมผัสของร้อน หลิวรุ่ยอิ่งจึงยืนอยู่ที่เดิมพลางจูงม้าไว้ ไม่ก้าวไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว
“ไม่ใช่คนแปลกหน้ากันแล้ว เหตุใดถึงยังแบ่งแยกเช่นนี้อีกเล่า”
เกาเหรินเอ่ยถาม
ในที่สุดร่างเขาก็ขยับ วางแขนสองบนโต๊ะ นั่งลงบนเก้าอี้เต็มๆ อย่างสุดเสียง ขณะเดียวกันก็หันหน้ามาเผชิญกับหลิวรุ่ยอิ่งพลางมองเขาด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม
“ท่านวางแผนลอบทำร้ายเจิ้นเป่ยอ๋องแล้วยังคิดจะลอบทำร้ายข้าด้วยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ไม่ใช่…ข้าไม่ได้วางแผนลอบทำร้ายเขา เพียงแต่สหายใหม่อยากหารือเรื่องกิจการกับเขาแต่กลับไร้หนทาง จึงมาหาข้าเพื่อให้ช่วยชี้แนะ”
เกาเหรินโคลงศีรษะพลางกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเผยรอยยิ้มหยัน…เกาเหรินถือได้ว่าเป็นคนเดียวในใต้หล้าที่สามารถเอ่ยวาจาสุกเอาเผากินด้วยมาดที่ดูสูงส่งเช่นนี้ได้!
หลังจากหลิวรุ่ยอิ่งลังเลอยู่หลายครั้งก็กัดฟันจูงม้าเดินไปข้างหน้า เพียงแต่เขาจงใจเดินอ้อมไปไกลจากอีกฝั่งหนึ่ง
“ก่อนหน้านี้ท่านจงใจรอคอยเจิ้นเป่ยอ๋อง ตอนนี้ก็จงใจรอข้าอีก คิดจะทำสิ่งใดกันแน่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เพราะข้าก็ต้องการเจรจาข้อตกลงกับเจ้าด้วย”
เกาเหรินกล่าว
“ข้าเป็นเพียงนายกองเล็กๆ ของกรมสอบสวน วาจาไร้ค่า ไหนเลยจะเจราจาด้วยได้เล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งนั่งลงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ยังจำเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างที่เจ้าพบลู่หมิงหมิง หนึ่งในเจ็ดหัตถ์เทวะขณะไปหอทรงปัญญาได้หรือไม่”
เกาเหรินเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งขมวดคิ้วแน่น คำถามนี้ทำให้เขาสับสนแปลกๆ แต่สมองพลันคิดออกอย่างรวดเร็ว
“อยู่ในเมืองเล็กๆ ถัดจากร้านตีเหล็กของเขา”
เกาเหรินกล่าว
ทันใดนั้นในหัวของหลิวรุ่ยอิ่งส่งเสียงอื้ออึง!
เขานึกออกว่ามันคือเรื่องใด แต่เรื่องนั้นดูเหมือนจะไม่ยอมให้เขานึกถึงมัน ทุกครั้งที่จิตวิญญาณของหลิวรุ่ยอิ่งต้องการสำรวจความทรงจำนั้น จะเกิดเสียงดังอื้ออึงเสียดหูขึ้นมาเป็นระลอกๆ ทำให้เขาปวดหัวแทบระเบิด
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะนึกออกแล้ว แต่เจ้าไม่รู้ว่านั่นคือสิ่งใด ใช่หรือไม่”
เกาเหรินถามต่อทันที
หลิวรุ่ยอิ่งพบว่าตราบใดที่ตนไม่เริ่มค้นหาเรื่องเก่าๆ เหล่านั้นในสมองของตน เพียงแค่ฟังสิ่งที่เกาเหรินกล่าว เสียงอื้ออึงก็จะไม่ปรากฏขึ้น ฉะนั้นจึงพยักหน้าให้เขา
“นั่นเป็นโอกาสใหญ่สำหรับเจ้า แต่ตอนนี้อาจจะยังไม่ถึงเวลา”
เกาเหรินกล่าว
“โอกาสหรือ มันคือสิ่งใดข้าก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ…”
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายศีรษะของตนอย่างแรงแล้วกล่าว
“ห้าอ๋องเพิ่งจะปกครองร่วมกันมากี่ปีเล่า จงรู้ไว้ว่าใต้หล้าผืนนี้มีอยู่มากี่ปีแล้ว แค่ราชสำนักทุ่งหญ้าและชนเผ่าป่าเถื่อนทางใต้ก็มีภูมิหลังลึกซึ้งยิ่งกว่าห้าอ๋องเสียอีก เจ้าเป็นคนของกรมสอบสวนย่อมรู้เรื่องสำนักปากสอบ ต่อให้จะไม่รู้แน่ชัดแต่ก็คงเคยได้ยินมาบ้าง
การมีอยู่ของสำนักปากสอบเจ้าสามารถเข้าใจได้ว่ามันเป็นมรดกตกทอดอย่างหนึ่งและเป็นมรดกลึกลับโบราณยิ่งอย่างหนึ่ง ทว่ามรดกเช่นนี้ไม่ได้จำกัดเพียงสำนักปากสอบแห่งเดียวในใต้หล้า อย่างน้อยสหายใหม่ที่ข้าแนะนำให้เจรจากับซ่างกวนซวี่เหยาและตัวของเจ้าต่างมีมรดกลึกลับโบราณอย่างยิ่งนี้อยู่”
เกาเหรินกล่าว
คำพูดท่อนนี้เพียงพอให้หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่ง เขาจึงไม่ได้รีบร้อนเอ่ยปากพูดสิ่งใด ฉากในวันนั้นเขามีความทรงจำค่อนข้างคลุมเครือ แต่ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะมีชั้นหมอกปกคลุมและไม่ชัดเจน แต่เสียงอื้ออึงนั้นอึดอัดทรมานจริงๆ เขาเองก็ไม่อยากจะลองมันอีกครั้งด้วย…แต่เขากลับฟังเข้าใจ
ประสบการณ์อันเหลือเชื่อในวันนั้นของตนดูเหมือนจะเป็นเพราะได้รับมรดกบางอย่าง อีกทั้งยังเป็นจุดประสงค์ของเกาเหริน หรือกล่าวได้ว่าเป็นพราะเขามีโอกาสได้รับมรดกเช่นนี้โดยบังเอิญ เขาจึงมีคุณสมบัติที่เกาเหรินเฝ้ารอคอย
“แม้แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจมรดกสืบทอดของสหายใหม่ผู้นั้นนัก แต่เรื่องเกี่ยวกับเจ้า ข้ากลับรู้ดีจนทะลุปรุโปร่ง”
เกาเหรินกล่าว
“ฉะนั้นท่านจึงอยากถลกกระชากหนังข้าแล้วนำมรดกนี้ไปหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามด้วยสีหน้าเย็นชา
เกาเหรินสูญเสียมรดกของไท่ไป๋ของสุดยอดนักพรตอินหยางระหว่างการแข่งขันกับเซียวจินข่าน คงเป็นความแค้นเต็มอกมาโดยตลอด ตอนนี้อันเก่าไร้ความหวัง สิ่งเดียวที่สามารถปลอบใจเขาได้ก็คือการหาอันใหม่
“หากมรดกได้มาง่ายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นมันก็ไม่คู่ควรให้เรียกขานว่ามรดกแล้ว…แต่ไม่ว่าข้าจะได้มันมาหรือไม่ ของเจ้าก็คือของเจ้า ข้าไม่ได้สนใจมัน”
เกาเหรินกล่าว
“เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงพูดคุยกับข้ามากมายเป็นต่อยหอยเช่นนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เพราะข้าอยากเป็นสหายกับเจ้า ต่อให้ไม่อาจเป็นสหายได้ อย่างน้อยก็ผูกมิตรเสียหน่อย เมื่อพบกันในภายภาคหน้าจะสามารถพูดคุยและดื่มสุราได้อย่างสบายใจ อย่าได้ต้องเผชิญหน้ากันด้วยดาบกระบี่แต่เริ่ม”
เกาเหรินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ตอบรับคำพูด
ชาตินี้เขาไม่มีวันเป็นสหายกับเกาเหริน และไม่มีทางผูกมิตรได้ แต่หลิวรุ่ยอิ่งสนใจมรดกลึกลับโบราณที่เกาเหรินพูดเกี่ยวกับตัวเขาเมื่อครู่ยิ่งนัก แต่การเริ่มถามก่อนดูจะเสียเปรียบ หลังจากครุ่นคิดแล้วจึงตัดสินใจทำตามที่เกาเหรินว่ามาก่อน บางทีอาจได้รู้ถึงความลับบางอย่างที่เขาไม่อยากบอกก็เป็นได้
“บางทีสหายอาจจะไม่มีหวังแล้ว…แต่จะผูกมิตรนั้นต้องทำอย่างไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
………………………………………………………………..