ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 517 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-24
บทที่ 517 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-24
……….
“สิ่งที่วางไว้ตรงนี้คือเบี้ยหวัดทั้งหมด หากเจ้าสามารถนำกลับไปได้ไม่น้อย คงจะเป็นผลงานยิ่งใหญ่ ข้ามอบคุณงามความดียิ่งใหญ่ให้ถึงเพียงนี้ ยังไม่พอผูกมิตรสักครั้งหรือ”
เกาเหรินกล่าว
“คุณงามความดีนี้…ข้าขอไม่มีเสียดีกว่า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ในฐานะเจ้าหน้าที่กรมสอบสวน หากเจ้าไม่พยายามปีนไต่ขึ้นไปแล้วจะทำตามสัญญาที่ตนให้ไว้กับแม่นางผู้นั้นได้อย่างไร”
เกาเหรินย้อนถาม
ร่างกายหลิวรุ่ยอิ่งพลันสั่นสะท้าน
เขารู้ว่าแม่นางผู้นั้นที่เกาเหรินกล่าวถึงคือหยวนเจี๋ย แต่เขากลับไม่รู้ว่าเหตุใดเกาเหรินจึงรู้เรื่องของตนละเอียดเพียงนี้
“ข้ามีเสน่ห์ใดที่ควรค่าให้ท่านสืบเสาะถึงเพียงนี้กัน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ทุกคนต่างมีเอกลักษณ์ของตน ตราบใดที่แตกต่างจากผู้อื่น เช่นนั้นก็ควรค่าแก่การสืบเสาะให้ลึก”
เกาเหรินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่อาจโต้แย้งได้
เพราะเกาเหรินกุมส่วนที่อันตรายถึงชีวิตที่สุดในก้นบึ้งหัวใจเขา
“ฉะนั้นกล่าวจากจุดยืนบางอย่าง เราต่างเป็นคนประเภทเดียวกัน ล้วนเป็นประเภทที่ไร้ทางเลือก อาจดูน้อยเนื้อต่ำใจที่สุด แต่ความจริงแล้วก็เด็ดเดี่ยวที่สุดเช่นกัน”
เกาเหรินเห็นหลิวรุ่ยอิ่งเงียบ จึงเอ่ยปากพูดต่อ
เขาต่างจากหลิวรุ่ยอิ่งที่ไม่เคยสูญเสียบิดามารดา แต่เขายังคงถูกละเลยเหมือนเด็กป่าเถื่อนเร่ร่อน ในสมัยนั้นเด็กป่าเถื่อนเร่ร่อนน่าเวทนากว่าสุนัขป่าอยู่หลายส่วน เมื่อสุนัขป่าเผชิญกับอันตรายหรือถูกรังแกก็ยังสามารถเห่าคำรามดุร้ายตามด้วยแยกเขี้ยวกัด
ทว่าเด็กน้อยไม่เป็นเช่นนั้น นอกจากร้องไห้แล้วก็มีแค่ยอมแพ้หลบซ่อน เพราะเสียงคำรามของสุนัขป่าทรงพลังจึงเตือนให้ผู้รังแกมันถอยไป ส่วนเด็กน้อยนอกจากฝ่ามือแสนบอบบางก็ไม่มีสิ่งใด หากต่อต้านไร้ผล เช่นนั้นเหตุใดต้องเปลืองแรง ทั้งยังไม่คุ้มค่าที่จะเสียน้ำตาให้สิ่งไม่เกี่ยวข้อง
เนื่องจากรูปร่างของเกาเหรินจึงถูกผู้คนรังแกอยู่บ่อยครั้ง การถูกรังแกก็เป็นการเติบโต เขาจึงไม่ร้องคร่ำครวญไม่โวยวาย ผู้อื่นต้องใช้เวลาถึงยี่สิบปีจึงจะเป็นผู้ใหญ่ แต่เขาใช้เวลาเพียงห้าปีเท่านั้น
เมื่ออายุได้ห้าขวบเขาก็เข้าใจตรรกะอย่างหนึ่ง คนเหล่านั้นรังแกเขาไม่ใช่เพราะต้องการสิ่งใดจากเขา เรื่องสนุกเดียวที่ได้หลังจากกลั่นแกล้งคือได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น แม้เขาจะไม่เข้าใจจิตใจของคนเหล่านั้นว่าเหตุใดจึงชอบเสียงร้องไห้นัก หรือพวกเขาอาจคิดว่าเสียงร้องไห้ของเด็กไพเราะน่าฟังกระมัง
แต่เขารู้ว่าเมื่อใดที่เริ่มร้องไห้ก็จะกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป เรื่องเช่นนี้ก็เหมือนการดื่มสุรา เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งไม่แตะสุราสักหยดเดียว แต่เมื่อใดที่เขายกจอกสุราแล้ว เช่นนั้นก็จะไม่ยอมวางมันลงจนกว่าจะตาย เสี่ยวจีหลิงถือเป็นตัวอย่างที่สุดขั้วกว่าหลิวรุ่ยอิ่ง
เกาเหรินเม้นริมฝีปากและกำหมัดแน่น ทั้งไม่ร้องไม่ต่อต้านตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ว่าเด็กที่สูงกว่าเขาถึงครึ่งตัวเหล่านั้นเอาโคลนผสมปัสสาวะละเลงทั่วศีรษะ ใบหน้าและร่างกายของเขา แต่เขาก็รอจนคนเหล่านั้นกลั่นแกล้งรังแกจนพอใจ หลังจากเดินจากไปไกลแล้วจึงจะใช้มือออกแรงปาดออกจากตา รูจมูกและปากและไม่ต้องชะล้าง
เพียงนั่งเงียบๆ รอจนมันแห้งสนิทก็จะหลุดร่วงเป็นแผ่นคล้ายกับหนังกรอบๆ ชั้นนอกของขนมทานเล่น
หากปล่อยโคลนผสมปัสสาวะพอกบนหน้าเป็นเวลานานก็จะระคายเคืองเล็กน้อย ยิ่งผิวหนังของเด็กน้อยบอบบางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทุกครั้งที่โคลนหลุดออกใบหน้าของเกาเหรินจะแดงเถือกอยู่เสมอ คล้ายกับเมฆสีเพลิงท่ามกลางอาทิตย์อัสดง
ทว่าความรู้สึกดึงกระชากตอนที่เศษโคลนหลุดลอกกลับทำให้เขาค่อยๆ รู้สึกเสพติดมันเล็กน้อย ผิวหนังทุกตารางนิ้วและทุกรูขุมขนบนใบหน้าผ่อนคลายลงทันทีหลังถูกตึงแน่นเพราะโคลนอยู่นาน ยามนั้นเขาบรรยายความรู้สึกนี้เหมือนกับการกลั้นปัสสาวะอยู่นานและต้องเดินทางยาวไกล จนในที่สุดก็พบห้องน้ำที่สามารถปลดปล่อยได้โดยไม่ต้องฝืนกลั้น
ถึงขั้นทำให้ภายหลังเมื่อเขาเห็นคนเหล่านั้นจากไกลๆ ก็จะถอดเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งของตนออกอย่างรวดเร็วและยืนเปลือยล่อนจ้อนอยู่ตรงนั้น หวังว่าคนเหล่านั้นจะไม่เพียงละเลงโคลนลงบนใบทั่วหน้าและศีรษะ แต่ละเลงทั้งตัวได้ก็ยิ่งดี
ในเมื่อวิธีเช่นนั้นสามารถทำให้เขารู้สึกสบายใจและมีความสุขได้ เช่นนั้นก็มาทำให้มันสมบูรณ์ด้วยกันดีกว่า
จะว่าไปแล้วคนเหล่านั้นก็เป็นเด็กเช่นกัน เพียงแค่รวมตัวกันรังแกผู้อื่นก็เท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วการกลั่นแกล้งของเด็กก็มีความเมตตาและความไร้เดียงสาปะปนอยู่ ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทีเดียว
แต่เมื่อพวกเขาได้ยินคำร้องขอที่แทบจะวิกลจริตของเกาเหรินก็ต่างหวาดกลัว…เมื่อหัวโจกก้าวเท้าขวาถอยหลังไปกว่าครึ่ง ที่เหลือก็ทยอยวิ่งหนีตามกันไป ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีแก่เกาเหริน เด็กเหล่านั้นไม่เคยมากลั่นแกล้งเขาเอาสนุกอีกแล้ว
เดิมนี่ควรจะเป็นเรื่องที่น่าดีใจ ผู้ใหญ่มักจะเฉลิมฉลองเรื่องน่ายินดีด้วยการดื่มสุราเสมอ เกาเหรินเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง แม้เขาจะอยากดื่มสุราแต่ก็ไม่ได้มีเงินสักแดง
ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังไม่มีความสุข…กระทั่งเวลาผ่านไประยะหนึ่งกลับรู้สึกโหวงเหวงในใจ ใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่บนก้อนหินเรียบหน้าประตูพลางจ้องมองไปยังสุดตรอกซอย หูก็ได้ยินเสียงเด็กเหล่านั้นเล่นสนุกสนาน แต่พวกเขาไม่เข้ามา
ไม่รู้ว่าก้อนหินแบนเรียบใต้บั้นท้ายวางอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้ว โดนแดดโดนฝนจนกร่อนหมดแล้ว นั่งเงียบๆ ในวันธรรมดายังพอทนและยังพอจะรับน้ำหนักของเกาเหรินได้ แต่วันเวลาเช่นนี้ช่างยากลำบากจริงๆ เกาเหรินนั่งอยู่บนก้อนหินทว่ามือกลับอยู่ไม่นิ่ง…ครั้นออกแรงก็แกะก้อนหินออกมาหนึ่งก้อนแล้ว
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก้อนหินในมือของเกาเหรินก็มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก้อนหินแบนเรียบก้อนนั้นกลับเล็กลงเรื่อยๆ
ในสายตาของเกาเหรินก้อนหินให้ความหมายต่างกัน
ภายในเวลาไม่นานเขาก็ออกจากความหดหู่ก่อนหน้านี้ได้อย่างสมบูรณ์
ก้อนหินช่างเป็นสหายที่ดีที่สุดของคนขี้เหงา รูปร่างของมันคงที่ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปเพียงเพราะเจ้ามีท่าทีต่อมันแตกต่างออกไป นอกจากนี้ก้อนหินพูดไม่ได้ ไม่ว่าจะต่อว่าหรือตำหนิมันก็ทนได้เสมอ สิ่งที่คนโดดเดี่ยวโหยหามากที่สุดไม่ใช่ความสนุกสนาน แต่เป็นความเงียบงันที่เงียบเหงายิ่งกว่าความเดียวดายของตน
เมื่อมองสรรพสิ่งในใต้หล้า นอกจากก้อนหินแล้วก็ยังตามหาสิ่งที่สองไม่เจอด้วยซ้ำ
เกาเหรินให้พวกมันทำสิ่งใด พวกมันก็ทำสิ่งนั้นได้ มีอยู่สองชิ้นที่รูปร่างสวยงามที่สุด เขาตั้งชื่อมันว่าพ่อแม่และได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษ…เขานำมันกลับบ้านแล้วสอดไว้ใต้หมอนนอนด้วยทุกค่ำคืน ส่วนที่เหลือเป็นตัวตนที่สร้างขึ้นจากเรื่องราวมั่วซั่วเกี่ยวกับเทพเจ้าและภูติผีที่ได้ยินมา ไม่มีสิ่งใดใหม่ๆ
“อย่างน้อยท่านก็มีอาจารย์ ไม่ว่าท่านจะมีอคติต่อเขาหรือไม่ การมีคนคอยดูแลและนำทางย่อมดีกว่าข้ามากโข แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งก็ตาม”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาต้องยอมรับว่าคำพูดของเกาเหรินสะเทือนใจเขาอยู่บ้าง แต่ในใจก็ไม่อยากจัดตนเองอยู่ในประเภทนี้จริงๆ เหตุผลนั้นง่ายมาก เขาเป็นข้าราชการ เกาเหรินเป็นหัวขโมย…ถูกผิดดีชั่วและงดงามอัปลักษณ์ล้วนเป็นการจำแนกประเภทโดยพื้นฐานที่สุดเสมอ
ไม่ว่าจะพูดจาคมคายหรือใจกว้างเพียงใด ก็ไม่สามารถปกปิดการดูแคลนนักโทษและรังเกียจคนอัปลักษณ์ของเขาไปได้
คนที่รูปลักษณ์ดูดีย่อมคบค้าสมาคมกับคนรูปลักษณ์ดูดี ไม่ใช่เพราะหน้าตาแต่เป็นเพราะตนเองครอบครองสิ่งนั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากไปคลุกคลีกับคนที่ไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่อาจเข้ากันได้ ผู้ที่ไม่มีย่อมไม่เข้าใจโลกของผู้ที่มีมัน ผู้ที่ครอบครองมันย่อมไม่มีวันละทิ้งทุกสิ่งที่ตนมีเพื่อเข้าสู่โลกของผู้ที่ไม่มี
แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่ถึงกับหล่อเหลามาก แต่อย่างน้อยออกจากบ้านก็ไม่อายคน หากรูปลักษณ์ของเขาบิดเบี้ยวอีกหน่อย รูปร่างสั้นลงสองสามฉื่อ ความสนใจที่เจ้าหมิงหมิงมีต่อเขาคงลดลงไม่น้อย
คนที่ดูดีมักจะได้รับความโปรดปราน แต่ความโปรดปรานเช่นนี้เกาเหรินไม่เคยได้รับมาก่อน ดังนั้นเขาจึงโดดเดี่ยวยิ่งกว่าหลิวรุ่ยอิ่งเสียอีก
“เจ้าก็ยังมีชายชราเลี้ยงม้าไม่ใช่หรือ”
เกาเหรินกล่าวพลางแย้มยิ้ม
“ท่านกำลังอวดว่ารู้เรื่องข้าเป็นอย่างดีอยู่หรือ หากท่านรู้ทุกอย่างละก็ ข้าก็อยากจะฟังเรื่องบิดามารดาของข้าบ้าง อย่างไรเสียข้าก็ไม่รู้เรื่องพวกเขาเลยสักนิด”
หลิวรุ่ยอิ่งแบมือแล้วกล่าว
เล่นลูกไม้เล็กน้อย
เป้าหมายของเขาไม่ใช่การนำเบี้ยหวัดกลับไปก็พอ แม้ว่านี่จะเป็นคุณงามความดีไม่น้อยก็ตาม แต่หากเขาพาเกาเหรินเข้าสู่กระบวนยุติธรรมด้วยได้ จะไม่ยิ่งได้บุญกุศลครบถ้วนหรอกหรือ ดีกว่านำเบี้ยหวัดแห้งๆ เหล่านี้กลับไปเป็นไหนๆ
“ข้าไม่ได้อวดรู้ใดๆ ที่ข้าพูดมากก็เพียงเพราะต้องการหาจุดร่วมกันกับเจ้า เราเป็นคนประเภทเดียวกันจริงๆ”
เกาเหรินกล่าวอีกครั้ง
คนผู้หนึ่งเอาแต่พูดเรื่องหนึ่งซ้ำๆ มีความเป็นไปได้เพียงสองสิ่ง หากไม่ใช่เพราะเขาจริงจังกับมันมาก ก็ต้องกำลังพูดปด เพื่อให้ผู้อื่นเชื่อคำโกหกของตน
ผู้ที่โกหกจะพูดซ้ำๆ ต่อเนื่อง แม้ว่าเขาจะไม่ได้จงใจทำ แต่การกระทำและวาจาเช่นนี้จะเผยไต๋ออกมาโดยไม่ตั้งใจเช่นกัน แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ยินถึงความหลอกลวงในน้ำเสียงของเกาเหริน กลับกันยังคิดว่าสิ่งที่เขากล่าวมานั้นจริงใจอย่างยิ่ง
คำคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมาทำเอาหลิวรุ่ยอิ่งเองตกใจสุดขีด! เขานวดขมับและพยายามกำจัดความคิดที่เลวร้ายสุดๆ เมื่อครู่ออกไปจากสมองให้หมด แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีผลใดๆ
พลังของความคิดนี้แข็งแกร่งเกินไปจริงๆ…ไม่เพียงแต่หยั่งรากเร็วมาก ยังงอกเงยขึ้นมาในพริบตาอีกต่างหาก เมื่อผู้คนเกิดความคิดบางอย่างก็มักจะบ้าคลั่งอย่างควบคุมไม่ได้ และตนก็จะไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป หากถึงระดับที่มันพังทลายและระเบิดจะก่อให้เกิดมารขึ้นในใจ
“ข้าไม่เพียงจะนำเบี้ยหวัดกลับไป แต่จะพาท่านกลับไปด้วย อีกทั้งนี่ไม่นับว่าเป็นการผูกมิตรใดๆ ได้ แต่เป็นเรื่องที่ข้าจำเป็นต้องทำ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เมื่อความคิดอื่นไม่อาจควบคุมได้ วิธีเดียวที่จะเอาชนะได้คือต้องใช้ความคิดใหม่เข้ามาแทนที่ แม้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะกล่าวเช่นนี้ แต่ในใจเขากลับไม่มีความมั่นใจใดๆ…ถึงขั้นไม่รู้ว่าที่พูดประโยคนี้ออกไป เกาเหรินจะได้ยินมันมากน้อยเพียงใด หรือส่วนใหญ่สลายไปกับสายลมแล้ว
เกาเหรินนิ่งเงียบ กระโดดลงจากเก้าอี้แล้วหยิบก้อนหินบนพื้นมาเล่นในมือ ก้อนหินมีขอบมุมเยอะ บีบเล่นไม่สบายมือนัก และยิ่งไม่รู้สึกถึงความกลม แต่เกาเหรินก็ยังกำมันไว้แน่นจนรู้สึกว่าขอบก้อนหินเสียดแทงฝ่ามือ
ทันใดนั้น หลิวรุ่ยอิ่งมองตามแสงไฟจนเห็นเส้นสีแดงเป็นทางในฝ่ามือที่บีบอยู่ของเกาเหริน มันคือเลือด
“นี่ท่านทำสิ่งใดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามอย่างไม่เข้าใจ
เขารู้มาจากเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาว่า เมื่อไม่นานมานี้เกาเหรินถูกดาบเขาแทงเข้าที่หัวใจ เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเจิ้นเป่ยอ๋องปกปิดบางอย่างไว้ แต่ไม่ว่ากระบวนการจะเป็นเช่นไร ผลลัพธ์ก็เป็นเช่นนี้ หลังจากที่เกาเหรินเพิ่งถูกแทงเข้าที่หัวใจก็ออกแรงให้ขอบก้อนหินบาดฝ่ามือตนเอง ราวกับไม่กลัวเจ็บปวด แม้แต่ความเด็ดขาดนี้ก็ยังทำให้ผู้คนกังวลว่าหินก้อนนั้นจะตกใจกลัวหรือไม่
การกระทำที่เกินกว่าความปกติทั่วไปติดกันหลายครั้ง ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกตึงเครียดอย่างอธิบายไม่ถูก…
“ผืนดินทุกตารางนิ้วในใต้หล้าต่างมีคนล้มตายไปมากมาย เกิดบนผืนดินกว้างใหญ่ย่อมล้มตายบนผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ ใบไม้ร่วงโรยคืนสู่รากก็นับว่าสมบูรณ์ แต่ท่ามกลางใบไม้ร่วงก็มีใบไม้เน่า ใบไม้เน่ามีอยู่ทุกหนแห่ง กระทั่งในแม่น้ำจักรพรรดิที่คึกคักในตอนนี้และเมืองหลวงก็ไม่เว้น
กลิ่นเครื่องสำอางบนแม่น้ำจักรพรรดิก็ไม่อาจกลบกลิ่นเหม็นเน่าที่คละคลุ้งจากซากศพเน่าเปื่อยที่ก้นแม่น้ำได้ เสียงอึกทึกโครมในเมืองหลวงก็ไม่อาจกลบเสียงร้องคร่ำครวญผู้ที่ตายไปโดยไม่ทราบสาเหตุเหล่านั้นได้ ครั้งหนึ่งทั้งเจ้าและข้าต่างเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวและโง่เขลาอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเคยถูกรังแกหรือไม่ก็ล้วนเป็นเช่นนี้
ยิ่งวันเวลาผ่านไปข้าก็ยิ่งขอบคุณพวกเด็กๆ ที่รังแกข้าในตอนแรกเหล่านั้น เพราะพวกเขาทำให้เข้าเข้าใจความโดดเดี่ยวและความเจ็บปวดก่อนเวลาอันควร ข้าจึงสามารถเติบโตได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แน่นอนว่าข้าไม่ได้หมายถึงขนาดตัวของข้า แต่หมายถึงตรงนี้ต่างหาก!”
เกาเหรินกล่าวพลางใช้มือตบกลางกระหม่อมของตนเองเบาๆ
หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า ส่วนศีรษะและลำตัวของเขาไม่ได้สัดส่วนจริงๆ…คอที่ผอมยาวนั้นรับแรงกดดันมากเกินไป ดูเหมือนว่าจะมีเพียงเส้นเอ็นเพียงสามเส้นที่ประคองศีรษะเอาไว้
……………………………………………………………………..