ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 519 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-26
บทที่ 519 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-26
……….
เกาเหรินกำลังหัวเราะเยาะการชักกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งเมื่อครู่ และเย้ยหยันที่เขาประเมินสถานการณ์ปัจจุบันผิดพลาดครั้งใหญ่
เหตุใดเขาจึงชิงลงมือก่อนน่ะหรือ
ก็เพื่อคว้าโอกาสที่จะหัวเราะเยาะหลิวรุ่ยอิ่งในยามนี้และโจมตีจิตใจของเขาหนักๆ อีกครั้ง
มนุษย์สามารถอ่อนแอมากๆ ได้
บอบบางถึงขั้นออกแรงบีบก้อนหินขอบแหลมจนเลือดไหลจากมือ
เมื่อเทียบกับสัตว์อื่นๆ หรืออสูรแล้ว นี่เป็นการแสดงออกถึงความเปราะบางที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ผู้คนสามารถก็แข็งแกร่งขึ้นได้ในชั่ววินาทีเช่นกัน ต่อให้เลือดจะไหลจนเหือดแห้งก็ไม่มีทางเห็นมุมปากกระตุกหรือเปลือกตาสั่น กระทั่งยังพยายามกำหมัดแน่น เบิกตากว้างในเฮือกสุดท้าย ต่อต้านอย่างเงียบๆ และเด็ดเดี่ยวในวินาทีสุดท้าย
สิ่งที่อ่อนแอคือร่างกาย
สิ่งที่เด็ดเดี่ยวคือจิตวิญญาณ
ร่างกายดับสูญได้ เน่าเปื่อยได้ สามารถเปลี่ยนเป็นขี้เถ้าลอยฟุ้งจำนวนหนึ่งที่เบายิ่งกว่าพายุทรายได้
แต่จิตวิญญาณนั้นลึกยิ่งกว่าทะเลสาบที่ลึกที่สุดในโลกและกว้างยิ่งกว่ามหาสมุทรที่กว้างใหญ่ที่สุดเสียอีก
เกาเหรินไม่พอใจกับการเอาชนะหลิวรุ่ยอิ่งอีกต่อไป
ด้วยความสามารถที่แท้จริงของเขา แม้จะจากไปตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีความสามารถที่จะรั้งเขาไว้มากพอ
แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่และลงมือไปพร้อมกับหลิวรุ่ยอิ่ง เป้าหมายนี้ก็ชัดเจนเช่นกัน
ไม่อาจเอาชนะได้ ก็จงทำลายทิ้ง
แต่การทำลายย่อมต้องสิ้นซาก เพียงแค่สังหารอีกฝ่ายก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยากแล้ว
มีเพียงปล่อยให้หลิวรุ่ยอิ่งค่อยๆ แตกสลายจากภายในสู่ภายนอก พังทลายทีละนิด จนสุดท้ายกลายเป็นเปลือกว่างเปล่าและศพเดินได้ จึงจะนับว่าสมบูรณ์อย่างสิ้นเชิง
การเอาชนะที่เขาต้องการมีเพียงให้อีกฝ่ายคุกเข่าลงเท่านั้น
แม้ในใจจะไม่ยินยอม แต่ขอเพียงเจ้าหมอบลงใต้คมดาบโค้งของข้าในยามนี้
ทว่าเกาเหรินต่างออกไป
ไม่อาจพูดได้ว่าระดับของเขาสูงกว่าจิ้งเหยา
กล่าวได้เพียงว่าสิ่งที่สองคนนี้ไล่ตามนั้นเดิมก็เป็นคนละทิศทางอยู่แล้ว
“ท่านจะหัวเราะไปจนถึงเมื่อไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
แก่นแท้ของการเย้ยหยันอยู่ที่ช่วงเวลาที่อีกฝ่ายงุนงงจัดระเบียบความคิดไม่ได้
แต่ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าเกาเหรินทำทุกอย่างไปเพื่อสิ่งใด ความหมายของการเย้ยหยันย่อมหายไป
เกาเหรินหัวเราะจนหอบหายใจไม่ทัน จึงสำลักน้ำลายและเริ่มไออย่างรุนแรง
ในที่สุดร่างกายของเขาก็เคลื่อนไหวแล้ว
เนื่องจากไอจนตัวโยน สองเท้าที่ยืนบนเก้าอี้อย่างมั่นคงดั่งหินผาเริ่มเผยให้เห็นถึงการโอนเอน
แต่เขาไม่ได้สนใจแต่อย่างใด ซ้ำยังก้าวขึ้นไปอีกระดับในชั่วพริบตาจนขึ้นไปยืนอยู่บนโต๊ะ
ขณะนี้ระยะห่างระหว่างเขากับหลิวรุ่ยอิ่งยิ่งกว้างมากขึ้น
ก่อนหน้านี้เพียงแค่มองลงมา แต่ตอนนี้ต้องก้มหน้าลงจึงจะสามารถสบตาได้
หลังจากที่เกาเหรินหยุดไอแล้ว ฝีเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วบนโต๊ะ
หลิวรุ่ยอิ่งถอยหลังตามสัญชาตญาณ เมื่อเกาเหรินเห็นฉากนี้ก็อยากจะหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้หัวเราะมากเกินไปจนทำให้ตนเองสำลักหรือไม่ ครั้งนี้เขากลับกลั้นมันเอาไว้…
เมื่อเดินไปจนถึงสุดปลายโต๊ะก็โน้มตัวหยิบแท่งคำนวณขึ้นมาถือไว้ในมือเหมือนกล้องยาสูบแล้วหมุนไปรอบๆ
สีหน้าฉายแววดูหมิ่นดูแคลน
“อย่าได้ประหม่าไป ข้าไม่สังหารเจ้าหรอก”
สองขาแกว่งไกวอยู่ขอบโต๊ะ เหยียดออกและหดเข้าเหมือนเด็กน้อยนั่งอยู่บนชิงช้า
หลิวรุ่ยอิ่งกัดฟัน เมื่อครู่พลาดท่าไปจริงๆ…และไม่มีสิ่งใดจะโต้แย้ง
แทนที่จะรีบต่อปากต่อคำกับเขา สู้คว้าโอกาสนี้ปรับสภาพใหม่ และดูว่าเกาเหรินปรารถนาสิ่งใดกันแน่ดีกว่า
“เดิมหมายจะผูกมิตรกับเจ้าเสียหน่อย แต่เจ้ากลับปฏิเสธข้า…ฉะนั้นข้าก็จำต้องเปลี่ยนใจ”
เกาเหรินกล่าว
“เช่นนั้นในตอนนี้ท่านอยากจะได้สิ่งใดจากตัวข้าอีกงั้นหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
ในเมื่อเกาเหรินต้องการจะพูด เช่นนั้นก็ถามอย่างเปิดเผยเสีย
เทียบกับที่คิดเองจนหัวแทบระเบิดแล้ว มันย่อมง่ายกว่า
“ไม่ๆๆ…ข้าไม่ได้ต้องการสิ่งใดที่อยู่บนตัวเจ้าทั้งสิ้น แม้ว่าภูมิหลังของเจ้าจะไม่ธรรมดานัก มีทั้งมรดกโบราณอย่างยิ่งอยู่กับตัว หนำซ้ำในมือยังครองกระบี่ดาราอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ที่ประดับวางไว้ภายนอกพร้อมจะให้ผู้คนช่วงชิง แต่ข้าไม่ได้ต้องการมัน กลับกันอยากจะมอบของขวัญให้เจ้ามากกว่า”
เกาเหรินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งก็แย้มยิ้ม
ของขวัญช่างเป็นคำที่เขาไม่ไม่คุ้นเคย
ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยได้รับของขวัญใดๆ
แต่หากมันไม่ได้ออกมาจากปากของเกาเหริน คำนี้คงจะฟังดูแล้วอบอุ่นใจยิ่งนัก
“เช่นนั้นข้าควรจะขอบคุณหรือปฏิเสธดีเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างเย็นชา
“เจ้าไม่อาจปฏิเสธของขวัญชิ้นนี้ได้…เพราะสิ่งที่ข้ามอบให้เจ้าเป็นบุญคุณอย่างไรเล่า”
เกาเหรินกล่าว
“บุญคุณไม่จำเป็น…ตอบแทนยากเกินไป แม้ว่าข้าจะไม่มีสิ่งใดที่สามารถตอบแทนได้ก็ตามที”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เกรงว่าเจ้าจะปฏิเสธบุญคุณนี้ไม่ได้!”
เกาเหรินจับแท่งคำนวณทัดหู สองมือโบกสะบัดซ้ำๆ และกล่าว
“เพราะเหตุใด”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เพราะนี่คือบุญคุณช่วยชีวิต…เมื่อมีคนต้องการช่วยชีวิตเจ้านั่นหมายความว่าเจ้าใกล้จะตายแล้ว…คนที่กำลังจะตายก็เหมือนกับทารกแรกเกิดที่ไม่มีสิทธิ์เลือก เจ้าให้ทารกแรกเกิดดื่มนม เขาก็ต้องดื่มนม เจ้าป้อนอุจจาระให้เขากิน เขาก็จำต้องกินอุจจาระ คนที่กำลังจะตายก็เป็นเช่นนี้ หากไม่ถูกช่วยก็ต้องตายเร็วขึ้น”
เกาเหรินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพลันขมวดคิ้ว
เขาฟังเกาเหรินเข้าใจทุกคำ แต่เมื่อเรียงร้อยเข้าด้วยกันกลับไม่รู้ว่าเขากำลังกล่าวถึงสิ่งใดอยู่
อย่างไรเสียเขาก็ยังยืนจับกระบี่ราวกับมังกรผงาดอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ได้เป็นคนที่กำลังจะตาย…สำหรับบุญคุณช่วยชีวิตนั้นยิ่งเป็นคำพูดไร้สาระทั้งเพ
ทันใดนั้น ลางสังหรณ์ร้ายอย่างยิ่งปะทุขึ้นในใจเขา
หลิวรุ่ยอิ่งเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าบุญคุณช่วยชีวิตนี้มากจากที่ใด…
จะทำอย่างไรให้ผู้ที่กระโดดโลดเต้นต้องเกี่ยวพันกับผลกรรมแห่งการช่วยชีวิตที่ซับซ้อนและหนักอึ้งได้ นั่นก็คือสังหารเขาก่อน แล้วค่อยช่วยชีวิตขณะที่ยังมีลมหายใจสุดท้ายเหลืออยู่
แม้วิธีนี้จะไร้สาระอย่างยิ่ง แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้ดีว่าเกาเหรินสามารถทำได้แน่
“ดูเหมือนเจ้าจะกระจ่างแล้ว”
เกาเหรินกล่าวอย่างผ่อนคลาย
ยามที่คนเรามีความคิดที่โดดเด่นเล็กน้อยขึ้นมากะทันหัน มักจะต้องการความเข้าใจและการสนับสนุนจากผู้อื่น เกาเหรินก็เช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขาดีใจเหลือเกินที่หลิวรุ่ยอิ่งกระจ่างในความคิดที่น่าตกตะลึงของเขา
“จุดตรงกลางศีรษะห่างจากหน้าผากห้าส่วน ระหว่างปลายคิ้วและหางตาประมาณหนึ่งชุ่น รอยหยักหน้าใบหู จุดเหนือหัวตาหนึ่งชุ่น จุดร่องริมฝีปากบน จุดโค้งเว้าระหว่างเงี่ยงกระดูกหลังคอระหว่างข้อที่หนึ่งและข้อที่สอง จุดตรงกลางด้านหน้าตัว จุดเหนือสะดือเจ็ดชุ่น จุดใต้ลิ้นปี่ครึ่งชุ่น จุดตรงกลางรูสะดือ จุดข้างๆ ซี่โครงสี่ชุ่น ในตำแหน่งเหล่านี้เจ้ามีส่วนใดที่ชอบหรือไม่”
เกาเหรินปลดแท่งคำนวณจากหูแล้วชี้ไปที่หลิวรุ่ยอิ่งจากระยะไกลแล้วถาม
จุดเหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งในสามสิบหกจุดนั้น
กระทั่งยังเป็นรากฐานจุดในระบบที่สำคัญ
หากได้รับบาดเจ็บ แม้ไม่ตายก็จะกลายเป็นคนพิการ สำหรับหนทางของสายบู๊ไม่จำเป็นต้องนึกถึงมันอีกต่อไป
“ไป๋ฮุ่ยล้มลงกับพื้น เหว่ยหลีว์ไม่กลับบ้าน จางเหมินถูกโจมตี เก้าในสิบคนมอดม้วย ขมับและจุดหย่าเหมิน ต้องพบเจอราชาแห่งนรก กระดูกสันหลังหักไร้กระดูก คุกเข่าสิ้นชีพโดยพลัน”
นี่เป็นบทเพลงที่หลิวรุ่ยอิ่งเรียนรู้ตอนที่อยู่กรมสอบสวนกลาง
“จุดตรงกลางศีรษะห่างจากหน้าผากห้าส่วน ระหว่างปลายคิ้วและหางตาประมาณหนึ่งชุ่น รอยหยักหน้าใบหู จุดเหนือหัวตาหนึ่งชุ่น จุดร่องริมฝีปากบน จุดโค้งเว้าระหว่างเงี่ยงกระดูกหลังคอระหว่างข้อที่หนึ่งและข้อที่สอง จุดตรงกลางด้านหน้าตัว จุดเหนือสะดือเจ็ดชุ่น จุดใต้ลิ้นปี่ครึ่งชุ่น จุดตรงกลางรูสะดือ จุดข้างๆ ซี่โครงสี่ชุ่น ในตำแหน่งเหล่านี้ท่านมีส่วนใดที่ชอบหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดซ้ำอีกรอบ ไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียวและคืนกลับไปครบจำนวน
คิดไม่ถึงว่าเกาเหรินเริ่มครุ่นคิดขึ้นมาแล้วจริงๆ
“ข้าน่าจะเลือกตรงกลางรักแร้กระมัง…”
เกาเหรินกล่าว
“เพราะกลางศีรษะมันลำบากไปบ้างจริงๆ…ศีรษะของข้าไม่เพียงใหญ่แต่ยังแข็งมาก กระทั่งกระบี่ดาราของเจ้าก็ยังต้องใช้ความพยายามจึงจะเจาะทะลุได้ ส่วนตำแหน่งระหว่างปลายคิ้วกับหางตาประมาณหนึ่งชุ่น แม้ว่าจะไม่เลวแต่เมื่อตายก็ตาบอด เซียวจินข่านศิษย์น้องของข้าก็เป็นคนตาบอด ตาบอดช่างน่าเวทนานัก ข้าไม่อยากตายโดยที่สภาพไม่สมบูรณ์ครบสามสิบสอง ฉะนั้นเลือกตรงนี้ไม่ได้
ตำแหน่งอื่นๆ ส่วนมากล้วนเป็นจุดใต้ร่มผ้าที่เว้นแต่ว่าจะเปลือยกายเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะหาได้แม่นยำ หากข้าไม่ตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เช่นนั้นก็ต้องโจมตีใหม่อีกครั้งไม่ใช่หรือ ข้าก็ไม่อยากทรมานก่อนตายด้วย ฉะนั้นตรงกลางรักแร้เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ!”
เกาเหรินกล่าว
“เช่นนั้นข้าก็เลือกตรงนี้!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เพียงแต่ทันทีที่โพล่งวาจานี้ออกไป สองแขนของเขากระชับแน่นขึ้นหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว
……………………………………………………………….