ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 521 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-28
บทที่ 521 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-28
……….
“ตอนนี้ข้ายกย่องเจ้าเล็กน้อย ข้าเสียใจกับท่าทีที่มีต่อเจ้าก่อนหน้านี้”
เกาเหรินกล่าว
ถึงขั้นลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับให้หลิวรุ่ยอิ่งหนึ่งครั้ง
“ไม่จำเป็น”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาพยายามอย่างมากถึงจะเอ่ยสองคำนี้ให้ราบเรียบที่สุด
เลือดสดๆ ไหลรินออกจากบาดแผลที่ไหล่ซ้าย
มีรูชุ่มเลือดเป็นศูนย์กลาง เลือดจึงค่อยๆ แผ่กระจายออกไป รูปร่างดูคล้ายกับดอกโบตั๋นที่กำลังเหี่ยวเฉาอย่างยิ่ง
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงหักแท่งคำนวณส่วนที่เหลือออกไป”
เกาเหรินเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้าว่าไม่รู้
การพูดจาของเขามักจะเป็นการถามเองตอบเองเสมอ
ไม่จำเป็นต้องไปต่อปากต่อคำใดๆ ด้วยซ้ำ
“เพราะข้าก็พนันเช่นกัน…ตอนแรกคิดว่าแท่งเดียวก็เพียงพอแล้ว ต่อมาคิดว่ามันปลอดภัยกว่าจึงเหลือไว้สองแท่ง แต่คิดไม่ถึงว่าข้าจะประเมินตนเองสูงไป หรืออาจจะประเมินเจ้าต่ำไป”
เกาเหรินกล่าว
ยังไม่ทันสิ้นเสียง กลับมีเสียงปรบมือดังขึ้น
เกาเหรินคาบแท่งคำนวณที่เหลือหนึ่งแท่งไว้ในปากแล้วปรบมือ
เสียงปรบมือ ‘แปะๆๆ’ ในยามครึ่งค่อนคืนที่เงียบสงัดนี้ดังเสียดหูเป็นพิเศษ
ภายใต้ความว่างเปล่ารอบด้าน กลับมีเสียงสะท้อนนับไม่ถ้วนจากทุกทิศทาง
ครั้นหันกลับมาและทอดสายตามองไปทางโรงเตี๊ยมของเถ้าแก่เนี้ย
ที่นี่มองไม่เห็นแม้แต่แสงหรือเงาใดๆ ทั้งสิ้น
แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าเยว่ตี๋ จิ้นเผิง ซุนเต๋ออวี่ รวมถึงเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายังคงอยู่ในร้าน
นี่เป็นความหวังและที่ยึดเหนี่ยวเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่ของเขา
ทั้งยังเป็นเทพเจ้าที่มีเลือดเนื้อและมีตัวตนอยู่อย่างแท้จริงในใจเขายามนี้
เกาเหรินเงียบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสได้ว่าเขากำลังเคี่ยวกรำบางสิ่งอยู่ แต่เขาไม่มีความสามารถของเซียวจินข่านจึงล่วงรู้ไม่ได้ ความเจ็บปวดจากแผลที่ไหล่ซ้ายทำให้ความคิดของเขาหยุดชะงักและไม่อาจรวบรวมสมาธิขบคิดได้ด้วยซ้ำ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เป็นไปตามใจปรารถนา หากเขารู้ไม่เท่าทันศัตรู เช่นนั้นผู้ที่ต้องตายย่อมเป็นตัวเขาเองแน่นอน
อันที่จริงความคิดของเกาเหรินไม่ได้ซับซ้อนและเข้าใจยากอย่างที่หลิวรุ่ยอิ่งคิด เพียงแต่ถูกผู้อื่นอ่านแผนการของตนออกย่อมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แม้เกาเหรินจะไม่ได้รับการสืบทอดมรดกไท่ไป๋สุดยอดนักพรตอินหยาง แต่เขาก็ยังระแวดระวังอย่างยิ่ง วางแผนต่อผู้อื่นมาโดยตลอด
ทว่าเมื่อครู่ถูกหลิวรุ่ยอิ่งมองแผนการปรุโปร่ง ไม่มีอารมณ์หรือเหตุผลใดที่จะให้เขาปล่อยผ่านไปได้ จากนั้นกำแท่งคำนวณในมือที่เหลือสมบูรณ์เพียงชิ้นเดียว ส่วนสายตาก็มองร่างหลิวรุ่ยอิ่งขึ้นลงเป็นบางครั้ง
“ในเมื่อเจ้าไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ควรจะเป็นและไม่สมเหตุสมผล เช่นนั้นเจ้าจะตำหนิข้าว่าไม่รักษาคำพูดไม่ได้!”
เกาเหรินกล่าว
ความเงียบผ่านพ้นไปตามมาด้วยความผ่อนคลายและความยินดี
เห็นได้ชัดว่าเขาตัดสินใจครั้งใหม่เกี่ยวกับหลิวรุ่ยอิ่ง
“ไม่ได้คาดหวังว่าท่านเป็นคนที่รักษาคำพูดแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น
โชคดีที่แขนขวาของเขายังไม่แหลกสลายจนสิ้น ยังสามารถจับกระบี่ได้มั่น แม้เขาจะเข้าใจคำพูดของเกาเหรินที่แสดงให้เห็นว่าเขากำลังจะตัดสิ่งที่เรียกว่า ‘ผูกมิตร’ หรือ ‘บุญคุณ’ ที่มีต่อตนทั้งหมดออกไป แต่เขาก็ไม่มีทางวางกระบี่ในมือลง
เมื่อเทียบกับคนในร้านเถ้าแก่เนี้ยเหล่านั้น กระบี่ในมือจึงจะเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวพึ่งพาได้อย่างแท้จริงและเป็นความหวังเดียวของเขาในตอนนี้ สิ่งที่เขาทิ้งขว้างไปในตอนนี้ล้วนเป็นอารมณ์เชิงลบทั้งสิ้น ไม่ว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดเรื่องนองเลือดเช่นไร เขาล้วนไม่หวาดกลัวความเจ็บปวดและทรมาน
สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการที่เขาเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนหรือเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ต่อให้เป็นเพียงเสี่ยวเอ้อร์ แรงงานขายแรง หรือปัญญาชนอ่อนแอ เขาก็ยังทำเช่นนี้ได้ ความคิดที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูไปจนถึงที่สุดสำคัญกว่าการแพ้ชนะในตอนท้ายเสียอีก หลิวรุ่ยอิ่งเชื่อมั่นว่าต่อให้ในครั้งนี้ตนจะตายด้วยน้ำมือเกาเหรินจริงๆ เขาก็จะกลายเป็นฝันร้ายตามหลอกหลอนเกาเหริน เมื่อใดที่นึกถึงเขาก็จะเหงื่อโทรมกายและตัวสั่นไม่หยุด
กระบี่เป็นอาวุธ ยามหยิบกระบี่ขึ้นมาก็แสดงถึงการพิพาทและการสังหารที่ตามมา เพียงแต่หลิวรุ่ยอิ่งในตอนนี้รู้และเข้าใจปัญหานี้อย่างถ่องแท้มากขึ้น ตอนแรกเริ่มยังสนใจเรื่องแพ้ชนะ สนใจผลได้ผลเสีย แต่ในกระบวนการฆ่าฟันศัตรูความตายเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก หากทำได้โดยไม่คำนึงถึง ก็จะอยู่ในจุดที่ไม่มีทางพ่ายแพ้
คำที่หลิวรุ่ยอิ่งพูดเมื่อสักครู่บางเบาดุจปุยเมฆ ยามลอยเข้าหูเกาเหรินกลับเป็นพลังที่ทำให้หูหนวกได้ ซ้ำยังทำให้ชีพจรเขาสั่นไหวอยู่หลายครั้ง หลิวรุ่ยอิ่งมองไปรอบๆ สถานที่แห่งนี้ไม่ถึงกับงดงามและไม่ได้ถึงกับรกร้าง สำหรับคนที่ตัดสินใจสู้ยิบตาย่อมไม่ใส่ใจว่าตนจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใด
ใต้หล้าก็เสมือนหม้อหลอม ไม่ว่าหลิวรุ่ยอิ่งหรือเกาเหรินต่างก็เป็นหนึ่งในเหล็กก้อน หากไม่ถูกเปลวไฟหลอมจนเป็นเหล็กหลอมและวัตถุรูปร่างต่างๆ ตามที่ผู้อื่นต้องการ ก็ต้องพยายามพลิกโอกาสเปลี่ยนความตายให้เป็นจุดหมายปลายทางและสนุกไปกับมัน มีเพียงผู้ที่ก้าวผ่านประตูแห่งจิตใจนี้ไปได้เท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เชยชมการเบ่งบานในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
เมื่อคนผู้หนึ่งไม่ยึดติดกับสิ่งภายนอกอย่างแท้จริง และยึดมั่นกับความเชื่อของตนเองเท่านั้นจึงจะไร้ศัตรูคู่แค้น
บางคนอาจบอกว่าเขายังมีกระบี่ยาวอยู่ในมือ
ไหนเลยจะนับว่าไม่พึ่งพาสิ่งภายนอก
สำหรับมือกระบี่แล้ว เดิมกระบี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา เป็นการผสมผสานจิตใจและจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน เป็นสัญลักษณ์อันแน่วแน่ของหัวใจ
มือกระบี่ชักกระบี่ก็ต้องเพื่อส่งความตาย
หากไม่ใช่ศัตรูที่ตาย ก็ต้องเป็นตนเองที่ตาย
ความแน่นอนนี้ไม่มีข้อยกเว้น และไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับมัน
การฆ่าฟันฉากนี้ของเขาและเกาเหรินก็ไม่ต่างจากการล่าเหยื่อทั่วไป
เพียงแต่มุมมองของเหยื่อกับนักล่าสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา
แต่นักล่าที่ชำนาญอย่างแท้จริงจะไม่มีทางปล่อยให้ตนตกเป็นเหยื่อ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ เขาก็จะชักกระบี่แทงตนเองอยู่ดี นักล่าไม่มีวันกลายเป็นเหยื่อ เหยื่อคนสุดท้ายของนักล่ามีเพียงตัวเขาเองเท่านั้น แม้ว่าทุกอย่างจะจบลง แต่มีเพียงจิตวิญญาณของเขา ความตั้งใจของเขาและดาบกระบี่ในมือเขาเท่านั้นที่กำหนดได้
เกาเหรินมองแววตาสงบนิ่งของหลิวรุ่ยอิ่ง ในใจพลันตื่นตระหนกอย่างอธิบายไม่ถูก…
แม้จะยังมีแท่งคำนวณในมืออยู่ แม้เขาจะรู้ว่าหากลงมือด้วยแท่งคำนวณนี้ หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่อาจปัดป้องได้แน่
มันจะทิ้งรูชุ่มเลือดน่าสยดสยองไว้บนลำคอของหลิวรุ่ยอิ่งเหมือนกับแท่งคำนวณก่อนหน้านี้ที่ทะลวงแขนซ้ายไป
เมื่อเทียบกันแล้วลำคออยู่ใกล้กับหัวใจยิ่งกว่าหัวไหล่เสมอ เป็นปกติอยู่บ้าง
ฉะนั้นเลือดที่ไหลออกจากลำคอจึงร้อนระอุยิ่งกว่าเลือดที่ไหลออกจากหัวไหล่เสียอีก
แม้อยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้าก็ยังร้อนอบอ้าว
ร่างกายจะล้มลง เลือดจะไหลจนเหือดแห้ง แต่เกาเหรินรู้ว่าตนเองต้องไม่มีวันลืมสายตาที่ทั้งเหนือกว่าและไร้ตัวตนของหลิวรุ่ยอิ่งในยามนี้
ฉะนั้นเขาจึงตื่นตระหนก
มันคุ้มแล้วจริงหรือที่จะสังหารคนผู้หนึ่งเพื่อแลกกับการทรมานนอนไม่หลับมาหลายแรมปี
เกาเหรินที่วางแผนเก่งกาจจะต้องคิดคำนวณให้รอบคอบยิ่ง…
แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่ต้องการมอบโอกาสนี้ให้เขา
เขากระจ่างแจ้งถึงผลลัพธ์สุดท้ายแล้ว ยามนี้กระบี่ของเขาแผ่ออกไปด้วยความตั้งใจเด็ดเดี่ยวแท้จริงที่ศัตรูไม่อาจเทียบเทียม
ไร้กระบวนท่าพิสดาร
เพียงแค่หันปลายกระบี่เล็งเข้าที่คอของเกาเหริน
กลิ่นอายเรียบง่ายและหนักแน่นตามคมกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งแพร่กระจายไปทั่วทั้งเหมืองแร่อย่างรวดเร็ว
“คิดไม่ถึงจริงๆ…เจ้าเด็กคนนี้มีศักยภาพสูงถึงเพียงนี้!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายืนมือไพล่หลังอยู่หน้าหน้าต่าง กล่าวพลางหันหน้าไปยังทิศทางที่หลิวรุ่ยอิ่งและเกาเหรินอยู่
ซุนเต๋ออวี่ยืนอยู่ตำแหน่งข้างหลังเขาครึ่งก้าว ได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงพยักหน้าสำทับ
ดวงจันทร์ลับไปจนมิด
อย่างมากที่สุดยังเหลืออีกหนึ่งชั่วยาม แสงรุ่งอรุณยามเช้าจะส่องสว่างจากด้านข้าง
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าวพลางถอนหายใจ
“ท่านอ๋องทรงกำชับให้เขาตามเกาเหรินกลับมาเป็นพิเศษ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทดสอบเท่านั้นหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“เดิมทีเป็นเพียงความนึกสงสัย…แค่อยากจะดูว่าเจ้าเด็กคนนี้ที่ไม่เพียงแต่ทำให้เจ้าสุนัขเฒ่าฮั่วนั่นยอมแพ้ ยังถึงขั้นทำให้หลิวจิ่งเฮ่าที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายหมื่นลี้เดินทางข้ามภูเขาข้ามน้ำไปช่วยชีวิตเขาที่หอทรงปัญญาได้ จะมีความสามารถสักเพียงใด คิดไม่ถึงว่าการทดสอบนี้จะทำให้ข้ารู้สึกนึกเสียใจขึ้นมา…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ท่านอ๋องมีสิ่งใดต้องนึกเสียใจเล่า ห้าอ๋องปกครองใต้หล้า การมีผู้หนุนหลังยอดเยี่ยมเช่นนี้ถือเป็นเรื่องน่ายินดีไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่เอ่ยถาม
“แน่นอน! สำหรับตอนนี้แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องควรค่าให้น่ายินดี! แต่หารู้ไม่ว่าความยินดีเช่นนี้จะคงอยู่ไปได้อีกสักกี่ปี…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
ซุนเต๋ออวี่ไม่เข้าใจความหมายในประโยคนี้ของท่านอ๋อง
อย่างไรเสีย ตามความเข้าใจของเขา หลิวรุ่ยอิ่งยังหนุ่มยังแน่นยิ่งนัก อย่างน้อยรอให้เขาและเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาสิ้นไปแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งก็ยังคงอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์เช่นกัน สำหรับผู้อาวุโสแล้ว การได้เห็นคนรุ่นหลังโดดเด่นมีศักยภาพจนกลายเป็นบุคคลที่ทรงพลังย่อมเป็นเรื่องที่ตายตาหลับ
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าท่านอ๋องกำลังกังวลสิ่งใด แต่นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดซ่างกวนซวี่เหยาจึงสามารถเป็นอ๋องแห่งเจิ้นเป่ยได้ เขาเป็นเพียงเหตุให้วังอ๋องประดิษฐานอยู่เท่านั้น
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจประโยคนี้ แต่ก็จดจำมันไว้ในใจ จนกระทั่งหลายปีต่อมาซุนเต๋ออวี่จึงค่อยๆ เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งในคำพูดของท่านอ๋อง
“อย่าปล่อยให้เขาตายละ!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าวพลางชี้ไปนอกหน้าต่าง
ขณะที่ซุนเต๋ออวี่ตอบรับและกำลังจะใช้ท่าร่างลุกขึ้นยกพื้น เขาและเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็เห็นเงาสีขาวกระโดดออกจากห้องโถงชั้นล่างพร้อมกัน มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่หลิวรุ่ยอิ่งอยู่ ก่อนที่เขาจะขยับตัวเสียอีก
“อย่างน้อยเจ้าเด็กนี่ก็ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นในอาณาจักรเจิ้นเป่ยของข้า แต่ในเมื่อเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับคนกลุ่มนี้ ภายภาคหน้ารังแต่จะมีเรื่องทำให้หลิวจิ่งเฮ่าปวดหัว…แม้เขาจะเป็นถึงฉิงจงอ๋องก็ไม่อาจหยุดไว้ได้!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
อารมณ์ของเขาเปลี่ยนเป็นร่าเริงชอบใจในชั่วพริบตา กระทั่งยังสั่งให้ซุนเต๋ออวี่ลงไปสั่งสุรากับเถ้าแก่เนี้ยที่ชั้นล่าง
……………………….
แม้กระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งดูเหมือนไม่อาจต้านทานได้ แต่เมื่อเข้าใกล้คอเกาเหรินสามชุ่น กลับเหมือนแทงเข้าไปในโคลนตม ดันเข้าไปข้างหน้าได้ยากยิ่งนัก
เกาเหรินขมวดคิ้ว เอื้อมมือใช้ลูกปัดงาช้างส่วนหัวของแท่งคำนวณเคาะเบาๆ บนตัวกระบี่ แขนขวาของหลิวรุ่ยอิ่งราวกับได้รับแรงมหาศาล ทำให้ทั้งร่างเสียสมดุล ซวนเซล้มไปข้างหน้า
แต่เขายังคงไร้ปฏิกิริยาและอารมณ์
ไม่ว่าจะใช้สายตามองหรือสัมผัสด้วยใจ ล้วนไม่มีความหงุดหงิดหรือโมโหใดๆ
หลังจากร่างกายมั่นคงแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งก็แทงกระบี่อีกครั้ง
ไม่มีความแตกต่างจากกระบี่ครั้งก่อน
ทว่าพลังยังน่าเกรงขามขึ้นหลายส่วน
แต่ตอนจบก็เหมือนเดิม…
เกาเหรินยังคงใช้แท่งคำนวณทั้งสั้นทั้งบางในมือเคาะเบาๆ ก็ทำลายกระบวนกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งลงได้
หลิวรุ่ยอิ่งแทงกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่า เกาเหรินก็เคาะมันลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ราวกับว่าทั้งสองคนกำลังเล่นการละเล่นที่ตกลงกันไว้
อย่างไรก็ตาม เกาเหรินสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าปลายกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งที่ตอนแรกห่างจากคอตนสามชุ่น ตอนนี้จู่ๆ ระยะห่างก็สั้นลงจนเหลือไม่ถึงสองชุ่น!
หากปล่อยให้เขาทำเช่นนี้ต่อไป ปลายกระบี่จะแทงทะลุคอหอยของเขาไม่ช้าก็เร็ว
แต่เกาเหรินก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า
ในที่สุด
ปลายกระบี่ของหลิ่วรุ่ยอิ่งก็สัมผัสความนุ่มนวลของลำคอเกาเหริน
แต่นี่เป็นจุดจบของกระบี่เล่มนี้…
แม้ว่าจะชิดติดลำคอ แต่ก็ยังไร้ผลใดๆ
เกาเหรินคลายปมคิ้วที่ขมวดและยิ้มให้กับการแสดงออกของหลิวรุ่ยอิ่ง
แท่งคำนวณในมือไม่ได้เคาะกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ดีดนิ้วพุ่งโจมตีไปทางลำคอของหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเมินเฉยอย่างสิ้นเชิง เขาเอาแต่สนใจว่าปลายกระบี่ของตนจะสามารถขยับไปข้างหน้าได้อีกหรือไม่
ไม่มีเวลาให้เขาออกกระบี่ใหม่อีกครั้ง
มีเพียงรวบรวมพลังทั้งหมดและทุ่มสุดตัว บางทีอาจจะสามารถทำลายทางตันนี้ได้
สิ่งที่น่าเสียดายคือ…โชคไม่มีทางเอาแต่เข้าข้างคนเดิมเสมอไป
กระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งยังไม่สิ้นไร้ไม้ตอก
ทว่าพลังจากแท่งคำนวณของเกาเหรินทำให้เกิดรอยแดงบนลำคอของหลิวรุ่ยอิ่ง
เขายอมรับผลสุดท้ายอย่างใจเย็นยิ่งนัก
อย่างน้อยกระบี่ของเขาก็กดลงบนลำคอของเกาเหรินเช่นกัน
นี่ดีกว่าผลลัพธ์ที่เขาคาดไว้ตั้งไม่รู้เท่าไร
…………………………………………………………….