ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 522 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-29
บทที่ 522 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-29
……….
‘กริ๊ง…!…!”
เสียงดังแจ่มชัดดุจกระดิ่งลมดังก้องไปทั่วทั้งเหมือง และค่อยๆ จางหายไปตามสายลม
หลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากข้างกายตน มือขวาที่จับกระบี่พลันรู้สึกนุ่มนวลราวกับกระบี่ทะลุผิวเนื้อ
สายตาเขาไล่ตามแขนขวาของตนลงไป ผ่านมือขวา ตามด้วยตัวกระบี่อย่างต่อเนื่อง
ปลายกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งแทงลำคอของเกาเหรินเข้าแล้ว
ไม่ลึกนัก
เข้าผิวเนื้อเพียงสองสามส่วน
เกาเหรินเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ…
อ้าปากค้าง แต่พูดไม่ออกสักคำ
เปล่งได้เพียงเสียง ‘อั่กๆ’
เลือดผสมปนเปกับฟองมากมายไหลออกจากปากเขาไม่หยุด
ฉากนี้ช่างน่าสังเวชใจเล็กน้อยจนหลิวรุ่ยอิ่งต้องเบือนหน้าไปทางอื่น หมายจะสำรวจต้นตอความอุ่นข้างกายตน
เป็นเจ้าหมิงหมิงที่ยืนอยู่ห่างเขาเพียงกระบี่เดียว
แขนขวาชูขึ้น กระบี่ชี้ฟ้า
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นกระบี่ในมือนางหักเกินกว่าครึ่ง
เหนือด้ามกระบี่เหลือเพียงกระบี่ยาวหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น
เสียงคมชัดเมื่อครู่เกิดจากกระบี่ของเจ้าหมิงหมิงชะล้างแท่งคำนวณของเกาเหรินที่โจมตีมา
หลิวรุ่ยอิ่งก็เผยอปาก คำว่า ‘ขอบคุณ’ ผุดขึ้นในหัวแล้ว
แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงเพียงใด ริมฝีปากก็เอาแต่สั่น พูดไม่ออกสักคำ
“หากท่านสิ้นแล้ว ยังจะมีผู้ใดพาข้าเที่ยวเล่นเมืองหลวงเล่า”
คำพูดธรรมดาและแสร้งทำเป็นราบเรียบออกมาจากปากเจ้าหมิงหมิง หัวใจนางสั่นสะท้านเล็กน้อยเพราะความรุนแรงพลุ่งพล่านในชั่วพริบตานั้น…เส้นลมปราณทุกเส้นตามแขนขาและกระดูกล้วนสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวและความกังวลที่ฝังลึกในใจนาง
นางไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อครู่ตนจึงพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล
อาการชา ยามนี้นางมีเพียงความรู้สึกชาวาบอย่างสุดซึ้งเท่านั้น
ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะมองดูบาดแผลที่ไหล่ซ้ายหลิวรุ่ยอิ่งด้วยซ้ำ…ราวกับถูกอาการชาแช่แข็งไม่อาจขยับเคลื่อนไหว และการทุ่มสุดกำลังก่อนหน้านี้ก็พังทลายลงในคราวเดียวเช่นกัน
ช่วงเวลาชั่วพริบตาเมื่อครู่นั้นต่างกับฝ่ามือมนุษย์อย่างไรหรือ
ชีวิตที่ล่วงเลยผ่านไปก็เหมือนถือฟองมือเดียวแล้วสลายหายไปตามสายลมทันที หากชีวิตมีค่าให้ทะนุถนอมถึงเพียงนี้จริงๆ เหตุใดจึงหายไปง่ายๆ โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้เช่นนี้
เจ้าหมิงหมิงหวาดกลัวความอ่อนแอประเภทนี้…
มันพร้อมทำลายหัวใจของนาง ร่างกายของนางและความคิดของนางทุกเมื่อ แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยต้านทานให้นางได้ ทว่าผู้ใดเล่าจะแข็งแกร่งพอที่จะกำจัดความเปราะบางจนสิ้นได้ แม้ความอ่อนแอจะไม่หมดสิ้นไปทั้งยังเพิ่มความเศร้าโศกเข้าไปด้วย ไม่เพียงแต่ความเศร้ารันทดของตัวนางเอง แต่ยังรวมถึงสายเลือดที่นางต้องแบกรับและความรันทดของเผ่าพันธุ์อีกด้วย
ความรู้สึกที่โลกมนุษย์มอบให้นางเต็มไปด้วยความมืดมิด
ยื่นมือไปท่ามกลางความว่างเปล่าก็มองไม่เห็นทั้งห้านิ้ว แม้กระทั่งร่องรอยของความสงสารหรือแสงแห่งธรรมก็มองไม่เห็นสักเสี้ยวเดียว…ความมืดมิด ความเบื่อหน่ายและความเหนื่อยล้าไม่เคยลดทอน ทว่าเติมเต็มทั่วทุกตารางนิ้วบนผิวหนังของนาง
นางเป็นอสูร
อสูร ไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ
แต่เจ้าหมิงหมิงกลับสัมผัสได้ถึงความร้อนรุ่มและอบอุ่นจากร่างกายมนุษย์ผู้หนึ่ง
ในสายตาของหลิวรุ่ยอิ่ง นางมองเห็นดวงดาราระยิบระยับ พระจันทร์เต็มดวงทั้งกลมและสุกสกาว กระทั่งสายธารใสไหลริน
ทุกสิ่งที่นางเคยพานพบ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือฉากทุกอย่างที่นางเคยมองแล้วแย้มยิ้มบนใบหน้า ก็รวมอยู่ในนั้นหมดแล้ว ทุกครั้งของการจากลาและพบกันใหม่ล้วนเต็มไปด้วยความคาดหวังและเฝ้ารอคอย ไฉนนางจะไม่รอคอยคนผู้นั้นกลับมาอีกครั้งอย่างยินดีเล่า
ในทำนองเดียวกัน หน้าอกของเขาก็พองโตขึ้นเล็กน้อย แต่ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็กลับสู่ความเงียบงัน
จู่ๆ ก็เป็นใบหน้าของสตรีอีกคนหนึ่ง
นางซ้อนทับกับเจ้าหมิงหมิงและเข้ามาแทนที่กันอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นใบหน้าของคนผู้หนึ่งพลันสว่างขึ้นมาและเสียงค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
เลือดสาบานที่เคยให้ไว้กับหยวนเจี๋ยกลายเป็นพันธนาการที่ไม่อาจต่อต้าน ปิดกั้นความภาคภูมิใจแสนต่ำต้อยครั้งสุดท้ายของเขาอย่างแน่นหนา
‘แกร๊ง’
กระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งร่วงหล่นบนพื้น
เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้โน้มตัวลงไปหยิบมันขึ้นมาทันที ทว่าเขากับเจ้าหมิงหมิงสบตากันและยิ้ม
ทุกคนต่างมีปมในใจและความเจ็บปวดของตนเอง เช่นนั้นไฉนต้องคิดไปไกลและหาความทุกข์ใส่ตนเล่า
เกาเหรินกุมลำคอของตน กระอักเลือดคำใหญ่ไม่หยุด
เขาต้องการเอ่ยบางสิ่ง ทว่าเขาพูดไม่ได้อีกต่อไป
กระบี่เมื่อครู่ของหลิวรุ่ยอิ่ง แม้จะพรากชีวิตเขาไม่ได้ แต่ก็ลิดรอนสิทธิ์ในการเอ่ยถ้อยคำของเขาตลอดกาล
สำหรับคนบ้าที่พูดมากแล้ว นี่กลับทรมานยิ่งกว่าการฆ่าเขาเสียอีก
แต่สำหรับโลกมนุษย์นี้ การที่เกาเหรินหุบปากไปตลอดกาลก็นับเป็นเรื่องดียิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งหันไปมองเกาเหรินด้วยสายตาเศร้าสร้อยเล็กน้อย…ท้ายที่สุดเขาก็กลายเป็นคนพิการเช่นเดียวกับเยี่ยเหว่ยอาจารย์ของเขาและเซียวจิ่นข่านศิษย์น้องของเขา
เจ้าหมิงหมิงหยิบกระบี่ที่ตกลงบนพื้นแทนหลิวรุ่ยอิ่ง
หลังจากเก็บกระบี่เข้าฝักแล้ว เขาเห็นเกาเหรินถอยไปอีกด้านของโต๊ะ กำลังใช้นิ้วชุ่มเลือดที่ไหลออกจากลำคอเขียนอักษรบนโต๊ะ
เขาเขียนอย่างรวดเร็วและไก่เขี่ยยิ่งนัก
หลังจากเขียนเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมองหลิวรุ่ยอิ่ง อยากจะหัวเราะแต่ก็กลัวจะกระทบบาดแผลที่ลำคอ ได้แต่ขยิบตาอย่างไร้ทางเลือก…จากนั้นหยิบตะเกียงแล้วเดินจากไปไกลๆ ทีละก้าว
เจ้าหมิงหมิงมองแผ่นหลังที่จากไปของเกาเหรินแล้วเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ตอบ ทว่าขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วพยายามใช้สายตาเพ่งมองสิ่งที่เกาเหรินเขียนไว้บนโต๊ะ
“วันเวลาอีกยาวไกล…”
หลิวรุ่ยอิ่งเงียบขรึม
จากนั้นก็โบกมือไปไกลๆ จนมีร่างหนึ่งโผล่ออกมาและเดินอาดๆ มาที่นี่ทีละก้าว
“วันนี้ช่างตื่นเต้นยิ่งนัก เจ้าจัดอันดับไว้ที่เท่าไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งมองผู้มาเยือนแล้วถาม
เจ้าหมิงหมิงคิดไม่ถึงว่าที่นี่ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย รู้สึกทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ
“อันดับหนึ่ง! สมควรเป็นที่หนึ่ง! แม้ว่าตอนนี้ยังไม่เข้าคิมหันต์ฤดู แต่ข้าก็รับประกันได้ว่าแม้แต่งานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมที่จะเริ่มในภายหลังก็ยังไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าเจ้ากับเกาเหริน!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“อยากจะไปทางเดียวกับข้าหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เสี่ยวจีหลิงย่อมอยากไปเมืองหลวงอยู่แล้ว แม้เขาจะกล้าพูดได้เต็มปากว่างานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับคืนนี้ แต่ความคึกคักยิ่งใหญ่เพียงนี้ ด้วยนิสัยของเขาหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ต้องไปดูให้ได้
“วันเวลายังเร็วไปนัก ข้าจะไปพักผ่อนหย่อนใจที่แม่น้ำจักรพรรดิ…ช่วงต้นเหมันต์ฤดูมีการแสดงดีๆ หากข้าไม่รักษาจิตใจให้กระชุ่มกระชวย ไหนเลยจะร่วมสนุกได้เล่า”
เสี่ยวจีหลิงพูดพร้อมกับขยิบตา
“ก่อนจะไปช่วยข้าก่อนสักเรื่องหนึ่งสิ!”
หลิวรุ่ยอิ่งคว้าข้อมือของเสี่ยวจีหลิงแล้วกล่าว
“ช่วยสิ่งใด”
เสี่ยวจีหลิงเอ่ยถาม
……………………….
ค่ำคืนไร้ดวงเดือน
เซียวจินข่านเดินออกจากที่พักของเขาในหอทรงปัญญาเกินกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว และเดินผ่านแดนสุขสัญจรจนมาถึงร้านของเยี่ยเหว่ยอาจารย์ของเขา
วันเวลาเหล่านี้เดิมควรจะเป็นหนึ่งในสิบวันที่เยี่ยเหว่ยเมาปลิ้นจนไม่ทำงานทำการ
แต่คืนนี้จุดตะเกียงหน้าประตู ราวกับกำลังรอใครบางคน
“สร่างเมาตั้งแต่เมื่อไรหรือขอรับ”
เซียวจินข่านเดินเข้ามาแล้วถาม
“วันนี้ไม่ได้ดื่ม”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
แต่บนโต๊ะเบื้องหน้าเขามีไหสุราและชามกระเบื้องหยาบสองใบวางอยู่
“รอข้าอยู่หรือขอรับ”
เซียวจิ่นข่านเอ่ยถาม
“ข้าเป็นอาจารย์เจ้า แน่นอนว่าหยั่งรู้ได้ว่าเจ้าจะมา!”
เยี่ยเหว่ยพูดอย่างดูแคลนยิ่ง
ดึงแขนเสื้อของเซียวจินข่านให้เขานั่งลง แทบรอไม่ไหวที่จะรินสุราให้ตนเองจนเต็มชาม
ขณะที่เขากำลังจะดื่มจนเกลี้ยง จู่ๆ ก็หยุดชะงักที่ริมฝีปาก ตามด้วยถอนหายใจเฮือกแล้วสาดสุราครึ่งชามลงบนพื้น
“เขาไม่ได้ตายเสียหน่อย ไฉนท่านจึงทำเช่นนี้เล่า”
เซียวจิ่นข่านเอ่ยถาม
“นับตั้งแต่นี้ไป ในใจข้านับว่าเขาตายไปแล้ว”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
เมื่อศิษย์กล้าแย่งชามสุราจากอาจารย์ เป็นเรื่องที่นับว่าแปลกนัก
บิดาตีบุตร ศิษย์เคารพอาจารย์จึงจะเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่แย่งสุราอาจารย์ดื่ม ไม่ว่าอย่างไรก็ไร้เหตุผลสิ้นดี
แต่เซียวจินข่านกลับทำเช่นนี้ไปแล้ว
สิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ เยี่ยเหว่ยอาจารย์ของเขาไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับกันยังหยิบไหสุราขึ้นมารินให้ตนเองเต็มชามอีกครั้งอย่างเป็นธรรมชาติ
“ได้ยินมาว่าเจ้ารับศิษย์มาหนึ่งคนหรือ”
เยี่ยเหว่ยเอ่ยถาม
อาจารย์และศิษย์ทั้งสองเอาแต่ดื่มสุราหลายชามเงียบๆ เยี่ยเหว่ยจึงเอ่ยปากถามทำลายความเงียบ
“ให้ท่านมีศิษย์หลานเพิ่มสักคน เพิ่มความอาวุโสไม่ดีหรอกหรือ”
เซียวจิ่นข่านเอ่ยถาม
“ศิษย์ของเจ้าเอาแต่เรียกเจ้าเด็กกรมสอบสวนนั่นว่าอาจารย์อา…นี่ไม่นับว่าเขาเป็นศิษย์หลานครึ่งหนึ่งของข้าด้วยหรอกหรือ ข้าไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องผลกรรมอะไรกับกรมสอบสวนกลาง!”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ท่านเคยทำนายหลิวรุ่ยอิ่งหรือไม่”
เซียวจิ่นข่านเอ่ยถาม
“ไม่เคย”
เยี่ยเหว่ยตอบอย่างตรงไปตรงมานัก
“ข้าเคยทำนายขอรับ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
เขาไม่ใช่คนบ้า
ทั้งไม่เหมือนเกาเหรินที่เอาแต่ถามเองตอบเอง
เยี่ยเหว่ยก็รู้กฎเกณฑ์ยิ่ง จึงไม่ได้ไถ่ถามเพิ่มเติม
อย่างไรเสียศิษย์ของเขาในตอนนี้ก็คือไท่ไป๋ สุดยอดนักพรตอินหยาง แต่เขาเป็นเพียงตาเฒ่าที่ทำอาหาร ดื่มสุราและหยอกล้อกับห่านป่าเท่านั้น
“ข้ายังทำนายท่านด้วยขอรับ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ครั้นคำพูดนี้หลุดออกมา เยี่ยเหว่ยถึงตอบรับแผ่วเบา
“คืนนี้เจ้ามาเพราะเขากลายเป็นใบ้แล้วยังมีเรื่องใดอีกเล่า”
เยี่ยเหว่ยเอ่ยถาม
เขาเริ่มหมดความอดทน เหมือนต้องการให้เซียวจินข่านรีบออกไปเสียที
“ดื่มสุราขอรับ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“นอกจากดื่มสุราแล้วเล่า”
เยี่ยเหว่ยซักไซ้
หายากยิ่งนักที่เขาทรหดอดทนเช่นนี้
“ปรึกษาท่านเรื่องที่ว่าเมื่อใดจะเดินทางไปเมืองหลวงขอรับ”
เซียวจินข่านกล่าวหลังจากกระดกสุรา
งานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมใกล้จะมาถึง ทั้งใต้หล้าไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือปัญญาชนล้วนไปร่วมความครึกครื้นที่เมืองหลวง กระทั่งห้าอ๋องก็เช่นกัน
เซียวจินข่านรับปากกับตี๋เหว่ยไท่แล้วว่า ครั้งนี้จะเป็นผู้นำในการพาคนของหอทรงปัญญาไปเมืองหลวง และก็ได้ทำนายออกมาแล้วว่าเยี่ยเหว่ยอาจารย์ของตนจะรับปากไปพร้อมกับฮั่ววั่งติ้งซีอ๋อง คืนนี้ที่มานอกจากจะเย้ยหยันศิษย์พี่ที่น่าเวทนาผู้นั้นกับอาจารย์ของตนแล้ว เรื่องนี้ถึงจะสำคัญยิ่งกว่า
“ฮั่ววั่งบอกว่าจะมารับข้า”
“เดิมข้าคิดว่าท่านจะไปกับข้าด้วย”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ไม่ได้ยินถึงความผิดหวังในถ้อยคำ
“ข้าเข้ากับตี๋เหว่ยไท่ไม่ได้…ที่สำคัญคือร่ำเรียนมาน้อยและพูดมากเกินไป อายุปูนนี้แล้วเกรงว่าจะถูกหัวเราะเยาะเอาได้!”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
เซียวจินข่านเห็นว่าอาจารย์ของตนเริ่มพูดแกมตลกกลบเกลื่อน จึงรู้ว่าคืนนี้คงต้องกลับไปพร้อมท้องว่างที่มีแต่สุราเท่านั้น
แม้เยี่ยเหว่ยจะแปลกใจเล็กน้อยว่าเหตุใดเซียวจินข่านจึงสนใจงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมครั้งนี้ถึงเพียงนี้ แต่ก็ลังเลเพียงชั่วครู่ จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เอ่ยถาม
“ไปดูสหายพูดคุยและร่ำร้องบทเพลงแห่งชัยชนะยังไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจมากอีกหรือ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
เขาไม่เพียงพูดแทงใจในสิ่งที่เยี่ยเหว่ยคิด ซ้ำยังเปิดเผยจุดประสงค์ที่ตนเดินทางไปเมืองหลวงจนหมดเปลือก
“เดิมงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย…”
เยี่ยเหว่ยกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย
“แต่เขาอยู่ด้วย ตัวแปรเพิ่มขึ้น! ยิ่งกว่านั้นครั้งนี้ยังมีเผ่าอสูรเดินทางมาพร้อมกับเขา ใครจะรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“เจ้าก็รู้กฎเกณฑ์ของสุดยอดนักพรตอินหยางดี!”
ทันใดนั้นเยี่ยเหว่ยก็เริ่มจริงจังผิดปกติ
เซียวจินข่านบอกเขาก่อนหน้านี้ว่าเคยทำนายหลิวรุ่ยอิ่ง เช่นนั้นย่อมรู้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเมื่อหลิวรุ่ยอิ่งกลับเมืองหลวงในครั้งนี้ แต่เขาอาศัยโอกาสของงานประชันพยัคฆ์มังกรไปยังเมืองหลวง หากทั้งหมดไม่ได้เป็นเพราะเรื่องหลิวรุ่ยอิ่ง เยี่ยเหว่ยไม่มีทางเชื่อลง แต่ในฐานะสุดยอดนักพรตอินหยางย่อมต้องมีสำนึกรู้ของตนเอง
ไม่ว่ามิตรภาพระหว่างเขาและหลิวรุ่ยอิ่งจะลึกซึ้งเพียงใดก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับชะตากรรมของชาวโลก แต่ละคนมีอิสระ วิถีและโชคชะตาของตน การแทรกแซงหนเดียวเสมือนเลี่ยงหายนะได้ แต่วงจรนี้จะเกิดซ้ำอีก หนนี้เลี่ยงได้ทว่าไม่รู้ว่าจะย้อนกลับมาพบมันอีกครั้งเมื่อใด ที่ใดและแห่งหนใด
“ข้ามีขอบเขตขอรับ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
เยี่ยเหว่ยพยักหน้าและ ลุกขึ้นและเดินไปปลดเบาด้านหลัง
พอเขากลับมา เซียวจิ่นข่านก็ไปแล้ว
เหลือเพียงชามเปล่าสองใบและไหสุราเปล่าบนโต๊ะ
……………………………………………………………….