ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 523 ความสนุก ณ ที่แห่งนี้-1 [ภาคที่ 3 งานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรม]
- Home
- ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา
- บทที่ 523 ความสนุก ณ ที่แห่งนี้-1 [ภาคที่ 3 งานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรม]
บทที่ 523 ความสนุก ณ ที่แห่งนี้-1 [ภาคที่ 3 งานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรม]
……….
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวรุ่ยอิ่งโดยสารรถม้า ทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นชินยิ่งนัก แม้ว่าการขี่ม้าจะโคลงเคลงไปมากว่า แต่เมื่อคนอยู่บนหลังม้า สองเท้าเหยียบโกลน สองมือจับสายบังเหียนแน่นก็สามารถกระเพื่อมตามการขึ้นลงของอานม้าได้
แต่การนั่งอยู่ในรถม้าไม่อาจควบคุมทุกสิ่งได้ ทำได้เพียงทนรับความรู้สึกโคลงเคลงเท่านั้น แม้จะหย่อนก้นนั่งมั่นคงเพียงใด ก็เปลี่ยนแปลงสถานการณ์เช่นนี้ได้ยาก ยิ่งกว่านั้นสามคนเบียดเสียดกันในรถม้าก็ค่อนข้างอึดอัด…
กลิ่นหอมโชยจากกายเจ้าหมิงหมิงทำเอาหลิวรุ่ยอิ่งสับสนในความคิด จำต้องเลี่ยงมองไปนอกหน้าต่างหมายจะเบี่ยงเบนจิตใจที่ฟุ้งซ่าน ทว่าหน้าต่างรถที่เขาหันหน้าเข้าหากลับถูกหวาหนงที่ขี่ม้าบังเอาไว้เต็มๆ มองไม่เห็นทิวทัศน์ใดด้วยซ้ำ
ทิวทัศน์ที่ถูกบดบังเบื้องหน้ากลายเป็นความหงุดหงิดที่มองไม่เห็น เมื่อเทียบกับกลิ่นหอมข้างหลังก็ดูจะรุนแรงยิ่งกว่า ไม่ได้ฉุนเตะจมูก แต่เป็นกลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้าจางๆ ที่ถูกสายลมพัดมา บวกกับกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของพืชนับร้อยชนิดที่กรองด้วยน้ำแร่บริสุทธิ์ เหลือกลิ่นเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น
พื้นที่เล็กแคบถูกกลิ่นอายนั้นเติมเต็ม คล้ายกับสองมืออ่อนนุ่มลูบไล้ไปมาตามใบหน้าและลำคอของหลิวรุ่ยอิ่ง อาการคันในจมูกยิ่งยากทนไหว เขาไม่กล้าสูดหายใจแรง กลัวว่ากลิ่นหอมนี้จะทำให้ความคิดของเขาฟุ้งซ่านจนถึงขีดสุด
พวกเขาออกจากเหมืองแร่ทะเลทรายโกบีแล้ว เมื่อวานหลังจากนำเบี้ยหวัดกลับโรงเตี๊ยมเถ้าแก่เนี้ยพร้อมกับเสี่ยวจีหลิงแล้ว ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งปรึกษากับเจ้าหมิงหมิงก็ตัดสินใจรีบออกเดินทางโดยไม่หยุด
แต่เยว่ตี๋กลับต้องการให้หลิวรุ่ยอิ่งอยู่ต่ออีกสองสามชั่วยาม ทางที่ดีก็ควรรอจนกว่าเจิ้นเป่ยอ๋องจะตื่นนอนและตรวจสอบด้วยตนเองสักรอบก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง แต่หลิวรุ่ยอิ่งเพียงยิ้ม ไม่ได้ตอบรับ
เรื่องที่ควรทำเขาก็ทำแล้ว ส่วนอื่นๆ ที่เหลือเหล่านั้นให้เยว่ตี๋ทำแทนได้ทั้งสิ้น เยว่ตี๋รู้ดีว่าจิตใจของหลิวรุ่ยอิ่งไม่อยู่ที่นี่แล้ว และร่างกายยังบาดเจ็บอีกด้วย รีบจากไปเร็วหน่อยก็คงไม่มีผู้ใดว่ากล่าวสิ่งใดได้
ก่อนออกเดินทางหลิวรุ่ยอิ่งถามเสี่ยวจีหลิงว่าเหตุใดนายท่านจินไม่กลับไปพร้อมกับเขา เสี่ยวจีหลิงบอกว่าเมื่อวานนายท่านจินดื่มสุราหนักจึงเข้านอนไวยิ่งนัก ยิ่งกว่านั้นหากแก้ปัญหาเรื่องเบี้ยหวัดส่วนนี้อย่างน่าพอใจ เขาก็ยังมีคนผู้หนึ่งต้องไปจัดการ หลิวรุ่ยอิ่งเคยพบคนผู้นั้นมาก่อน เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวในจวนชิง หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่อาจช่วยเหลือได้ ได้แต่ขอให้เสี่ยวจีหลิงส่งข้อความปิดผนึกถึงนายท่านจินว่า ‘วันเวลาอีกยาวไกล พบกันที่เมืองหลวง’
ไม่รู้เพราะเหตุใด นับตั้งแต่เห็นคำว่า ‘วันเวลาอีกยาวไกล’ ที่เกาเหรินใช้เลือดเขียนบนโต๊ะในคืนนั้น ก็เอาแต่วนเวียนอยู่ในหัวของหลิวรุ่ยอิ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจสลัดออกจากหัวได้ ในรถม้าอึดอัดเกินไปจริงๆ ทั้งยังเพราะเขาบาดเจ็บที่ไหล่ซ้ายจึงขี่ม้าไม่ได้ชั่วคราว ด้วยเหตุนี้จึงดูหดหู่ไม่ร่าเริงไปบ้าง
ผู้ใดจะรู้ว่าแม่นางน้อยนี่จะหัวแข็ง เอาแต่ยืนกรานว่าไม่ถึงเมืองหลวงก็จะไม่กินเกาลัดคั่วน้ำตาลเด็ดขาด นี่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ของดีที่สุดรออยู่เบื้องหน้า ไฉนต้องกินของปลอมเกลื่อนกลาดเหล่านี้ด้วยเล่า
สิ่งที่นางคิดไม่เพียงแต่เกาลัดคั่วน้ำตาลเท่านั้น แต่เกาลัดยังแบ่งออกเป็นหลายระดับ ไม่อร่อย ปานกลาง อร่อยและคุณภาพเยี่ยม
ว่าด้วยความพิถีพิถันแล้ว นางเคยชิมเกาลัดมาแล้วหลายร้อยแห่ง และย่อมต้องเดินไปตามเส้นทางของความอร่อย ผิวจะต้องบาง ชั้นในต้องไม่เหนียวหนืดและมันปลาบนัก จะต้องเป็นเนื้อผลสมบูรณ์ ไม่แห้งไม่แฉะ พื้นผิวหยาบกร้านและมีรสหวานเล็กน้อย ที่สำคัญที่สุดอย่าให้ตัวเกาลัดมีกลิ่นหอมมากเกินไป
แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำยืนกรานเช่นนี้ของเกาลัดคั่วน้ำตาล หลิวรุ่ยอิ่งก็เคร่งเครียดเล็กน้อย…ในตอนแรกเป็นเพียงคำพูดส่งเดชเท่านั้น จริงอยู่ที่เมืองหลวงเจริญรุ่งเรือง แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีเกาลัดคั่วน้ำตาลที่อร่อยที่สุด สถานที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดใช่ว่าจะมีอาหารที่อร่อยที่สุด
หลักการนี้ก็เหมือนกับการเข้าพักห้องที่หรูหราที่สุดในโรงเตี๊ยมพูนโชค แต่กลับไม่รู้สึกเหมือนได้กลับบ้านแต่อย่างใด เดิมหลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าตนคงไม่มีทางคิดถึงเมืองหลวงหรือกรมสอบสวนกลาง แต่คิดไม่ถึงว่าการเดินทางครั้งนี้รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน…จึงอดยิ้มไม่ได้ พลันรู้สึกว่าตนช่างสิ้นหวังยิ่งนัก!
“คิดสิ่งใดอยู่หรือ”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ข้ากำลังคิดถึงเมืองหลวง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“คิดถึงบ้านหรือ”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
“ประมาณนั้นกระมัง…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เจ้าหมิงหมิงเม้มริมฝีปาก เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับคำตอบของหลิวรุ่ยอิ่ง
คิดถึงก็คือคิดถึง ไม่คิดถึงก็คือไม่คิดถึง ประมาณนั้นกระมังเป็นคำตอบเช่นไรกันแน่ อย่างไรเสียก็เป็นถึงชายหนุ่มที่เหวี่ยงกระบี่ดื่มสุราตัดหัวคน เหตุใดจึงเอ่ยวาจากระมิดกระเมี้ยนเช่นนี้…
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของเจ้าหมิงหมิง ตรงกันข้ามถูกนางกล่าวเช่นนี้ ในใจพลันคิดถึงเมืองหลวงมากขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
นางอยากจะพูดคุยกับหลิวรุ่ยอิ่ง ไม่เช่นนั้นบรรยากาศในรถม้านี้จะเงียบงันขึ้นไปอีก
“หากไม่มีเรื่องอื่นมาทำให้เสียเวลา พรุ่งนี้ในยามนี้ก็น่าจะถึงแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างเหม่อลอย
“คราแรกที่พบกัน ท่านร้อง ‘สุราบงกช’ ให้ข้าฟังแต่ก็ยังร้องไม่จบ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ของพรรค์นั้น…ไม่ดื่มสุราจะร้องไม่ออกน่ะ!”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“ข้าได้ยินว่าบทเพลงนั้นมีเรื่องราวใช่หรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
“มีน่ะก็มีอยู่หรอก แต่ข้าจำไม่ค่อยได้แล้ว…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“จำได้เท่าใดก็เล่าเท่านั้น ข้าอยากฟัง”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“รอยามที่ได้ดื่มสุราก่อนแล้วค่อยเล่าเถิด”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยปฏิเสธ
เจ้าหมิงหมิงจ้องหลิวรุ่ยอิ่งพลางกะพริบตาปริบๆ จากนั้นล้วงกาสุราเล็กๆ ใต้ท้องรถแล้วยื่นให้ หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าคือสิ่งใด ขณะที่ยื่นมือออกมารับ จู่ๆ เจ้าหมิงหมิงก็ดึงมือกลับ นางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าแผลที่ไหล่ซ้ายของหลิวรุ่ยอิ่งยังไม่สมานกันดี จึงไม่เหมาะที่จะดื่มสุรา
‘กึงกัง!’
จู่ๆ รถม้าก็เอียงไปข้างหนึ่ง ร่างหลิวรุ่ยอิ่งโอนเอนจนเกือบจะพุ่งออกนอกหน้าต่างไป โชคดีที่ในยามคับขันนี้เจ้าหมิงหมิงเอื้อมมือมาประคองไว้จึงทำให้เขาไม่ขายหน้า แต่แผลที่ไหล่ซ้ายปริออกจนเลือดซึมเสื้อผ้าอีกครั้ง
“เกิดสิ่งใดขึ้น”
“คุณหนู…ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ…คูน้ำและหลุมใหญ่นี่ผุดขึ้นบนพื้นอย่างประหลาดนัก! ข้าคิดจะหลบเลี่ยงคูน้ำนั่น ทว่าทำล้อหลังตกลงไปในหลุมโดยไม่ทันระวังเจ้าค่ะ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดด้วยความเสียใจยิ่งนัก
“ง่วงนอนใช่หรือไม่ ข้าบอกเจ้าแล้วว่า หากง่วงนอนก็ให้สุ้มเสียง ข้าจะบังคับรถเอง!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เกาลัดคั่วน้ำตาลหน้าเศร้าสลดไม่กล้าตอบและรีบกระโดดลงจากรถเพื่อตรวจสอบทันที
“แกนล้อหักแล้ว”
หวาหนงกล่าว
เขายืนอยู่ข้างหลุมและมองเห็นชัดเจน
เกาลัดคั่วน้ำตาลรู้ตัวว่าทำผิดจึงยืนนิ่งอยู่กับที่ อยู่ไม่สุขจนบิดชายเสื้อ ใบหน้าแดงก่ำและไม่เอ่ยสิ่งใด
หลังจากเจ้าหมิงหมิงจัดการแม่นางน้อยลึกลับผู้นั้นในรถแล้วจึงลงจากรถมาตรวจสอบพร้อมกับหลิวรุ่ยอิ่ง คิดไม่ถึงว่าดูเหมือนแม่นางน้อยจะได้สติกลับคืนมาเล็กน้อย ครั้นเห็นเจ้าหมิงหมิงจะออกไปและทิ้งตนเองไว้ในรถเพียงลำพัง จึงเอื้อมมือไปคว้าเสื้อของเจ้าหมิงหมิงไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งเจ้าหมิงหมิงตบหลังมือเบาๆ แล้วแย้มยิ้มจึงยอมปล่อยมือและนั่งรอในรถอย่างเชื่อฟัง
“หึๆ!”
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะเมื่อเห็นว่าล้อหลังรถม้าตกลงไปในหลุมจนทำให้แกนหัก แต่มาเห็นเจ้าหมิงหมิงกลอกตาเข้าพอดี เขาจึงหุบยิ้มทันที ดวงตาฉายแววจนปัญญา จากนั้นรอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนริมฝีปากอีกครั้ง
การนำรถม้าขึ้นจากหลุมไม่ใช่เรื่องยาก
หวาหนงคนเดียวก็ทำได้
เพียงแต่รถที่แกนพังไปแล้วในสถานที่ห่างไกลไร้หมู่บ้านไร้ร้านค้าล้วนไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น แม้จะยกมันขึ้นจากหลุมก็ไม่ช่วยอะไร
หลิวรุ่ยอิ่งเดินอ้อมไปอีกด้าน ย่อตัวลงและเริ่มมองดูคูน้ำที่เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยถึงก่อนหน้านี้อย่างละเอียด หากไม่ใช่เพราะมีคูน้ำนี้อยู่และเกาลัดคั่วน้ำตาลพยายามหลบเลี่ยง รถม้าก็จะไม่ตกหลุม
หลังจากหลิวรุ่ยอิ่งตรวจสอบเสร็จแล้ว เขาก็เดินไปข้างกายเจ้าหมิงหมิงแล้วลากนางมาข้างๆ เบาๆ เดิมทีเจ้าหมิงหมิงกำลังคาดโทษเกาลัดคั่วน้ำตาล พลันรู้สึกสับสนกับการกระทำกะทันหันของหลิวรุ่ยอิ่ง แต่พอหวนคิดก็เข้าใจขึ้นมาว่าดูเหมือนเขามีสิ่งใดจะพูดกับตน
เจ้าหมิงหมิงถามอย่างงุนงง นางฟังไม่เข้าใจ
“ท่านรู้เรื่องที่บนโลกนี้มีคนแกร่งปล้นชิงผู้คนหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เจ้าหมิงหมิงพยักหน้าเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง
นางเคยเห็นถ้อยคำที่คล้ายกันในตำรา เคยได้ยินจากเรื่องเล่า แต่ไม่เคยประสบด้วยตนเอง
“เมื่อก่อนผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นรีดไถตรงไปตรงมา ขอเงินทองของมีค่า ไม่ให้ก็จะประจันหน้าด้วยดาบกระบี่ ตอนนี้พวกเขาฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“สรุปว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ พูดให้ชัดเจนกว่านี้หน่อยได้หรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงถามอย่างร้อนใจ
“พวกเขาขุดคูน้ำนี่ก่อน ท่านดูคูน้ำนี่สิ มันครองพื้นที่ประมาณสองในสามของความกว้างถนนทั้งหมด หลังจากที่เกาลัดคั่วน้ำตาลพบคูน้ำนี่จึงรีบร้อนหลบเลี่ยงจนล้อหลังของรถม้าตกลงไปในหลุมอย่างง่ายดาย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เจ้าหมิงหมิงมองจุดหน้าหลังและค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดของหลิวรุ่ยอิ่ง
เพียงแต่นางยังไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องกับคนแข็งแกร่งที่หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวมาอย่างไร
ครั้นถามอีกหน หลิวรุ่ยอิ่งเอาแต่ยิ้มไม่ตอบ ให้นางรอก่อนและทำใจให้สบาย
เป็นไปดังคาด ไม่นานนักคนราวๆ ห้าถึงหกคนก็โผล่ออกมาจากป่าด้านข้างเรื่อยๆ เมื่อเห็นรถม้าของพวกหลิวรุ่ยอิ่งตกลงไปในหลุมจึงทยอยเข้ามาล้อมรอบอย่างกระตือรือร้น
“น้องชายล้อติดหล่มหรือ”
คนเป็นหัวหน้าประสานมือและเอ่ยอย่างสุภาพ
“ถูกต้อง เมื่อครู่ไม่ทันระวัง หลบเลี่ยงคูน้ำนั่นจนไม่ทันสังเกตว่าตรงนี้มีหลุมลึกอยู่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขารู้อยู่แล้วว่าคนเหล่านี้ย่อมต้องเป็นคนขุดคูน้ำและหลุมบนถนนนี้ การกระทำเช่นนี้ของพวกเขาเป็นเพียงการอ้างว่าช่วยเหลือเพื่อเรียกร้องค่าใช่จ่ายสูงลิ่ว เทียบกับคนแกร่งในอดีตถือว่าฉลาดไม่น้อย ภาครัฐก็ยังจัดการได้ยากยิ่ง อย่างไรเสียผู้อื่นปรี่เข้ามาช่วยด้วยท่าทีที่เป็นมิตรและกระตือรือร้น การเรียกร้องเบี้ยเงินก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลก
หากไม่ต้องการให้ คนอื่นอาจจะแค่เดินจากไป เพียงแต่ในสถานที่รกร้างแห่งนี้ การพบปะผู้คนเดินถนนเป็นเรื่องยากยิ่ง ครั้นรอต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะเสียเวลาไปอีกกี่ชั่วยาม ฉะนั้นวิธีนี้จึงได้ผลทุกครั้ง
“ล้วนเป็นผู้สัญจรไปมา คุยกันง่าย เพียงแต่ว่าพวกข้าพี่ชายหลายคนช่วงนี้เงินขาดมือ ไม่รู้ว่าท่านสามารถช่วยได้หรือไม่…”
หัวหน้าถูมือแล้วกล่าว
หลังโค้งงอ ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ดูเหมือนจะพูดสิ่งที่ขายหน้าอย่างยิ่ง
“ไม่ได้!”
หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่ทันตอบ หวาหนงก็ปฏิเสธทันควัน
ทันทีที่คนผู้นี้ได้ยินหวาหนงปฏิเสธ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที
………………………………………………………