ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 58 ผู้เป็นบรมครู-1
บทที่ 58 ผู้เป็นบรมครู-1
ในโรงเตี๊ยมพูนโชค เมืองติ้งซีอ๋อง
คนที่ยืนท่องกลอนเสียงดังอยู่หน้าประตูผู้นี้กลับเป็นจิ่วซานปั้นที่เคยได้เจอกับหลิวรุ่ยอิ่งแล้วดื่มสามจอก
เขาท่องเสร็จแล้วก็เดินตรงดิ่งมาข้างกายแม่นางผู้นี้ มองนางเงียบๆ
“หือ? มีเรื่องอะไร”
แม่นางเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไร แค่เห็นเจ้างาม”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“คนหิวรอข้าวไม่งามหรอก…ไปโถงด้านหลังแล้วช่วยข้าเร่งผัดไก่ กินอิ่มแล้วข้าจะให้เจ้ามองให้พอ!”
แม่นางผู้นี้กล่าว
จิ่วซานปั้นได้ยินแล้วเดินไปโถงด้านหลัง แต่ถูกเสี่ยวเอ้อร์ขวางไว้
“ท่านลูกค้า โถงด้านหลังเป็นสถานที่สำคัญ ท่านเข้าไม่ได้ขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“แต่แม่นางผู้นี้ให้ข้าไปเร่งผัดไก่ ข้าจำเป็นต้องเข้าไป”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“ท่านลูกค้า ไม่ได้จริงๆ ขอรับ เรามีกฎเช่นนี้ตั้งแต่แขวนป้ายโรงเตี๊ยมพูนโชคแล้ว”
เสี่ยวเอ้อร์กล่าวพลางยกเรื่องป้ายร้านค้าของโรงเตี๊ยมพูนโชคออกมาพูด
เพียงแต่เขาใช้วิธีนี้ผิดคนแล้ว
จิ่วซานปั้นรู้จักป้ายโรงเตี๊ยมพูนโชคที่ไหน เขาสนใจแค่ต้องทำเรื่องที่ตนรับปากให้สำเร็จ
“เช่นนั้นเจ้าถอดป้ายก่อนก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ ถ้าไม่สะดวกข้าช่วยเจ้าเอง”
จิ่วซานปั้นเอ่ยพลางชี้หน้าประตู
“ดี! พูดได้ดี! ถอดเลย!”
เมื่อได้ยินจิ่วซานปั้นจะรื้อป้ายร้านของโรงเตี๊ยมพูนโชค คนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านในโถงที่เมื่อครู่แทะโลมแม่นางผู้นี้ไม่สำเร็จจึงเริ่มยุยงส่งเสริมอีก คนตบโต๊ะก็ตบโต๊ะ คนเคาะจานชามก็เคาะจานชาม ทุกคนต่างโห่ร้องสนับสนุนจิ่วซานปั้น
เสี่ยวเอ้อร์เห็นสถานการณ์ก็มีน้ำโห พลันพับแขนเสื้อขึ้นกล่าว “เฮ้ย! ทำไมเจ้าถึงก่อกวนไม่เลิกเช่นนี้! บอกว่าเข้าไม่ได้ก็คือเข้าไม่ได้ เจ้าพูดมั่วเอะอะอะไรกัน?! ยังจะถอดป้ายร้านโรงเตี๊ยมพูนโชคของพวกเราอีก เจ้ากล้างั้นรึ ต่อให้กล้าแล้วเจ้ามีความสามารถรึ เจ้ารู้หรือไม่ป้ายร้านนี่หนักแค่ไหน ร่วงลงมาทุบเจ้าแหลกเละอยู่บนพื้นได้เลย แกะก็แกะไม่ออก! ดูท่าทางเจ้า เข้ามาในนี้ทำไม นี่เป็นสถานที่ที่เจ้าเข้าได้งั้นรึ คงไม่ใช่จะไปแอบกินน้ำล้างชามในโถงด้านหลังหรอกกระมัง!”
เพิ่งสิ้นเสียงเสี่ยวเอ้อร์ทั้งโถงก็โห่ร้องชอบใจ
‘ฟึ่บ!’
ไม่มีใครเห็นว่าจิ่วซานปั้นออกกระบี่อย่างไร
พริบตาเดียว กระบี่ยาวค้ำอยู่บนคอเสี่ยวเอ้อร์แล้ว เขาตกใจจนหน้าซีดเผือดทันที สองขาสั่นงกเงิ่น อ้าปากแต่พูดไม่ออกสักคำเดียว
“ท่านลูกค้า โปรดอย่าเพิ่งใจร้อน โรงเตี๊ยมพูนโชคไม่ใช่สถานที่ที่ท่านจะพาลเกเรได้!”
เจ้าของร้านก็รู้ว่าเมื่อครู่เสี่ยวเอ้อร์พูดแรงเกินไปหน่อยจริงๆ แต่เขาทำเพื่อชื่อเสียงของโรงเตี๊ยมพูนโชคไม่ใช่หรือ อีกอย่างช่วยฝ่ายที่มีเหตุผล อย่างไรก็ต้องพูดให้คนของตัวเอง
“เขาดูหมิ่นข้า ข้าเลยจะสังหารเขาก่อนแล้วถอดป้ายร้าน จากนั้นค่อยไปเร่งผัดไก่ในโถงด้านหลัง เช่นนี้ทำถูกกฎแล้วใช่หรือไม่”
จิ่วซานปั้นเอ่ยพลางมองไปที่เจ้าของร้าน
“เฮ้อๆๆ เจ้านี่จริงๆ เลย…ไม่ต้องเร่งแล้ว เก็บกระบี่เร็วเข้า!”
แม่นางผู้นี้กลับทนดูต่อไม่ไหว ไม่นึกว่าพูดส่งๆ ประโยคเดียวเขาจะจริงจังขนาดนี้ อีกอย่างมองจากอารมณ์และท่าทางของเขาเมื่อครู่ก็ดูเอาจริงทีเดียว
“สหายซานปั้น!”
หลิวรุ่ยอิ่งทักทายอยู่ไกลๆ
ทังจงซงประหลาดใจไม่น้อยที่หลิวรุ่ยอิ่งเจอคนรู้จักที่นี่
“หลิวรุ่ยอิ่ง! รอประเดี๋ยว!”
จิ่วซานปั้นเห็นอีกฝ่ายโบกมือให้ตนก็ดีใจอย่างยิ่ง
“เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่อยากให้ข้าไปช่วยเจ้าเร่งในโถงด้านหลังแล้ว”
จิ่วซานปั้นพูดกับแม่นาง
“ไม่ต้องแล้วๆ สหายเจ้าเรียกแล้ว”
ดูเหมือนเขาทำให้แม่นางผู้นี้ตกใจเหมือนกัน พูดไม่ถึงสามประโยคก็เตรียมฆ่าคนแล้ว ใครจะอยากยุ่งเกี่ยวกับคนเช่นนี้มากเกินไป
“แล้วที่เจ้าบอกกินอิ่มแล้วจะให้ข้ามองให้พอยังรักษาคำพูดหรือไม่”
จิ่วซานปั้นกล่าว
นางได้ยินคำพูดนี้แล้วแทบสำลักเหล้า…รีบตบหน้าอกอวบอิ่ม ฉากนี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งเห็นแล้วใจกระตุกวูบ
“เจ้าอยากดูอะไร”
นางเอ่ยถามด้วยความงงงวย
ใจคิดว่าหากเขากล้าพูดอะไรต่ำๆ ละก็ นางจะตัดลิ้นเขาทิ้งเดี๋ยวนั้น
“ข้าอยากเห็นเจ้ายิ้ม”
จิ่วซานปั้นกล่าว
นางกลอกตาก่อนทีหนึ่ง จากนั้นหรี่ตาแสร้งยิ้มให้เขาและหุบกลับไปทันที
“พอแล้วกระมัง!”
แม่นางผู้นี้กล่าวอย่างเย็นชา
“ปากสวยเม้มจมูกหยกงาม เนตรแพร้วเพ่งพิศคิ้วแฉล้ม ดวงหน้าเอิบสุราเพริศพริ้ง ลมวสันต์แผ่วเนื้อนวลลออ”
จิ่วซานปั้นท่องกลอนอีกบทหนึ่ง
“คิ้วแฉล้ม…แผ่วเนื้อ…นวลลออ”
นางฟังจบกลับจำได้แค่สามคำนี้ รู้สึกทะแม่งๆ เล็กน้อย โดยเฉพาะในนั้นมีคำว่า ‘เอ๋อ[1]’ ด้วย และวรรคแผ่วเนื้อนวลลออนั่นยิ่งทำให้นางหน้าแดงปราด
“ขอถามแม่นางชื่อ?”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
“โอวเสี่ยวเอ๋อ…”
เสียงนางเบายิ่ง
“ฮ่าๆๆ! ฟ้าลิขิตๆ!”
จิ่วซานปั้นกล่าวหัวเราะเสียงลั่น จากนั้นสาวเท้าเดินไปหาหลิวรุ่ยอิ่ง
ที่แท้ในชื่อของแม่นางผู้นี้มีคำว่าเอ๋ออยู่คำหนึ่ง และกลอน ‘เนตรแพร้วเพ่งพิศคิ้วแฉล้ม’ ที่จิ่วซานปั้นแต่งเมื่อครู่ก็มีคำว่าเอ๋อเช่นกัน นี่ไม่ใช่เรื่องสุดแปลกประหลาดในโลกหรอกหรือ ไม่ใช่ฟ้าลิขิตแล้วยังเป็นสิ่งใดได้อีก
“สหายซานปั้นเพิ่งถึงเมืองอ๋องหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เมื่อครู่เขาเล่าเหตุการณ์ที่ตนรู้จักจิ่วซานปั้นให้ทังจงซงฟังแล้ว ฟังจากการบรรยายของหลิวรุ่ยอิ่งและเห็นพฤติกรรมของจิ่วซานปั้นเมื่อครู่อีก แม้แต่ทังจงซงก็จุปากชมเขายอดเยี่ยมอย่างอดไม่ได้
‘หมู่บ้านยอดนักดื่ม…เหมือนไม่เคยได้ยินมาก่อน’
ทังจงซงคิดในใจ
“ใช่ ข้าเดินช้า…เลยเพิ่งถึง”
จิ่วซานปั้นเห็นบนโต๊ะมีเหล้าจึงมองตาปริบๆ ตอบอย่างใจลอย
“เดิน? สหายซานปั้นขี่ม้ามาไม่ใช่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
“ขายแล้ว แลกเหล้าดื่ม ต่อมาก็ดื่มเหล้าหมด เลยเดินช้ากว่าเดิม…”
จิ่วซานปั้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นลูกตาของเขาแทบจะหลุดออกมากลิ้งลงในน้ำสุราแล้ว จึงรีบรินให้เขาจอกหนึ่งเต็มๆ คาดไม่ถึงพอจิ่วซานปั้นเห็นหลิวรุ่ยอิ่งตั้งใจให้ตนดื่มเหล้า มือคว้ากาสุราหมับแล้วเทลงในน้ำเต้าของตน จากนั้นถึงเริ่มดื่ม ‘อึกๆๆๆ’
หลิวรุ่ยอิ่งหลุดยิ้มอย่างอดไม่ได้ กล่าวเย้าเล่น “สามครึ่งของสหายซานปั้น หนนี้คงพังแล้วกระมัง”
“ฮ่าๆๆ เป็นแค่เลขสมมติอยู่แล้ว อย่าคิดเป็นจริงเลยๆ…”
กระทั่งดื่มเหล้าในน้ำเต้าจนเห็นก้น จิ่วซานปั้นถึงเอ่ยปากพูด
“ได้ยินว่าตลอดทางนี้สหายซานปั้นสง่าผ่าเผยยิ่ง!”
ทังจงซงกล่าว
“เฮ้อ…พูดเรื่องสง่าผ่าเผยอะไร ช่างน่าละอายโดยแท้”
“เดิมทีตอนออกจากบ้าน คนในหมู่บ้านให้เงินตำลึงข้ามาไม่น้อย ข้าใส่ไว้ในเสื้อกันหนาวขนสัตว์ตัวนั้นหมดเลย สุดท้ายตอนเอามันแลกเหล้าดื่มดันลืมหยิบออกมา…”
จิ่วซานปั้นกล่าวอย่างจนใจยิ่ง
“ในเมื่อสหายซานปั้นมีเงินตำลึง เหตุใดต้องใช้เสื้อกันหนาวขนสัตว์แลกเหล้าด้วย”
ทังจงซงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“คนในหมู่บ้านบอกว่าเงินตำลึงเอาไว้ให้ข้ากินข้าว”
จิ่วซานปั้นกล่าว
ทังจงซงหมดคำพูด
แน่นอนว่าความหมายของพี่ชายคนนี้คือเงินตำลึงเอาไว้กินข้าวเลยซื้อเหล้าไม่ได้ ถ้าอยากดื่มเหล้าต้องคิดหาหนทางใช้วิธีอื่นแก้ไข
มิน่าเมื่อครู่ถึงได้เอาจริงเอาจังกับเสี่ยวเอ้อร์ขนาดนั้น ความคิดของเขาเรียบง่ายตรงไปตรงมาเช่นนี้นี่เอง
“ตอนนี้เจ้าไม่มีทั้งเสื้อกันหนาวขนสัตว์ เงินตำลึง เต่าทองคำ ม้าแล้วควรทำอย่างไรดีล่ะ ขายกระบี่เล่มนี้ทิ้งหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยหยอกเย้า
“อันนี้ไม่ได้…”
จิ่วซานปั้นกล่าวพลางจับกระบี่ยาวสีฟ้าที่กอดไว้ในอกแน่น
“เพราะงั้นข้าเลยไม่เตรียมไปหาตาน้ำสุราแล้ว ก็ไม่เชิงไม่ไปกระมัง…แค่ยังไม่ไป ข้าอยากไปสอบวัดระดับที่หอทรงปัญญานั่นก่อน ได้ยินว่ามีขั้นแล้วก็มีเงินตำลึงใช้ จากนั้นใช้เงินตำลึงนี้ซื้อม้าสักตัว เช่นนี้ก็ไปหาตาน้ำสุราต่อได้แล้ว”
จิ่วซานปั้นพูดจริงจังยิ่ง เหมือนวางแผนอยู่ในใจหลายรอบแล้ว
“เมื่อครู่สหายซานปั้นท่องกลอนสองบท ฝีมือการประพันธ์โดดเด่นจริงๆ ครั้งนี้เตรียมยื่นสมัครระดับขั้นใดหรือ”
ทังจงซงเอ่ยถาม
“สูงสุดคือขั้นที่เท่าไร”
จิ่วซานปั้นถามกลับ
ครั้งนี้แม้แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็ตกตะลึงไปด้วย
เขารู้เพียงจิ่วซานปั้นไม่แน่ใจระดับของตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าจิ่วซานปั้นถึงขั้นไม่รู้ว่าทั้งหมดมีอยู่กี่ระดับ
เขามาจากที่ไหนกันแน่…หมู่บ้านยอดนักดื่มนั่นเป็นสถานที่มหัศจรรย์แบบใดถึงได้กำเนิดคนไม่รู้เรื่องทางโลกเช่นนี้ออกมา
“ทั้งหมดมีแปดขั้น…”
ทังจงซงไม่มีทางเลือก ได้แต่อธิบายการแบ่งขั้นของบัณฑิตให้เขาฟังอีกรอบหนึ่ง
“อ้อ…เช่นนั้นก็เอาตะวันแพรทองขั้นแปดแล้วกัน ถ้ามีเงินให้ใช้ละก็ เงินน่าจะสูงขึ้นตามขั้น ถูกหรือไม่”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
“…”
“…”
หลิวรุ่ยอิ่งกับทังจงซงไม่รู้ควรพูดอย่างไรต่อไป…แม้เขามีไหวพริบด้านการประพันธ์ อารมณ์ของบทกลอนฮึกโหม แต่ตะวันแพรทองนั่นเป็นแนวคิดแบบใด นั่นเป็นถึงปราชญ์ผู้มีชีวิตในยุคปัจจุบัน สำหรับบัณฑิตตำแหน่งนี้สูงกว่าอ๋องทั้งห้าไม่รู้กี่เท่า ใช่สิ่งที่เจ้าอยากเป็นก็ได้เป็นที่ไหนกัน
หากคนอื่นพูดแบบนี้ ไม่เป็นคำพูดเด็กไร้เดียงสา กล้าหาญน่าชื่นชม ก็เป็นคนโง่โดยสมบูรณ์ไปเลย
แต่จิ่วซานปั้นกลับเป็นคนประเภทที่สามนอกจากคนสองแบบนี้ ดังนั้นหลิวรุ่ยอิ่งกับทังจงซงจึงไม่อาจนิยามอะไรให้เขาได้
ไก่ผัดของโอวเสี่ยวเอ๋อยกขึ้นโต๊ะแล้ว
พริกไม่มากไม่น้อย ครองหนึ่งในสองส่วนพอดี
เพียงเห็นโอวเสี่ยวเอ๋อขอชามเปล่ามาอีกหนึ่งชาม คีบพริกทั้งหมดในนั้นมาใส่ชามอีกใบทีละนิด จากนั้นกินพริกคำหนึ่งกินเนื้อไก่คำหนึ่ง เหมือนกินแกล้มข้าว…
แม้คนในเขตติ้งซีอ๋องล้วนกินเผ็ดเก่ง แต่กลับเพิ่งเคยเห็นวิธีกินที่ใช้พริกเป็นข้าวเช่นนี้ ทุกคนล้วนเบิกตากว้างอย่างอดไม่ได้
แม้โอวเสี่ยวเอ๋อขอไก่สองตัว แต่นางกลับกินแค่หัวไก่ ปีกไก่ ขาไก่ ส่วนที่เหลือครอบทิ้งแล้วไม่กิน
นางกินพลางพร่ำรำพัน “กินหัวไก่ ยอมเป็นหัวดีกว่าเป็นหาง กินปีกไก่ เมื่อไรได้สะบัดกลายเป็นหงส์ กินขาไก่ สามปีถึงวันกลับต้องได้ชัย!”
“สหายซานปั้นมีที่พักหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“นอนที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น!”
จิ่วซานปั้นเอ่ยตอบ
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้ายิ้มบาง คนแต่งกลอนเป็นผู้นี้ช่างเก่งกาจ ทั้งที่เป็นเรื่องของชายร่อนเร่นอนข้างถนน กลับทำให้เขาพูดได้อย่างสง่าผ่าเผยเช่นนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนบรรลุธรรมเป็นเซียนแล้วมาเที่ยวเล่นโลกมนุษย์หลายส่วนทีเดียว
แต่ในเมื่อจิ่วซานปั้นอยากไปอาคารหลักหอทรงปัญญานั่น ก็เดินทางพร้อมตนได้พอดี…ดูท่าทางเขาก็ไม่เหมือนพวกทำเรื่องเลวร้าย อีกอย่างขอบเขตการฝึกยุทธ์ของเขาก็ต้องล้ำเลิศโดดเด่นเป็นแน่ ตนไม่ค่อยรู้จักหอทรงปัญญาเท่าไร เดินทางกับเขาก็คอยอยู่เป็นเพื่อนกันได้ ต่อให้สถานการณ์แย่เพียงใด อย่างน้อยตลอดทางก็ไม่ถึงขั้นน่าเบื่อมากนัก
ดังนั้น หลิวรุ่ยอิ่งจึงเรียกเจ้าของร้านมาจองอีกห้องหนึ่งแบ่งให้จิ่วซานปั้นพัก
จิ่วซานปั้นถือกุญแจห้องไม่พูดไม่จาอยู่นาน…สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวบทประพันธ์คำกลอนอะไรออกมาอีก เพียงประสานมือพูดคำหนึ่ง “ขอบใจมาก”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกผิดเล็กน้อย…
เพราะเขาทำดีกับจิ่วซานปั้นโดยมีความเห็นแก่ตัวผสมอยู่ด้วย ไม่ได้บริสุทธิ์ใจขนาดนั้น แต่สำหรับคนความคิดเรียบง่ายตรงไปตรงมาอย่างจิ่วซานปั้น บุญคุณเท่าหยดน้ำนี้ต้องตอบแทนด้วยน้ำพุไหลนอง ตอนนี้เขาจึงซื้อเหล้ามาอีกสองสามไหและให้เสี่ยวเอ้อร์ส่งให้เขาถึงในห้อง
จากนั้นทังจงซงดื่มกับหลิวรุ่ยอิ่งจนหนำใจอีกหลายจอก แล้วก็รุดหน้ากลับวังติ้งซีอ๋องไปก่อน
……………………………………………
[1] เอ๋อ หมายถึงคิ้วหรือหญิงงาม เป็นคำในบทกลอนของจิ่วซานปั้นและตรงกับชื่อของโอวเสี่ยวเอ๋อ