ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 59 ผู้เป็นบรมครู-2
บทที่ 59 ผู้เป็นบรมครู-2
ในวังติ้งซีอ๋อง
บัณฑิตจางยืนตัวตรงอยู่กลางพระตำหนัก กำลังสบตามองฮั่ววั่ง
“ดังนั้น ท่านทิ้งกระบี่แล้วเลิกบู๊มาเดินสายบุ๋น?”
ฮั่ววั่งเอ่ยปากพูด
คราวก่อนทั้งสองเจอกันระหว่างทางจากเมืองติ้งซีอ๋องไปรัฐติง คำที่บัณฑิตจางพูดกับฮั่ววั่ง เขายังจำได้ชัดเจนทีเดียว
“เปล่า”
บัณฑิตจางกล่าว
“แล้วเหตุใดต้องดึงประกาศอ๋อง”
ฮั่ววั่งเอ่ยถาม
“เพราะทังจงซงเป็นศิษย์ของกระหม่อมตั้งแต่ตอนอยู่หัวเมืองรัฐติงแล้ว”
บัณฑิตจางกล่าว
“ได้อย่างไร”
ฮั่ววั่งเอ่ยถาม
“เราสองคนบอกว่าจะแข่งลูกเต๋ากัน กระหม่อมน้อย เขามาก กระหม่อมแพ้ และเดิมพันก็คือกระหม่อมเป็นอาจารย์ของเขา”
บัณฑิตจางกล่าว
“ฮ่าๆ น่าสนใจทีเดียว…ท่านสอนอะไรเขาบ้าง”
ฮั่ววั่งยิ้มถาม
“ครั้งแรกกระหม่อมหนี ไม่ได้สอนอะไรทั้งสิ้น ครั้งที่สองเจอทหารหมาป่าบุกพรมแดนเลยพบกันอีก เพิ่งสอนเรื่องสัพเพเหระได้สองวัน กระหม่อมก็หนีอีก”
บัณฑิตจางกล่าว
“แล้วเหตุใดครั้งนี้ถึงเป็นฝ่ายมาเอง”
ฮั่ววั่งขมวดคิ้วถาม เขารู้สึกได้ว่าการกระทำของบัณฑิตจางเหมือนไม่ได้มาเพื่อทังจงซง
“กระหม่อมอยากให้ท่านช่วยบางอย่าง”
บัณฑิตจางกล่าว
“เรื่องอะไร”
ฮั่ววั่งเอ่ยถาม
“แต่ในเมื่อท่านออกปาก เกรงว่าเรื่องนี้คงทำไม่ง่ายกระมัง”
เขารู้แล้วว่าบัณฑิตจางเป็นใคร เพียงแต่ยังไม่เปิดโปงตอนนี้ ที่จริงสถานการณ์ในอดีตของทั้งสองมีจุดคล้ายกันหลายอย่าง แต่ตอนนี้กลับต่างราวฟ้าดิน
คนหนึ่งอยู่สูงในราชสำนัก
อีกคนหนึ่งอยู่ไกลออกไปจากยุทธภพ
แต่ในเมื่อห่างไกลกัน สองฝ่ายจึงไม่มีผลประโยชน์และความเกี่ยวข้องอันใด แต่ถ้าตนช่วยเรื่องหนึ่งแล้ว ไม่แน่อาจทำให้ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ติดหนี้บุญคุณได้ด้วย ก็เหมือนสัญญากับเริ่นหยางคราวก่อน
“ท่านอาจารย์ กระหม่อมกลับ…”
ทังจงซงที่กลับถึงวังอ๋องเข้ามารายงานผลฮั่ววั่ง เห็นบัณฑิตจางนั่งนิ่งอยู่กลางพระตำหนักแล้วกลับชะงักพูดไม่จบประโยค
พูดอย่างเป็นกลาง ฮั่ววั่งดีต่อทังจงซงมากทีเดียว ระดับการใช้ชีวิตถึงขั้นสูงกว่าตอนเขาอยู่จวนผู้ควบคุมรัฐติงไม่น้อย
เรื่องแย่เพียงอย่างเดียวก็คือ…เขาว่างเกินไป
นึกถึงชีวิตแต่ก่อน ทังจงซงคนเดียวแบ่งแสดงสองบทบาท เป็นรุ่นที่สองเหลวไหลจอมเสเพลกับงูพิษอดทนควบคุมรอการโจมตีถึงแก่ชีวิตในคราวเดียว เพียงแต่สองบทบาทนี้ยังไม่สามารถจัดวางความสัมพันธ์ได้ชัดเจนและรักษาสมดุลได้ดีขนาดนั้น
หลายปีมานี้ ทังจงซงก็เป็นเหมือนเรือน้อยกลางพายุกระหน่ำ เขาคุมหางเสืออย่างระมัดระวัง ไม่ให้ถูกคลื่นลมจากฝั่งใดในทั้งสองบทบาทพัดคว่ำตามใจอยาก
“หลิวรุ่ยอิ่งว่าอย่างไร”
ฮั่ววั่งเอ่ยถาม
“เขาไม่ได้พูดอะไร แค่เห็นกระหม่อมไปแล้วตื่นเต้นมาก เราสองคนเลยดื่มเหล้ากันครู่หนึ่ง ช้าจนเพิ่งกลับมาตอนนี้”
ฮั่ววั่งยิ้มเล็กน้อย เขารู้ว่าทังจงซงพูดความจริง
ด้วยมิตรภาพระหว่างตนกับหลิวรุ่ยอิ่ง เขาไม่มีทางพูดสรรเสริญตนโดยสิ้นเชิง…มีคำว่า ‘ขอบคุณ’ ได้ก็สุดยอดแล้ว
“ท่านนี้…คงนับเป็นสหายเก่าเจ้ากระมัง”
ฮั่ววั่งชี้บัณฑิตจางพลางพูดกับทังจงซง
“นั่นก็ใช่ พวกเราเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว…จนตอนนี้กระหม่อมยังไม่รู้เลยว่าลูกเต๋าเม็ดที่กลืนลงท้องตอนนั้นไปอยู่ไหนแล้ว”
ทังจงซงกล่าวเย้าหยอก ในใจกลับเริ่มคิดคาดเดาอย่างละเอียดยิบว่าช่วงที่ตนไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่…ความรู้สึกของการไม่ได้เจอกันนานทำให้เขาตื่นเต้นไม่น้อย อารมณ์ที่อัดอั้นหลายวันมานี้พลันผ่อนคลายลงทันใด
“เมื่อครู่ท่านบอกให้ข้าช่วยท่านเรื่องหนึ่ง เรื่องอะไรหรือ”
ฮั่ววั่งเปลี่ยนมาถามบัณฑิตจาง
“ช่วยกระหม่อมตามหาคนคนหนึ่ง หาเจอแล้วจับส่งให้กระหม่อมก็พอ”
บัณฑิตจางพูดจบก็อธิบายรูปลักษณ์ภายนอกของผู้ตัดสัมพันธ์รอบหนึ่ง
รูปลักษณ์ของผู้ตัดสัมพันธ์ช่างโดดเด่นชัดเจนเหลือเกิน…เป็นคนแบบที่เดินอยู่บนถนนแล้วมองแวบเดียวก็จำไม่ลืมสามวันสามคืน
ที่บัณฑิตจางไม่ไปตามหาเอง สุดท้ายยังคงเป็นเพราะใจอ่อนลงมือไม่ลง…แต่ถ้าให้ฮั่ววั่งออกหน้า เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ทำง่ายขึ้นเยอะ
เขาติ้งซีอ๋องเพียงโบกมือออกคำสั่งเล็กน้อย ผู้ตัดสัมพันธ์ย่อมไม่มีที่ให้ซ่อนตัว ขอแค่ฮั่ววั่งส่งผู้มากฝีมืออีกสองสามคนพร้อมกองทัพใหญ่ออกไปจับตัวเขาไว้ เช่นนั้นภารกิจใหญ่ก็ลุล่วงแล้ว
“บอกเหตุผลที่ข้าต้องช่วยท่านสักข้อ เราเจอกันโดยบังเอิญ ข้ายังให้ทองท่านอีกห้าพันชั่ง คงไม่อาจช่วยท่านทำการใหญ่สุ่มสี่สุ่มห้าได้อีก และข้าก็รู้ว่าเรื่องนี้พูดเหมือนง่าย แต่คนผู้นี้ต้องไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายแน่”
ฮั่ววั่งกล่าว อยากลองฟังแต้มต่อของบัณฑิตจาง
“ท่านติดใบประกาศอ๋อง หาอาจารย์สอนวิชาทางบุ๋นให้ทังจงซง เพื่องานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมที่จัดในเมืองหลวงปีนี้ใช่หรือไม่”
บัณฑิตจางเลี่ยงไม่ตอบคำถามของฮั่ววั่ง
“ใช่แล้ว”
ฮั่ววั่งกล่าวตรงไปตรงมา
“หากกระหม่อมสามารถทำให้ทังจงซงชิงสามอันดับแรกในงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมได้ เช่นนั้นท่านจะยินดีช่วยกระหม่อมใช่หรือไม่”
บัณฑิตจางกล่าว
ฮั่ววั่งยิ้มเหยียดหยันยิ่ง
สุดท้ายบัณฑิตจางยังคงเข้าใจผิด…เมื่อครู่เขายังรู้สึกจิตตกที่ความคิดของตนถูกมองออก แต่ตอนนี้กลับมามีเล่ห์เพทุบายดังเดิมอีกครั้ง ยิ้มด้วยความภาคภูมิของวีรบุรุษทั่วใต้หล้า
‘สุดท้ายเจ้ายังตามข้าอยู่หนึ่งแต้ม…’
ฮั่ววั่งคิดในใจ
“ข้าจะอยากได้ชื่อเสียงจอมปลอมเหม็นเปรี้ยวนั่นไปทำไมกัน แต่ถ้าท่านทำให้จงซงเข้าอาคารหลักหอทรงปัญญาได้ และได้ระดับขั้นสูงสักขั้นอย่างราบรื่นละก็ เรื่องของท่านย่อมหารือกันได้”
ฮั่ววั่งพลันเปลี่ยนประเด็นกล่าว
..………………
ในโรงเตี๊ยมพูนโชค
หลิวรุ่ยอิ่งกลับถึงห้องแล้วเตรียมทะลวงจุดลมปราณของตนที่คลายออกสองจุดนั้น นี่ต้องขอบคุณการตื่นรู้ตอนเจอทังจงซงเมื่อกลางวัน
หากกล่าวถึงวิธีทะลวง จนถึงบัดนี้ฝ่ายบำเพ็ญทุกรกิริยากับฝ่ายอิสระยังคงโต้แย้งกันไม่หยุด
ฝ่ายบำเพ็ญทุกรกิริยาเชื่อว่าการทะลวงเป็นขั้นตอนการสั่งสมอย่างหนึ่ง ไม่สั่งสมครึ่งก้าวไม่อาจถึงพันลี้ อย่างไรก็ต้องก้าวทีละหนึ่งรอยเท้า เดินเข้ามาอย่างมั่นคงถึงจะใช้ได้ หากเจ้ากระโดดข้ามขั้นตอนใด หรือรีบร้อนอยากสำเร็จแล้วไปดึงต้นกล้าให้โต เช่นนั้นต่อให้โชคดีทะลวงได้ก็เหมือนหอคอยสูง รากฐานไม่มั่นคง
แต่มุมมองของฝ่ายอิสระในเรื่องนี้กลับแตกต่างอย่างยิ่ง พวกเขาไม่ปฏิเสธความสำคัญของการฝึกตน แต่กลับเชื่อว่านอกจากฝึกตนควรไปเพิ่มความรอบรู้ ตื่นรู้ชีวิตและเข้าใจมนุษย์มากกว่า การรอคอยจังหวะในขณะที่สั่งสมการฝึกฝนและสั่งสมจิตใจพร้อมกัน นั่นก็คือชั่วขณะการตื่นรู้อย่างหลิวรุ่ยอิ่งก่อนหน้านี้
แต่ทุกสิ่งล้วนมีข้อยกเว้นถึงขีดสุด ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาสุดโต่งจุดแนวคิด ‘สละชีพ’ ขึ้นมา พวกเขาใช้วิธีทำร้ายตัวเองเพิ่มพลังฝึกตนอย่างวิปริต ด้วยว่าบูชาความตายและใช้การฆ่ากอปรรวมพลังชั่วร้ายระหว่างฟ้าดิน สุดท้ายชาวโลกต่างไม่ยอมรับ เวลาผันผ่านเส้นใย ‘สละชีพ’ กลับคล้ายค่อยๆ หายไปไม่ทิ้งร่องรอย…
เมื่อเทียบกันแล้ว วิธีของฝ่ายอิสระดูยอดเยี่ยมมากกว่า สุดท้ายการฝึกฝนทางจิตใจต่างหากที่ตัดสินได้ว่าวันหน้าจะเดินไปได้ไกลเท่าไร
แต่การตื่นรู้ใดก็ตามล้วนมีเงื่อนไขก่อนหน้า ไม่มีทางปรากฏขึ้นจากอากาศ มันต้องเป็นแรงก่อเกิดที่ผ่านการรับรู้และใคร่ครวญอย่างตั้งใจเป็นเวลานานถึงจะได้มา ดังนั้นเหล่าปรัชญาเมธีผู้ฝึกยุทธ์มากมายจึงแบ่งมันออกเป็นสามระยะตามความลึกของการตื่นรู้
ระยะแรกคือ ‘บังเกิดความคิดฉับพลัน’
หมายความว่าเมื่อเจ้าเจอปัญหาติดขัดหรือหยุดชะงักไม่ก้าวหน้า ฉับพลันนั้นเริ่มเกิดความคิดมากมายหลายหลาก ความคิดเหล่านี้ล้วนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และวิธีแก้ปัญหาโดยพื้นฐานก็หลบซ่อนอยู่ในความคิดต่างๆ เหล่านี้ แต่เจ้าจำต้องเลือกมันออกมาด้วยตัวเอง
ระยะที่สองคือ ‘เห็นธาตุแท้ฉับพลัน’
เมื่อผ่านการคัดกรองระดับแรกมักจะได้วิธีที่แก้ไขปัญหาได้จำนวนหนึ่ง แต่วิธีเหล่านี้กลับไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้าย และไม่ได้บรรลุเป้าหมายสูงสุด แต่การตื่นรู้ระยะที่สองคือการทำให้คนจับการตั้งอยู่ในแก่นแท้ของปัญหาได้อย่างมั่นใจ ขณะเดียวกันก็เข้าใจถึงสภาพความเป็นจริงของตนเองว่าสามารถแก้ไขมันได้อย่างถึงที่สุดหรือไม่ ก็เหมือนกับแมลงไม่อาจกลืนกินเสือดาว และปลายักษ์ในทะเลบูรพาไม่อาจกินแมลงบนแผ่นดินได้ พลังแข็งแกร่งแค่ไหน สุดท้ายย่อมมีทิศทาง
และระยะสามที่สูงที่สุด เรียกว่า ‘ผู้เป็นบรมครู’
ความหมายคือไม่ว่าผลกรรมแบบใด โชคชะตาแบบใด เผชิญอุปสรรคแบบใด ความล้มเหลวแบบไหน ตราบใดที่บังเกิด ‘ผู้เป็นบรมครู’ ระยะที่สาม เช่นนั้นทุกสิ่งก็สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องคัดเลือก ไม่ต้องทบทวนตนเอง ทั้งไม่เกี่ยวกับแก่นแท้ของปัญหาหรือสภาพของตนเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นดั่งน้ำมาคลองเกิด[1] ให้เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนฝนตกแล้วเก็บเสื้อผ้า ถ่ายหนักถ่ายเบาทุกวันเช่นนั้นก็ทะลวงสำเร็จแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งแค่รู้สึกจุดลมปราณคลายออก แสดงว่าเขาอยู่ระหว่าง ‘เห็นธาตุแท้ฉับพลัน’ ระยะที่สองกับ ‘ผู้เป็นบรมครู’ ระยะที่สามแล้ว
ตอนเขากำลังจะสำรวมจิตใจจดจ่อกับการทะลวงจุด กลับมีเสียงเคาะประตูทอดมาอีกครั้ง…
“หืม? แม่นางมีเรื่องอะไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเปิดประตูแล้วพบว่าผู้มาเยือนคือโอวเสี่ยวเอ๋อ ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอว
“พวกเจ้าจะไปหอทรงปัญญาใช่หรือไม่”
โอวเสี่ยวเอ๋อไม่ได้พูดตามมารยาทและไม่แสดงการทักทาย มาถึงก็เอ่ยถามทันที
“เอ่อ…ใช่ ไม่ทราบแม่…”
“นับข้าด้วย! ข้าก็อยากไป!”
มือโอวเสี่ยวเอ๋อถือกระบี่สั้นชงโค แขนขวายืดเหยียดสูงตรง พลันทำให้หน้าอกอวบอิ่มหยัดเด่นกว่าเดิม
“ได้สิ! แม่นางโอวไปด้วยกัน ระหว่างทางพวกเราดื่มเหล้าด้วยกันสามคนพอดี!”
ยังไม่รอหลิวรุ่ยอิ่งตอบคำ จิ่วซานปั้นที่อยู่ห้องด้านข้างกลับเปิดประตูออกมากล่าวทันใด
แต่โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นจิ่วซานปั้นแล้วมักหงุดหงิดชอบกล…นางมักรู้สึกว่าคนผู้นี้จะบุ๋นก็ไม่บุ๋น จะบู๊ก็ไม่บู๊ ท่องคำกลอนสวยหรูลามกสองสามประโยคโดยไม่คิดแล้วยังแอบใส่ชื่อของตนไว้ ยิ่งทำให้นางไม่พอใจเอามาก
ตอนนี้นางก็ไม่สนใจเขา ทั้งยังไม่ต่อบทสนทนา เพียงรอหลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยคำอย่างเงียบๆ
“เช่นนี้…เช่นนี้ก็ดีทีเดียว งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ!”
หลิวรุ่ยอิ่งจนปัญญา ได้แต่กล่าวรับปาก
จิ่วซานปั้นที่ด้านข้างได้ยินแล้วหัวเราะลั่นหลายครั้งพลางกล่าวอย่างดีใจ “ระหว่างทางนี้อย่างไรก็คงต้องรินให้พวกเจ้าสองคนเมาสักครั้ง!”
“เฮอะๆ คิดจะทำให้ข้าเมา? ชาติหน้าแล้วกัน! ถึงตอนนั้นถ้าปอดแหกละก็ เลียรองเท้าให้ข้าก็เปล่าประโยชน์!”
โอวเสี่ยวเอ๋อทิ้งคำพูดโหดเหี้ยมไว้ประโยคหนึ่งและฮึดฮัดกลับไป
หลิวรุ่ยอิ่งกลับเข้าห้องแล้วถอนหายใจลึกยาว ดูท่าการเดินทางครั้งนี้คงต้องเกิดเรื่องอลหม่านอะไรขึ้นแน่…
‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอว…
เขาแอบนึกในใจ
โอวเสี่ยวเอ๋อกลับถึงห้องตัวเองแล้วหยิบสมุดเล่มหนึ่งมาจากบริเวณใกล้ๆ อักษร ‘ลำดับเครือญาติสกุลเว่ย’ สีแดงสดสี่คำบนปกหนังสือคล้ายเขียนด้วยเลือด
พอนางเปิดก็พลิกถึงหน้าที่ตนอ่านบ่อยที่สุด แผ่นกระดาษหน้านี้ยับย่น เปื้อนรอยหมึก มีคราบน้ำตาทุกหนแห่ง…แต่เป็นสิ่งที่นางต้องอ่านวันละครั้ง
โอวเสี่ยวเอ๋อตัวสั่น สูดหายใจเข้าลึก จากนั้นอ่านเสียงเบา
“ภูตผีดึงวิญญาณไอความตายหนาแน่น อสูรปิศาจกลืนเหล่าเจ้าผู้ครองนครทั้งเป็น มารและเทพยังไม่อาจคาดเดาเจ้าหาต้องกังวลใจไม่ เย็บผ้าปักลายด้วยดอกใบเหี่ยวเฉา กลิ่นเหม็นศพลอยไกลเกินหนึ่งชุ่น เข้าสู่ทางแคบย่อมไม่สงบสุขอีกต่อไป จึงขีดฆ่าชีวิตชีวา
เปิดใจร่วมทัศนาจร ซื่อสัตย์จริงใจต่อกันเสมอ เรายังร่วมหัวจมท้ายกันอยู่หรือไม่ มิตรภาพความภักดีล้วนหนีหาย ปลาขาวเข้าเรือ[2]ปีนขึ้นหอคอยร้อยฉื่อ[3] จึงขีดฆ่าการยอมเสียสละ
กายตกสู่วงล้อมไร้อิสระ เผชิญทุกข์การจากลายากเหลือแสน สะอื้นในลำคอจุกแน่นในทรวง พี่น้องผองเพื่อนยังเยาว์นัก ทุกปีได้แต่ฉลองวันเกิดผู้ล่วงลับ เจอกันอีกครั้งแค่ในความฝัน จึงขีดฆ่าครอบครัวญาติมิตร
ธารดอกท้อไหลผ่านหัวใจ ดรุณีม้วยเพื่อความรักยากอยู่จนแก่เฒ่า ผู้ใดเล่าได้ใหม่แล้วลืมเก่า เดินดาราแสงแดงเช้าแสงเขียวเย็น[4] เมื่อข้าคิดว่ามันตื้นเขินน่ารังเกียจ ความรักมั่นคงไม่อาจสู้เวลาครึ่งวัน จึงขีดฆ่าปฏิญาณรัก
ต้นหญ้าตอบแทนแดดวสันต์อย่างไร[5] มือหักแต่กระดูกเชื่อมโยงเลือดเนื้อ[6] เลือดข้นกว่าน้ำแล้วช่วยได้อย่างไร เรื่องราวในโลกมีมากมายหลายหลาก บุญคุณล้นฟ้าทุกข์ทรมานเหลือทน อินหยางแยกจาก[7]มีเพียงน้ำตาไว้เชื่อฟัง จึงขีดฆ่าบุตรผู้ว่านอนสอนง่าย
ข้าไม่ต้องการผลงานชื่อเสียง เพียงเป็นอิสระดื่มเหล้าตามใจอยาก เมากอดต้นหลิวลมรุ่งสางพัดผ่าน สร่างแล้วทุกข์ระทมซ้ำอีกครา ผมยาวหงอกเหลือง[8]ไร้สหายคบค้า จึงขีดฆ่าอิสระเสรี
แสงจันทร์ส่องอก[9]เดินท่องไป มีครอบครัวไม่หนีมีแคว้นไม่ห่าง ในภูเขาเจอคนตัดฟืนกับผู้เฒ่าตกปลา ผู้คนจากบ้านเสียเวลาสี่ฤดูโดยเปล่า หัวใจอ่อนแรงรวดร้าวน้ำตาไหลเป็นเลือด ข้ายินดีทนรับมันและปล่อยผมขึ้นเรือเล็ก จึงขีดฆ่าวิถีทางโลก”
โอวเสี่ยวเอ๋ออ่านการขีดฆ่าทั้งเจ็ดจบแล้วก็กอดหนังสือไว้ ปิดใบหน้าเริ่มร้องไห้อย่างเจ็บปวด…
………………………………………..
[1] น้ำมาคลองเกิด หมายถึงเมื่อเงื่อนไขพร้อมทุกสิ่งก็บรรลุผลสำเร็จ
[2] ปลาขาวเข้าเรือ เป็นลางว่าทหารจะรบชนะ
[3] หอคอยร้อยฉื่อ สื่อถึงอาคารสูงที่อาจพังทลายได้ทุกเมื่อ
[4] แสงแดงเช้าแสงเขียวเย็น หมายถึงใจโลเล ไม่รักเดียวใจเดียว
[5] ต้นหญ้าตอบแทนแดดวสันต์อย่างไร หมายถึงบุญคุณของพ่อแม่ล้นเหลือยากตอบแทน
[6] กระดูกเชื่อมโยงเลือดเนื้อ หมายถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิด ตัดกันไม่ขาด
[7] อินหยางแยกจาก หมายถึงคนในครอบครัวเสียชีวิต
[8] ผมยาวหงอกเหลือง สื่อถึงคนชรา
[9] แสงจันทร์ส่องอก หมายถึงเปิดใจกว้าง