ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 67 คำนับฉินฝากตัวเป็นศิษย์ช่างตีเหล็ก-2
บทที่ 67 คำนับฉินฝากตัวเป็นศิษย์ช่างตีเหล็ก-2
ความแม่นยำและความปราดเปรียวถือเป็นสองสิ่งที่ขัดแย้งกันแต่เป็นหนึ่งเดียวที่ช่างตีเหล็กทุกคนใฝ่หา
ความแม่นยำหมายถึงความตายตัว เช่นเดียวกับตะวันขึ้นจันทร์ลับฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า คงไม่มีผู้ใดนึกสงสัยถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ ส่วนความปราดเปรียวหมายถึงความยืดหยุ่น เลือกวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วแทนที่จะยืนหยัดในเหตุผล เพ้อฝันในหนึ่งพลังทลายหมื่นวิถี
แต่ชายฉกรรจ์ตรงหน้าผู้นี้ดูเหมือนจะทะลุขีดจำกัดสองระดับอย่างชัดเจน เขาแม่นยำในขณะที่ปราดเปรียว และปราดเปรียวในขณะที่แม่นยำ
เชี่ยวชาญเข้าใจรายละเอียดทุกด้านทุกส่วนของก้อนเหล็ก ด้วยเหตุนี้จึงรู้จักวางแผนหลอมเหล็กอันยอดเยี่ยมได้เป็นอย่างดี เมื่อเลือกแผนแล้วจึงจะดำเนินไปอย่างเข้มงวดจนสุดทางจนกว่าส่วนนี้จะแล้วเสร็จ หากว่ากันตามนี้ ใช้วิธีเช่นนี้ตีก้อนเหล็กจนเสร็จจะชำนาญเพียงไหน โอวเสี่ยวเอ๋อไม่กล้าจินตนาการ เพียงรู้สึกว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้ดูหยาบกระด้าง ไร้การเสริมแต่ง เหตุใดคนที่มีทักษะการตีเหล็กอย่างน่าทึ่งถึงซ่อนตัวอยู่ในเมืองชายแดนรกร้างแห่งนี้
‘หากดึงเขาเข้าตระกูลโอว…’
โอวเสี่ยวเอ๋ออดใช้ความคิดไม่ได้
ด้วยทักษะฝีมือของชายฉกรรจ์ผู้นี้ ยากที่จะกล่าวว่าจะก่อให้เกิดการปฏิวัติในใต้หล้า
“คนจากตระกูลโอวหรือ”
ชายฉกรรจ์ผู้นี้เห็นกระบี่ชงโคของโอวเสี่ยวเอ๋อก็จำมันได้และเอ่ยพูด
“ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าผู้อาวุโส…”
“โอวหย่าหมิงสบายดีหรือไม่”
ไม่รอให้โอวเสี่ยวเอ๋อพูดจบ ชายผู้นี้ก็ถามตัดบท
แม้ว่าขณะเอ่ยวาจาจะละความสนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ทักษะการตอกในมือกลับไม่ยุ่งเหยิงแม้แต่น้อย มั่นคงดุจขุนเขา
หลิวรุ่ยอิ่งประหลาดใจเล็กน้อย วาจาที่กล่าวมาดูเหมือนว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้จะมีคนรู้จักในตระกูลโอว
“ท่าน…ท่านผู้นำตระกูลสบายดีไม่แปรเปลี่ยน!”
โอเสี่ยวเอ๋อกล่าวอย่างตะกุกตะกัก
หลิวรุ่ยอิ่งก็ตกตะลึงเช่นกัน ไม่คิดว่าร้านตีเหล็กโทรมๆ ในดินแดนห่างไกลแห่งนี้ ข้างในกลับมีชายฉกรรจ์ที่ดูเหมือนไม่มีเงินจ้างสหายร่วมงานเสียด้วยซ้ำจะเปิดปากเอ่ยนามต้องห้ามผู้นำตระกูลโอว ซึ่งเป็น ‘บุตรแห่งกระบี่’ รุ่นปัจจุบันซึ่งๆ หน้า แม้แต่ในระเบียนกรมสอบสวน เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้นำกำลังสำคัญในใต้หล้า โอวหย่าหมิงสามคำนี้ใช้อีกนามหนึ่งเรียกว่า ‘บุตรแห่งกระบี่รุ่นปัจจุบันตระกูลโอว’
“เขาส่งเจ้ามาหรือ”
ชายฉกรรจ์ถาม
“ไม่…ไม่ใช่ ท่านผู้นำตระกูลไม่ได้ส่งข้าน้อยมา”
ทันใดนั้นโอวเสี่ยวเอ๋อรู้สึกประหม่าไปทั้งตัว ความรู้สึกกดดันผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจ
“เช่นนั้นเจ้ามาถึงที่นี่ทำไม”
ในที่สุดชายฉกรรจ์หยุดค้อนในมือและหันกลับมา
ทั้งสามมองปราดเดียว แม้ว่าเขาจะมอมแมมแต่ความสามารถและหน้าตาโดดเด่น ธรรมชาติก็คือธรรมชาติ การแต่งกายลวกๆ ไม่สนใจแต่งองค์ทรงเครื่อง ไม่อาจซ่อนเสน่ห์โดดเด่นเหนือผู้ใดดุจต้นสนโดดเดี่ยวบนภูเขาสูงของเขาได้ วาจาชัดเจนแต่ก็เหมือนสายลมบางเบาใต้ต้นสนที่ไม่ได้ยิน
โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นความแตกต่างรุนแรงในฉากนี้จนลุ่มหลงไปชั่วขณะ เอ่ยคำไม่ออกอยู่นาน ทำให้ชายฉกรรจ์หัวเราะหยันถึงได้ดึงสติกลับมา
ชายฉกรรจ์ผายมือขวาเชื้อเชิญทุกคนไปด้านหลังร้านตีเหล็ก
บนโต๊ะกลมเล็กๆ วางกาสุราเคลือบกระเบื้องหยาบหนึ่งใบ รอบๆ ยังมีถ้วยเคลือบกระเบื้องหยาบอีกหลายใบ ตั่งบิดเบี้ยวสี่ตัวล้อมรอบโต๊ะเตี้ยที่มีรอยร้าว ส่วนด้านข้างเป็นทุ่งนาผืนเล็ก มีผักไม่อาจระบุชื่อไม่อาจแยกชนิดปลูกอยู่
“เช่นนั้นลมอะไรหอบ ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอวมาถึงเมืองจิ่งผิงเล่า”
ชายผู้นั้นถามหลังจากนั่งลง
ทั้งสามก็นั่งลงตาม เห็นเพียงชายฉกรรจ์หยิบกาสุราเคลือบกระเบื้องหยาบที่เขานั่งอยู่แล้วรินสุราให้ตนเอง จากนั้นวางมันตรงกลางโต๊ะบอกเป็นนัยให้ทุกคนตามสบาย
“พวกเรากำลังจะไปอาคารหลักหอทรงปัญญา”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
ชายฉกรรจ์กวาดตามองชุดข้าราชการบนกายหลิวรุ่ยอิ่ง ปรายตามองจิ่วซานปั้นที่เริ่มรินสุราให้ตนเอง สุดท้ายดวงตาจ้องไปที่กระบี่ชงโคของโอวเสี่ยวเอ๋อ
“คนหนึ่งเคยฝึกฝน ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอว คนหนึ่งเพิ่งได้รับเลื่อนเป็นนายกองกรมสอบสวน คนหนึ่งเป็นผู้รอบรู้ทั้งบุ๋นทั้งบู๊ที่ไร้เดียงสา พวกเจ้าจะไปป่วนหอทรงปัญญารึ”
ชายฉกรรจ์กล่าวหยอกล้อ
หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกขบขันเช่นกัน
เป็นความจริงที่ คนฝั่งตนเองทั้งสามมีสถานะและบุคลิกต่างกันมาก แต่กลับมารวมตัวกันโดยบังเอิญ เดิมทีไม่มีอะไร ทว่าตอนนี้ถูกคนเปิดเผยให้เห็นยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสนใจ!
เพียงแต่เขารู้สถานะนายกองของตนเองที่เพิ่งเลื่อนขั้นได้อย่างไร
“ขอถามท่านอาวุโสรู้จักท่านผู้นำตระกูลโอวข้าด้วยหรือ”
โอวเสี่ยวเอ๋อถามอย่างระมัดระวัง
“เจ้าหมายถึงโอวหย่าหมิงน่ะรึ ฮ่าๆ ย่อมรู้จักแน่นอน ไม่เพียงรู้จัก ข้านับว่าเป็นอาจารย์ของเขากึ่งหนึ่ง!”
ชายฉกรรจ์กล่าวพลางหัวเราะเสียงดัง
หากผู้อื่นคุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากอายเช่นนี้ โอวเสี่ยวเอ๋อคงชักกระบี่ออกมาแล้ว แต่หลังจากได้เห็นฝีไม้ลายมือของคนผู้นี้แล้วจึงอดไม่ได้ที่จะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดไปถึงสามส่วนจริงๆ แต่กลับกล่าวประโยคที่ใจยอมรับแต่ยังปากแข็งว่า “ผู้อาวุโสโปรดอย่าได้หลอกลวงข้า”
“ได้อย่างไรกัน นั่นก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วกระมัง…ข้าเพิ่งมาตั้งรกรากที่นี่ โอวหย่าหมิงก็ผ่านมาที่นี่ระหว่างทางไปหอทรงปัญญาเช่นเดียวกับเจ้า สมัยนั้นไม่มีร่องน้ำระบายเฉกเช่นทุกวันนี้ ฉะนั้นร้านของข้าจึงสร้างติดกับบ่อน้ำใจกลางเมือง ตีเหล็กชุบไฟต้องใช้น้ำมากมีเพียงตรงนั้นที่สะดวกที่สุด แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากผู้นำตระกูลเจ้าเห็นข้าตีเหล็กแล้วกลับไม่ผ่านไป แต่ลงจากม้าจ้องมองถึงสามวัน ตอนนั้นข้ายังหนุ่มและกระตือรือร้น นึกว่าคนผู้นี้เจตนาขโมยวิชา จึงกล่าวว่า ‘ได้ยินสิ่งใดจึงมา เห็นสิ่งใดจึงไป’ ทันทีที่เปล่งวาจา ใบหน้าเขาพลันแดงก่ำและกล่าวว่า ‘ได้ยินทุกสิ่งที่อยากได้ยินจึงมา ได้เห็นทุกอย่างที่อยากเห็นจึงไป’ เจ้าว่า นี่ไม่ใช่การยอมรับกลายๆ ว่าเขาแอบเรียนรู้ทักษะฝีมือของข้าหรอกหรือ”
ชายฉกรรจ์กล่าว
ครั้นพูดก็ยกกู่ฉิน[1]ลงมาจากผนังด้านข้างและวางพาดไว้บนหัวเข่า
“ท่านกับท่านผู้นำตระกูลมีโชคชะตากันเพียงด้านนี้หรือ”
โอวเสี่ยวเอ๋อเอ่ยถาม
นางเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน โอวหย่าหมิงในตอนนั้นยังเป็น ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอวเช่นเดียวกับนางและหาใช่คนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดไม่ ครั้งหนึ่งเขาไปทำธุระให้ตระกูลเดินทางหมื่นลี้เพียงลำพังจนถึงทางตะวันตกเฉียงเหนือ ครั้นกลับไปตระกูลโอวอีกครั้งกลับเก็บตัวสันโดษไม่ออกจากบ้านนานสามเดือน แก่นกระบี่อื่นที่เหลือเย้ยหยันเขาจนถึงขึ้นตั้งฉายาให้เขาว่า ‘ผู้ออกจากบ้านพบเจอเรื่องกระทบจิตใจ’
ไม่คาดคิดว่า สามเดือนต่อมาทันทีที่โอวหย่าหมิงออกมาก็ออกเดินทางไปทางตะวันตกเฉียงเหนือด้วยตนเอง ตั้งแต่นั้นมา วิชาหลอมกระบี่ของเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ‘แก่นกระบี่’ ที่แต่เดิมนำหน้าไปไกลก็ไม่อาจเทียบเคียงเขาได้ จนในที่สุดกลายเป็นผู้นำตระกูลรุ่นปัจจุบัน ได้รับขนานนามว่า ‘บุตรแห่งกระบี่’
“แน่นอนว่าไม่ใช่…เพียงแต่พบหน้ากันไม่กี่คราเท่านั้น ครั้งที่สองที่เขามาก็นำไหสุราชั้นดีมาด้วย เราดีดฉินดื่มสุราแต่ไม่เคยกล่าวถึงเรื่องตีเหล็กสักครั้ง สามวันต่อมาข้าสร่างเมาตื่นขึ้นมาพบว่าเขาจากไปแล้ว แต่น่าเสียดายนักเจ้าคนขี้เหนียวกลับนำสุราครึ่งไหที่ดื่มไม่หมดจากไปด้วย…ครั้งที่สามก็หลังจากเขากลายเป็นผู้นำตระกูลโอวแล้ว ความคิดเฉกเช่นเดียวกับแม่นางน้อยคิดอยากเชิญข้าเข้าตระกูลโอวรับตำแหน่งปรมาจารย์ขั้นสูงสุดสักอย่าง ข้าปฏิเสธเสียงแข็งและห้ามไม่ให้เขาเอ่ยอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะโยนสุราของเขาทิ้งและใช้ฉินนี้ขับไล่เขาออกจากเมืองจิ่งผิง”
ชายฉกรรจ์ดึงสายฉินเบาๆ แล้วพูด เสียงบรรเลงเสนาะหูดังขึ้นจากปลายนิ้ว
“ขอถามชื่อเสียงเรียงนามผู้อาวุโสได้หรือไม่”
โอวเสี่ยวเอ๋อได้ยินว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้สนิทสนมกับผู้นำตระกูลโอวของตนจึงอดลุกขึ้นและโค้งคำนับไม่ได้
“กลับไปถามผู้นำตระกูลเจ้าสิ ฮ่าๆๆ!”
ชายฉกรรจ์กล่าว
เขาก้มศีรษะบรรเลงฉินไปเรื่อยๆ แต่ยังสามารถยกมืออีกข้างรินสุราและหยิบขึ้นมาชนจอกกับจิ่วซานปั้น ทั้งสองดื่มสุราตามจังหวะเสียงบรรเลงฉิน บางครั้งเชื่องช้าแผ่วเบา บางคราวผสานเสียงหนัก บางครั้งไพเราะกังวานดุจเสียงนกร้อง บางคราวสงบดุจน้ำนิ่งใต้ผืนน้ำแข็ง พุ่งพรวดกะทันหันเหมือนหอกดาบทหารม้าแกร่ง จวนจะระเบิดออกจากหัวใจหลิวรุ่ยอิ่ง เขารู้สึกราวกับชีพจรหัวใจกลายเป็นสายฉินบรรเลงภายใต้เงื้อมมือชายฉกรรจ์
“ยังทนได้อีกหรือนี่”
ชายฉกรรจ์แอบอุทานในใจ
“ไม่ทราบว่าที่ผู้อาวุโสบรรเลงฉินเป็นบทเพลงใดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งดึงสติกลับมาและถามในทันใด
“ทำไม อยากเรียนรึ”
ชายฉกรรจ์หัวเราะ แขวนกู่ฉินบนผนังดังเดิม
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจะชี้แนะให้ได้หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งรีบกล่าวพูด
คนแปลกหน้าตรงหน้าผู้นี้อาจเป็นบุคคลที่ทัดเทียมกับผู้นำตระกูลโอว แม้ว่าจะไม่รู้ว่าการบรรเลงฉินเมื่อครู่มีส่วนใดประณีต แต่ตัดสินจากที่มันสามารถกระตุ้นชีพจรหัวใจของตนเองได้ ย่อมไม่ธรรมดาเป็นแน่
“นี่เป็นบทเพลงล่วงลับ ข้าได้มันมาโดยบังเอิญ ชื่อว่า ‘ฉินจันทร์กระจ่างชายแดนฮั่น’”
ชายฉกรรจ์เอ่ย มีร่องรอยการหวนคิดถึงแฝงในน้ำเสียง
“ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว…”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าบทเพลงนี้ต้องมีคุณค่าไม่ธรรมดา ไม่มีทางส่งต่อให้ผู้อื่นโดยง่าย
“อีกทั้งข้าน้อยไม่รู้จักจังหวะบรรเลง ย่อมไม่อาจเรียนรู้ได้เช่นกัน”
คำพูดของหลิวรุ่ยอิ่งคล้ายอธิบาย แท้จริงแล้วหาข้ออ้างให้ตนเอง ไยชายฉกรรจ์จะฟังความหมายแฝงของเขาไม่ออกจึงกล่าวเสียงดัง “ใครบอกว่าคนบรรเลงฉินจะต้องรู้จังหวะบรรเลงเสมอไป”
ประโยคนี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งสับสนเล็กน้อย…หากไม่รู้จังหวะบรรเลง จะดีดบรรเลงฉินนี้อย่างไร แล้วขลุ่ยเล่าจะเป่าอย่างไร ไม่เหมือนกับกลองรบทุบตีแรงๆ ยิ่งดังยิ่งดีกระมัง
“แล้วหลังจากนั้นท่านผู้นำตระกูลได้มาอีกหรือไม่”
โอวเสี่ยวเอ๋อถาม นางไม่สนใจจังหวะบรรเลงฉินนี้แม้แต่นิด
ชายฉกรรจ์ไม่ตอบ พลันชี้กระดาษแผ่นหนึ่งที่ตอกตะปูไว้บนผนังร้านตีเหล็ก
เนื่องจากระยะห่างไกลเกินไป โอวเสี่ยวเอ๋อมองเห็นไม่ชัดเจน อ่านออกเพียงหัวเรื่องด้านบนสุด
“จดหมายตัดขาดกับโอวหย่าหมิง!”
โอวเสี่ยวเอ๋ออ่านออกมาทีละคำ รู้สึกเหลือเชื่อ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้นำตระกูลทะเลาะกับผู้อาวุโสแปลกหน้าจนถึงขึ้นตัดขาดกันเช่นนี้
“เจ้าอย่าได้ตกใจไป แท้จริงแล้วเป็นเพียงเรื่องเล็ก…”
ชายฉกรรจ์เกาศีรษะแล้วพูด ดูเก้อกระดากอยู่บ้าง
“เหตุผลหลักคือเขาคอยมากวนใจข้า…บอกไปตั้งแปดร้อยครั้งแล้วว่าไม่ไปตระกูลโอว เขาก็ยังเอาแต่บอกถึงแปดร้อยครั้งว่าตำแหน่งปรมาจารย์ขั้นสูงสุดนั้นดีเพียงใด เจ้าว่าข้าจะรำคาญหรือไม่ จึงตัดขาดกันไปเสียเลย ชัดเจนสิ้นเรื่อง!”
ชายฉกรรจ์กล่าว
“ผู้อาวุโส ข้าอยากฝากตัวเป็นศิษย์เรียนตีเหล็กจากท่าน!”
โอวเสี่ยวเอ๋อกัดเม้มริมฝีปากเบาๆ ราวกับว่าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
“ไม่ได้ๆๆ…เจ้าเป็น ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอว ข้าสอนเจ้าไม่เท่ากับว่าคืนดีกับเจ้าคนน่ารำคาญนั่นไม่ใช่รึ ไม่ได้…ไม่ได้เด็ดขาด!”
ชายฉกรรจ์ค้านอย่างต่อเนื่องราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูน่าเกรงขาม
“ผู้อาวุโส!”
โอวเสี่ยวเอ๋อก็ยอมแล้วจริงๆ ทันใดนั้นคุกเข่าลงเสียงดัง ‘ตุ๊บ’
ชายฉกรรจ์แสร้งมองไม่เห็น กลับหันเบนความสนใจไปที่หลิวรุ่ยอิ่งและเอ่ยปากพูด “เจ้าไม่เตรียมพร้อมฝากตัวเป็นศิษย์หรือ เมื่อครู่บอกว่าบทเพลงบรรเลงฉินไพเราะไม่ใช่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งตระหนักได้ทันทีจึงรีบคำนับเช่นเดียวกับโอวเสี่ยวเอ๋อ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสนใจเครื่องดนตรีใดๆ แต่เครื่องสายชนิดนี้มีแรงดึงดูดประหลาดๆ พลันรู้สึกว่าจำเป็นต้องมีมันและขาดมันไปไม่ได้
“ดูให้ดี ทำเหมือนข้า ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งมือขวาของเจ้าทำเป็นนกยูงจับสายฉินเดียวกับข้า จากนั้นดึงมันพร้อมกัน พิธีคำนับฉินนับว่าเป็นอันเสร็จสิ้น!”
ฉินอวิ๋นตังกล่าวกับหลิวรุ่ยอิ่ง
ครั้นหลิวรุ่ยอิ่งได้ยินก็ทำตามคำชี้แนะ เพียงแต่เห็นโอวเสี่ยวเอ๋อที่ยังคุกเข่าอยู่ข้างๆ นานแล้วก็รู้สงสารเล็กน้อย
รอกระทั่งหลิวรุ่ยอิ่งและชายฉกรรจ์เสร็จสิ้นพิธีคำนับฉิน เขาจึงหันมากล่าวกับโอวเสี่ยวเอ๋อ “ทำเช่นนี้เจ้าทนได้รึ”
“ทนได้! หากสามารถเรียนรู้ทักษะแท้จริงได้ ต่อให้ถอดเสื้อผ้ากระโดดลงน้ำเดือดย่อมทนได้!”
โอวเสี่ยวเอ๋อลั่นวาจาเฉียบขาด
“คิดไม่ถึงว่าตระกูลโอวยังมีสตรีใจแกร่งดั่งเหล็กกล้าเช่นเจ้า เอาละๆ…ข้าอนุญาตให้เจ้าสังเกตมันอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกับโอวหย่าหมิงทำในตอนแรก แต่ข้าจะไม่อธิบายให้เจ้าฟังแม้แต่คำเดียว เจ้ารู้แจ้งเพียงไหนขึ้นอยู่กับตัวเจ้า!”
ชายฉกรรจ์โบกมือปัดๆ กล่าวอย่างจนปัญญา
“แล้วข้าเล่า”
จนกระทั่งกาสุราเคลือบกระเบื้องหยาบบนโต๊ะแห้งเหือด จิ่งซานปั้นถึงได้รู้สึกตัวในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ทั้งสองคนข้างกายพากันฝากตัวเป็นศิษย์ มีเพียงตนเองถูกทิ้งไว้ข้างๆ ราวกับคนนอก
“เจ้ารึ ก็ชุ่มฉ่ำดีไม่ใช่หรือ”
ชายฉกรรจ์กล่าวพลางหัวเราะร่า
“แต่ว่าพวกเจ้าทั้งสองมีความกังวล เกรงว่ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ เจ้าแม่นางน้อยกลับสงบจิตใจแล้ว”
“ใช่แล้วท่านอาวุโส”
โอวเสี่ยวเอ๋อตอบ
นางไม่ได้คาดหวังว่าการเดินทางกับหลิวรุ่ยอิ่งและจิ่วซานปั้นในครั้งนี้จะพบกับโอกาสที่ดีเช่นนี้ ตอนนี้จึงตัดสินใจไม่จากไปแม้แต่ก้าวเดียวจนกว่าตนเองจะเรียนรู้จนสำเร็จ
“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”
ทันใดนั้นมีเสียงดังสอบถามขึ้นด้านหน้าร้าน ทั้งสามคนรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
“ทำไม ร้านตีเหล็กก็ยังต้องรับงาน ไม่เช่นนั้นโต๊ะตั่งเครื่องเรือน ผักสุราอาหารจะตกลงมาจากฟากฟ้าหรือ”
ชายฉกรรจ์ยืนขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิวรุ่ยอิ่งมองไปข้างหน้าตามร่างชายฉกรรจ์ ทันใดนั้นถีบพลิกโต๊ะด้วยความตกใจ ชักกระบี่แล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังคาร้านตีเหล็ก
………………………………………………………………
[1] กู่ฉิน เป็นเครื่องดนตรีจีนมีเจ็ดสายที่เล่นด้วยการดีด มีการเล่นกันมาตั้งแต่สมัยโบราณโดยเฉพาะขุนนางหรือคนชั้นสูง
……………………………………