ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 70 อาทิตย์อัสดงหยาดฝนเลือดแห่งการเดิมพันครั้งสุดท้าย-3
- Home
- ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา
- บทที่ 70 อาทิตย์อัสดงหยาดฝนเลือดแห่งการเดิมพันครั้งสุดท้าย-3
บทที่ 70 อาทิตย์อัสดงหยาดฝนเลือดแห่งการเดิมพันครั้งสุดท้าย-3
“ผ่านมาสองวันแล้ว เจ้าเขียนได้กี่บทแล้ว”
บัณฑิตจางถาม
ผู้ใดจะรู้ว่านอกจากทังจงซงจะไม่ตอบแล้ว ยังหันกลับมาอย่างประชดประชันปิดบังฉบับร่างของตน
“ทำไม ดูไม่ได้เลยรึ เจ้าอวดตนว่าเป็นอัจฉริยะ ทุกอย่างล้วนอยู่อันดับต้นๆ ไม่ใช่หรือ”
บัณฑิตจางหยอกล้อ
“กล่าวว่าดูได้มันก็ได้ กล่าวว่าดูไม่ได้ก็ดูไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดดูได้ ดูได้เป็นผู้ใด”
ทังจงซงกล่าวโอ้อวด
“เจ้าเด็กนี่หยุดกล่าววาจาไร้สาระได้แล้ว! เจ้าเขียนบทกวีไม่ได้ ข้าก็ไร้หนทางหาคน! ข้าไม่มีความสุขก็อย่าหวังว่าเจ้าจะสุขสบาย!”
บัณฑิตจางกล่าวอย่างไร้ความอดทน
ความจริงแล้ว เขากังวลทุกวี่ทุกวัน แต่ไร้ทางเลือกจำต้องยอมรับสิ่งนี้ ตนก็จำต้องปฏิบัติตามเช่นกัน
“ท่านเอาแต่พูดเสียงดังเช่นนี้ ประโยคดีๆ ที่เพิ่งนึกได้เมื่อครู่กลับลืมไปเสียแล้ว”
ทังจงซงโยนพู่กันทิ้ง สองเท้าวางพาดโต๊ะ เลือกยอมแพ้ไปทั้งอย่างนั้น
“คำที่คิดออกแล้วจะลืมสิ้นได้อย่างไร”
บัณฑิตจางรู้ว่าทังจงซงกำลังเล่นลูกไม้อย่างไม่ละอายใจ แต่ก็จนปัญญาเช่นกัน
“เหตุใดจะไม่ได้ ขนาดข้าวที่กินก็ยังไม่เหลือ สิ่งที่คิดได้แล้วก็ย่อมเป็นไปได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยามข้ากินข้าวยังคีบตะเกียบเข้าปากครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นค่อยเคี้ยวมันกลืนลงท้องไปทีละคำๆ แต่สิ่งที่คิดทั้งหมดคล้ายมีคล้ายไม่มี การมีอยู่และการลืมสิ้นล้วนเลือนลางเป็นธรรมดา”
ทังจงซงแบมือกล่าว
“ข้าไม่สนว่าเจ้าทำเช่นไร ถึงอย่างไรห้าวันต่อจากนี้เจ้าห้ามขาดแม้แต่บทเดียว!”
“ไม่ขาดๆ คนอย่างข้าท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ ในสนามรบเป็นทหารผู้อาจหาญ จับพู่กันงานเขียนเป็นหงส์! ”
ทังจงซงกล่าว
บัณฑิตจางได้ยินก็ตึงตังจากไปด้วยความโมโห
ครั้นคิดว่าเขาเป็นวีรบุรุษชั่วชีวิต สุดท้ายก็สูญเสียทั้งฐานะและชื่อเสียงเกียรติภูมิเพียงเพราะทายาทผู้สืบทอด…แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ เมื่อเผชิญกับการไล่ล่าของสำนักปากสอบก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า
ฆ่าได้เมื่อถึงเวลาฆ่า รวดเร็วเฉียบขาด
จนแล้วจนรอด กลับถูกทังจงซงเจ้าเด็กหนุ่มนี่คุมตนไว้อยู่หมัด
ทังจงซงเห็นบัณฑิตจางจากไป จึงค่อยนั่งอย่างเชื่องช้าและจัดเรียงฉบับร่าง
ที่เห็นด้วยตาบนกองกระดาษฉบับร่างไม่มีบทกวีสักบท ทั้งหมดล้วนวาดแผนที่พร้อมคำอธิบายประกอบต่างๆ ด้านบน
แท้จริงแล้วเขาใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้สืบหาแผนผังในวังอ๋อง เส้นทางลาดและช่วงเวลาตระเวนของทัพอีกาดำจนเข้าใจหมดเปลือกแล้วจึงจดบันทึกไว้
วันนี้บัณฑิตจางไม่ได้ไปไหนไกล แต่ละวันหลังจากเอาชนะทังจงซงตามปกติ ล้วนออกจากวังอ๋องไปเที่ยวเตร่ตามถนน
แม้ว่าฮั่ววั่งจะจัดหาที่พักและบ่าวรับใช้ให้เขาในวังอ๋องก็ตาม แต่เขากลับไม่เคยอาศัยอยู่สักวัน เขาจะทนต่อการอาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น ทั้งยังถูกกำแพงสูงล้อมรอบได้อย่างไร
ทว่าหมกมุ่นหลงใหลอยู่กับคลังสะสมในวังฮั่ววั่ง ก็มีของดีไม่น้อยที่ดึงดูดให้เขามาหอคัมภีร์ทุกวันจริงๆ ฮั่ววั่งดูแลหอคัมภีร์อย่างพิถีพิถัน ทั้งป้องกันแมลง ป้องกันเชื้อรา ป้องกันไฟไหม้ ทำทุกด้านอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
อันที่จริงสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งของที่ฮั่ววั่งได้มาขณะรวบรวมกระบี่ดาราโดยบังเอิญเท่านั้น…อีกทั้งยังสามารถประดับตกแต่งต่อหน้าข้าราชการบุ๋นและบัณฑิตเหล่านั้นได้ไยจะไม่ทำเล่า
แต่บัณฑิตจางไม่ได้คิดมากมายขนาดนั้น มีเพียง ‘ตำราลายเส้น’ หนึ่งเล่มในหอคัมภีร์ ทำให้เขาไม่อาจถอนตัวได้
…………………..
พระตำหนักวังอ๋อง
นักเชิดหุ่นปิศาจยังคงยิ้มบางๆ มองฮั่ววั่งโดยไม่กล่าวสิ่งใด
“คราวนี้มีเรื่องใดอีกเล่า”
ฮั่ววั่งถามอย่างใจเย็น
สิ่งที่ควรมาย่อมมาไม่ช้าก็เร็ว ไม่ว่าอย่างไรไม่มีทางหลีกหนี เขายอมรับความจริงข้อนี้อย่างสมบูรณ์
“ไม่มีๆ เพียงอยากหาใครสักคนคุยด้วย”
นักเชิดหุ่นปิศาจกล่าว
“ข้าโดดเดี่ยวนัก”
ฮั่ววั่งแย้มยิ้ม
เขาบอกว่าเขาโดดเดี่ยวนัก เช่นนั้นไยตนจะไม่เคยเล่า
มองดูตำหนักที่ว่างเปล่านี้ มองดูธาราขุนเขาอันกว้างใหญ่ของอาณาจักรติ้งซีอ๋องนี้ เพียงตนโบกมือก็ไม่รู้ว่าจะเกิดหรือตายในรัศมีกี่ร้อยลี้ได้ แต่ผู้ใดเล่าจะเข้าใจความทุกข์ระทมขมขื่นของตนได้อย่างแท้จริง
ครั้งก่อนเริ่นหยางกล่าวว่าเขามีหัวใจแห่งจักรพรรดิซึ่งนั่นเป็นความจริง แต่สิ่งที่ฮั่ววั่งต้องการไม่ใช่ความสุขอย่างจักรพรรดิครอบครองใต้หล้าและประชาชนยอมศิโรราบแน่นอน สิ่งที่เขาต้องการคือใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งเดียว อำนาจของตนไม่เป็นสองรองใคร
ฮั่ววั่งเคยคำนวณในใจมานานไม่รู้กี่ครั้งกี่ครา หากตนใช้อำนาจแห่งราชา ต้องรวมกระบี่ดาราทั้งหมดและเข้าใจความลับของมัน จากนั้นทะลวงหมื่นวิถี ข้ามสะพานเซียนกลายเป็นเซียนดาราซึ่งไม่รู้ต้องใช้เวลากี่ปี แต่ในทำนองเดียวกันหากครอบครองทั้งห้าอาณาจักรอ๋องในใต้หล้า เช่นนั้นไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าใด เวลานี้จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยถึงห้าเท่า
เวลามีค่ายิ่งกว่าทอง ยิ่งกว่านั้นเขาไม่ใช่คนรุ่นเยาว์อีกแล้ว
“เอาแต่ดื่มเจ้านี่ทุกวันไม่เบื่อรึ”
นักเชิดหุ่นปิศาจชี้เตาสุราดินเผาฮั่ววั่งพลางเอ่ยถาม
“ความสุขนี้ เจ้าไม่เข้าใจ…”
ฮั่ววั่งเอ่ยประโยคหนึ่งเบาๆ
“ข้าก็อยากเข้าใจ…แต่อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีสุราให้ดื่ม!”
นักเชิดหุ่นปิศาจกล่าว
ฮั่ววั่งได้ยินคำพูดนี้ในใจพลันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าหรือเพราะเขาโดดเดี่ยวเกินไปจนสวรรค์ประทานนักเชิดหุ่นปิศาจนี้มาให้เป็นสหายกระมัง หากเป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนก็เป็นคนที่มีชะตากรรมเดียวกัน
เดิมทีตนคิดว่าชั่วชีวิตนี้นอกเหนือจากกระบี่แล้ว ทำได้เพียงปฏิสัมพันธ์กับสุราเท่านั้น หากมีวันใดที่แม้แต่สุราก็ไม่อาจกล่าวถึงได้ จะไม่น่าเวทนายิ่งกว่านี้หรือ
“นี่!”
ฮั่ววั่งรินสุราหนึ่งจอกให้นักเชิดหุ่นปิศาจ
“ให้ข้าดื่มจริงหรือ สุราหนึ่งจอกแทนเหตุและผลไม่ได้ ยิ่งทดแทนสิ่งเหล่านั้นที่เจ้าติดค้างข้าไม่ได้ ข้าก็จะไม่จากไป”
นักเชิดหุ่นปิศาจยิ้มกล่าว
“สุราหนึ่งจอกก็เพียงสุราหนึ่งจอก ดื่มสุราพูดเรื่องสุรา คุยธุระก็พูดเรื่องสำคัญ จะมีเหตุผลมากมายที่ไหนกัน”
ฮั่ววั่งโบกมือปัดและกล่าว
นักเชิดหุ่นปิศาจไม่เอ่ยวาจาอีก แต่ยกสุราดื่มจนหมดจอก
“อร่อยหรือไม่”
ฮั่ววั่งถาม
“อร่อย!”
นักเชิดหุ่นปิศาจเม้มริมฝีปากแรงๆ พยายามลิ้มรสที่เรียกว่าความหอมกลมกล่อมของสุรา
“ข้าสัมผัสได้ถึงความรู้สึกตอนที่เจ้าดื่มสุรา”
นักเชิดหุ่นปิศาจกล่าว
“ในเมื่อมันไม่อาจทำให้เจ้ามีความสุข เหตุใดถึงไม่เลิกดื่มเล่า”
ฮั่ววั่งไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร แต่เขาพบว่าตนไม่หวาดกลัวและรังเกียจนักเชิดหุ่นปิศาจถึงเพียงนั้นแล้ว
“คนทางโลกล้วนกล่าวว่าเจ้าเป็นนักเชิดหุ่นปิศาจเข้าใจจิตใจของมนุษย์ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องลวงหลอก แต่เจ้ากลับยังไม่เข้าใจธรรมชาติมนุษย์”
ฮั่ววั่งเล่นกับจอกสุราพลางกล่าว
“ธรรมชาติมนุษย์รึ ธรรมชาติมนุษย์คือสิ่งใดกัน”
“เจ้ารู้ถึงภายภาคหน้าที่ข้าไม่ดื่มสุราหรือไม่”
ฮั่ววั่งถาม
“ข้าไม่รู้…”
นักเชิดหุ่นปิศาจดูผิดหวังเล็กน้อย
“ข้าก็ไม่รู้ แต่ย่อมไม่ได้ดีไปกว่าตอนนี้แน่ ทว่าข้าก็ยังแกร่งกว่าเจ้ามากนัก อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าสุราไม่ได้ดีเพียงนั้น”
ฮั่ววั่งเทสุราที่เหลือเข้าเตาไฟ และดับไฟถ่านจนมอด
………………….
ข้างร้านตีเหล็ก เมืองจิ่งผิง
อาทิตย์เที่ยงวันใกล้เข้ามา
เงาของผู้คนสั้นลงไปมากโข
สองนิ้วหลิวรุ่ยอิ่งไล้ไปตามตัวกระบี่ทีละชุ่น ในความมึนเมาเจ็ดส่วนยังแฝงไปด้วยความตัวสั่นงันงกสามส่วน
ราวกับกระบี่ในมือไม่ใช่กระบี่ แต่เปรียบเสมือนสายรัดเอวชุดคลุมอาบน้ำงดงามตระการตา
ดึงมันออกอย่างเชื่องช้า เผยเรือนร่างที่สมบูรณ์แบบ
เชื่อว่าไม่มีใครต่อว่าขั้นตอนนี้นานเกินไป
ตรงกันข้าม ต่างก็คาดหวังให้มันช้าลง…ช้าลงอีกหน่อย…
หากเป็นเช่นนี้จริง มือของเขาย่อมสั่นระริกเป็นแน่ เพราะไม่มีผู้ใดสงบสติอารมณ์ภายใต้การล่อลวงเช่นนี้ได้
ในทางกลับกัน หลิวรุ่ยอิ่งไม่ใช่
เขามีจิตใจผ่องใส ข้อมือแข็งแรงมั่นคง
บังเอิญว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้ตนตกตะกอนจิตใจ พลังปราณทั่วถึง
ในที่สุด สองนิ้วลากผ่านตัวกระบี่จนสุด
มนุษย์แท่งน้ำแข็งฝั่งตรงข้ามเงียบนิ่งจนน่าประหลาดใจ ไร้การเคลื่อนไหวใด
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เนื่องจากบาดแผลบอบช้ำภายในร่างกายของตัวเขาเอง เขาจึงไม่คิดเตรียมพร้อมบุกโจมตี เพียงคิดไปตายเอาดาบหน้า คอยศัตรูพลั้งหาจังหวะโจมตี
ในเวลานี้เอง ลูกธนูยิงไปทางหลิวรุ่ยอิ่งอีกครั้ง
จิ่วซานปั้นกำลังจะตวัดกระบี่ช่วยสกัด แต่เห็นหลิวรุ่ยอิ่งหลับตาและเอื้อมมือไปคีบมันไว้
‘แกรก’
ลูกธนูหักครึ่งหล่นลงพื้น
หลิวรุ่ยอิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ธรรมลักษณ์บรมครูที่นั่งอยู่บนแท่นสวรรค์ภายในโลกใบเล็กบนอินหยางสองขั้วในกายค่อยๆ หยัดยืนและลืมตาขึ้น
ทันใดนั้น ทุกคนเห็นเพียงแสงกระบี่สว่างวาบ
แม้แต่พลังสายตาของจิ่วซานปั้นยังมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
แสงกระบี่ดุจแพรไหมสีขาวสายหนึ่งพุ่งแทงไปที่มนุษย์แท่งน้ำแข็ง
มนุษย์แท่งน้ำแข็งเห็นแสงกระบี่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าน้ำแข็ง เปลี่ยนร่างได้มากกว่าน้ำ ทะลุทะลวงทั่วทุกมุมเท่าที่เขาสามารถนึกได้
เขาและเขายังคงนิ่งไม่ไหวติง
เพราะกระบี่มีเพียงหนึ่งเล่ม แสงกระบี่มีเพียงหนึ่งสาย
ทว่าความเจิดจ้าและความเร็วฉับไวบนท้องนภาจะรักษาไว้ซึ่งความจริงแท้อย่างไร
การไม่เปลี่ยนแปลงรับมือการเปลี่ยนแปลงมากมายนั้นไม่ผิดเพี้ยน
แต่เขาผิดถนัด
ความสนใจของมนุษย์แท่งน้ำแข็งล้วนมุ่งเน้นไปที่มุมมองที่แปลกและยุ่งยากทุกรูปแบบ แม้แต่ด้านหลังและใต้ฝ่าเท้าล้วนเฝ้าระวัง
แต่ในช่วงเวลานี้ หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่แปรเปลี่ยน
การไม่เปลี่ยนแปลงสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงมากมายได้ ทว่าการไม่เปลี่ยนแปลงจะสามารถรับมือกับการไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกันได้อย่างไร
เขาต่างจากหลิวรุ่ยอิ่ง
รับเงินผู้อื่นมาก็เพื่อมีความสุขกับชีวิต
ขจัดภัยให้ผู้อื่นถือเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นในการรับเงิน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อาจสู้สุดชีวิต และไม่กล้าสู้สุดชีวิต…หากชีวิตจบสิ้นลง ความสุขรื่นเริงก็ไม่อาจเอ่ยถึง
แต่หลิวรุ่ยอิ่งต่างออกไป
เพื่อความมั่งคงไม่สั่นคลอน ‘รุดหน้าอย่างกล้าหาญ’ ของตน เพื่อระดับจิตใจ ‘รู้กระทำรวมหนึ่ง’ ของตนไม่ถดถอย แน่นอนว่าเขากล้าทุ่มสุดชีวิตและจำต้องสู้!
แสงกระบี่ธรรมดาหนึ่งสายแทงตรงเข้ามา แต่กลับบังเอิญอยู่นอกเหนือการป้องกันของเขา
มันต่างจากความร้อนรุนแรงดั่งนั่งบนกองไฟก่อนหน้านี้
กระบี่เล่มนี้เยือกเย็นถึงกระดูกยิ่งกว่าพลังผนึกน้ำแข็งของเขาเสียอีก
พลังทำลายล้างแห่งปลายคมกระบี่ ทำให้เขาได้สติว่าไม่อาจต้านทานได้
เขากลัวแล้ว…
มนุษย์แท่งน้ำแข็งโน้มตัวไปด้านหลัง ยันปลายนิ้วเบาๆ และถอยกลับอย่างรวดเร็ว
ทว่าแสงกระบี่ติดแน่นอยู่กับเขาเสมือนเนื้อเน่าติดกระดูก ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวหรือย้ายตำแหน่งเช่นไรล้วนเปล่าประโยชน์
เขาถอยกรูดไปตามตรอกซอยระหว่างบ้านเรือน ธารน้ำแข็งก่อตัวใต้ฝ่าเท้ายิ่งทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นไม่น้อย
บนหน้าอกกลายเป็นเกราะน้ำแข็ง แต่กลับถูกแสงกระบี่กัดกินตลอดเวลา
มนุษย์แท่งน้ำแข็งจำต้องเบือนหน้าไปอีกด้าน แต่เห็นบ้านเรือนทั้งสองฝั่งถนนล้วนถอยห่างไปหลายจั้งภายใต้แรงผลักกระบี่เล่มนี้ของหลิวรุ่ยอิ่ง…
การถอยหมายถึงขลาดกลัว ขลาดกลัวเป็นบ่อเกิดของการยอมแพ้
แต่การยอมแพ้นั้นน่ากลัวยิ่งกว่าความตายมากนัก
แม้ว่าคนคนหนึ่งจะตายได้เพียงครั้งเดียว แต่มีวิธีให้เลือกนับไม่ถ้วน
คนคนหนึ่งอาจยอมแพ้หลายครั้ง แต่ล้วนมีโอกาสคล้ายคลึงกันและไม่มีทางเลือก
ในสายตามนุษย์แท่งน้ำแข็ง รอบกายหลิวรุ่ยอิ่งในตอนนี้เปล่งประกายแสงสีทองเรืองรอง ดุจดั่งแม่ทัพคงกระพัน
ไม่ว่ากระบี่หรือตัวเขาล้วนกระจายแรงผลักดันมหาศาล นี่เป็นพลังแห่งธรรมลักษณ์บรมครูในกายหลิวรุ่ยอิ่ง!
พลังโหมกระหน่ำพัดทรายและกรวดตลบ
ทว่าทำให้เมืองเงียบสงบแห่งนี้คึกคักขึ้นมาทันตา
ผู้คนที่ไม่ทราบสาเหตุค่อยๆ พากันออกห่างต้นไม้ใหญ่ข้างบ่อน้ำเพราะคิดว่าทางใต้มีพายุทรายโหมกระหน่ำ
เนื่องจากพื้นดินใต้บ่อน้ำสั่นสะเทือนจนน้ำไหลกระฉอกออกมาด้านนอก
ในยามนี้ทั้งเมืองจิ่งผิงไม่ต่างจากสนามรบโบราณนอกหุบเขา ล้วนเต็มไปด้วยความหนาวเย็นและความเวิ้งว้าง
หลิวรุ่ยอิ่งกดปลายกระบี่เบาๆ จ้องคอมนุษย์แท่งน้ำแข็งเขม็ง
นี่เป็นส่วนสำคัญที่สุดและเปราะบางที่สุดในร่างกายมนุษย์ แต่มีเพียงน้อยคนนักที่คิดจะปกป้องมัน
………………………………………………………………