ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 75 กายเนื้อยังต้องการอาหารใจ-2
5 กายเนื้อยังต้องการอาหารใจ-2
เจ้าหมิงหมิงเผยร่างเดิมในพริบตา นางวิ่งจ้ำสองสามหนก็ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืดมิดคืนฝนตก เหลือเพียงเสียงสายนี้ทอดมาไกลๆ
ผู้ตัดสัมพันธ์มองดาบตัดสัมพันธ์ของตนกับเส้นสายฟ้ารอบกายที่ค่อยๆ หายไปอย่างเหม่อลอย เขาเอ่ยราวพูดกับตัวเอง
“ที่แท้เจ้ามีวิชาทำลายอัสนีทมิฬนี้แต่แรกแล้ว…ทำไมคราวก่อนเจ้าไม่ใช้ล่ะ…”
หลังจากทรยศออกมาตอนนั้น ผู้ตัดสัมพันธ์ก็ละทิ้งวิถียุทธ์และวิทยายุทธ์ที่สำนักปากสอบกับบัณฑิตจางสืบทอดไปหมดสิ้นแล้ว
เขาใช้ชีวิตเหมือนครึ่งคนครึ่งสัตว์อยู่ในภูเขาห้าปีเต็ม เพียงเพื่อให้คุ้นเคยกับสภาพและแบบแผนของเหล่าอสูรตอนยังไม่วิวัฒนาการ
ห้าปีผ่านไปเป็นอีกห้าปีเต็ม เขาหมกมุ่นอยู่กับวิชาดาบอัสนีทมิฬนี้
เพียงเพราะพลังของอัสนีทมิฬมีพลังข่มที่แข็งแกร่งต่อเผ่าจิ้งจอกหูเงินหิมะทองหลายส่วน
แต่อย่างไรเขาก็คาดไม่ถึง ในบุคคลจำนวนน้อยนิดของเผ่าจิ้งจอกหูเงินหิมะทองนี้กลับมีหิมะขาวกับทองบริสุทธิ์สองพลังพรสวรรค์ของเผ่าพันธุ์อยู่ในกายพร้อมกัน
เจ้าหมิงหมิงก็เป็นหนึ่งในนั้น
ทองบริสุทธิ์แข็งแกร่งยากทะลวง ทรงพลังไร้พ่าย
หิมะขาวอ่อนนุ่มไร้กระดูก เคลื่อนย้ายข้ามผ่าน
สองสิ่งหนึ่งแข็งหนึ่งอ่อน ประหนึ่งอินหยางสองขั้วในตันเถียนของมนุษย์
อัสนีทมิฬเมื่อครู่นั้นถูกพลังหิมะขาวสยบจนสุดท้ายกลับไปไร้รูปดังเดิม
เจ้าหมิงหมิงไปแล้ว ผู้ตัดสัมพันธ์ก็เก็บดาบ
ฟ้าแลบฟ้าร้องบนท้องนภาก็คล้ายมีสติปัญญา พวกมันหลบเข้าหลังชั้นเมฆอันหนาแน่นกันหมด
ลมพัดเหล่าหน่ออ่อนที่งอกใหม่บนต้นไม้หักอีกครั้ง
เหตุการณ์นี้ไม่ว่าช้าหรือเร็วล้วนต้องเกิดขึ้น เหมือนดอกไม้ผลิดอกไม้ร่วง
ในสถานการณ์ทั่วไปต้องใช้เวลาหนึ่งปีเต็ม
แม้ลมเมื่อครู่พัดแค่พริบตาเดียว แต่โดยเนื้อแท้มันไม่ต่างกับหนึ่งปี
นี่ต่างเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุดในโลกหล้า ธรรมดายิ่งกว่าดื่มน้ำแล้วปัสสาวะ กินข้าวแล้วอุจจาระเสียอีก
ความรักที่ผู้ตัดสัมพันธ์มีต่อคู่หมั้นของเขาอาจเรียกได้ว่าชั่วฟ้าดินสลาย
แต่เทียบกับชีวิตของเขาในโลกนี้ช่างสั้นนัก
ไม่เหมือนชั่วขณะที่หน่ออ่อนถูกลมพัดหักกับหนึ่งปีที่ดึงกิ่งก้านให้ใบเติบโตแล้วร่วงหล่นหรอกหรือ
นอกจากเขาไม่มีใครสนใจว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะอยู่หรือตาย ต่อให้ตอนมีชีวิตนางงดงามเพียงใดสำคัญแค่ไหน ตายแล้วก็เป็นแค่เนื้อเน่าเปื่อยกองหนึ่ง…
แม้เป็นอดีตผู้สั่งการสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างอาจารย์ของเขา หลังออกจากสำนักปากสอบแล้วก็ปิดบังชื่อเสียงเรียงนาม เก็บซ่อนความสามารถเหมือนกันไม่ใช่หรือ
สภาพสังคมนี้ก็ควรเป็นเช่นแขกกลับชาเย็น[1]อยู่แล้ว
อย่าบอกว่าวีรบุรุษพเนจรไม่มีคุณธรรรมน้ำมิตร ความจริงคุณธรรมน้ำมิตรนี้สูงส่งเกินไป ไม่เหมาะกับสภาพสังคมและโลกเช่นนี้อย่างแท้จริง
ต่อให้ตกต่ำเป็นคนเสเพลเป่าปี่ร้องเพลงเศร้าแลกข้าวกันหมด วีรบุรุษขายม้าทำงานหาเศษเงินก็เป็นสภาพปกติที่ควรมีไม่ใช่หรือ
เพียงแต่เทียบกับการกินข้าว คนเสเพลน่าจะชอบดื่มเหล้ามากกว่า
เทียบกับการทำงาน วีรบุรุษต้องอยากสังหารคนมากกว่า
ยามค่ำคืนเงียบสงัด นึกถึงตนยื่นมือเข้าช่วยเรื่องที่เรียกว่าอยุติธรรมเหล่านั้นตอนกลางวัน นึกถึงหัวคนที่ตัดร่วง ขั้วหัวใจที่ตนแกว่งดาบชักกระบี่แทงทะลุหลังเมามายแล้วไม่เคยตื่นกลัวจริงหรือ
ผู้ตัดสัมพันธ์เคย…
ว่าไปแล้วสิ่งที่เขาฝันถึงมากที่สุดไม่ใช่คู่หมั้นของตัวเอง แต่เป็นหัวจิ้งจอกหลั่งเลือด ปากกัดแขนที่ขาดข้างนั้นของตนไว้
ความฝันนี้ไม่มีใครรู้
หากคนอื่นรู้แล้วเป็นต้องปากมาก ‘เขาเมารักขนาดนั้นจริงหรือ หรือว่าเสียดายแขนข้างนั้นของตัวเอง ถึงอย่างไรภรรยาก็หาได้อีก แต่แขนกลับมาไม่ได้แล้ว…’
แม้คำพูดนี้เย็นชาอยู่หลายส่วน แต่กลับมีเหตุผล
มีคนแอบทำเรื่องไม่ถูกต้องในนามของความเที่ยงธรรมมากมายเท่าไร
แล้วมีคนอีกมากมายเท่าไรที่ยกธงคุณธรรมขึ้นสูงทว่าแอบทำเรื่องสมคบกระทำการชั่วลับหลัง
ตอนเขาอยู่สำนักปากสอบ กลางวันเพลิดเพลินกับเกียรติยศเสียงร้องสรรเสริญเต็มที่แล้ว จากนั้นกลับได้แต่นอนบนหญ้านับว่าคืนนี้มีดาวตกเวียนผ่านกี่ดวงอยู่คนเดียว ความหดหู่เช่นนี้จะมีสักกี่คนที่รับได้
บัณฑิตจางก็เคยใช้ชีวิตเช่นนี้
สองศิษย์อาจารย์สมเป็นศิษย์อาจารย์โดยแท้
ออกจากสำนักปากสอบติดกันไม่ว่า ยังล้วนมีชีวิตในสภาพเช่นนี้อีก
ท่ามกลางธรรมชาตินี้ แม้แปรผันนับพันหมื่น ความงามเหลือล้นชื่นชมไม่หมดในคราวเดียว แต่ก็ทำให้คนไร้วาสนาได้มีความสุข…
เมื่อเปรียบเทียบกัน บัณฑิตจางผู้เป็นอาจารย์ย่อมภักดีกว่าลูกศิษย์อยู่แล้ว
อย่างไรเขาก็อธิษฐานสิ่งเดียวกันต่อดาวทุกดวงที่ลากผ่านนัยน์ตาเขา ‘ขอให้ลูกศิษย์โง่เง่านั่นของข้าไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก…ขอให้เขาหาโอกาสแก้แค้นไม่ได้ตลอดไป…ขอให้ข้าเจอเขาก่อนการแก้แค้น’
บางครั้ง บัณฑิตจางก็หวนนึกถึงเรื่องในอดีตตอนอยู่สำนักปากสอบ
เขาแก่แล้ว
คนแก่มักย้อนรำลึก
ชอบยกเรื่องชีวิตของตัวเองมาชี้แนะสักรอบเสมอ
ต่างกับคนหนุ่มสาว หลิวรุ่ยอิ่งชอบใฝ่ฝันถึงอนาคตยิ่ง
เขาไม่คิดว่าเวลาที่ผ่านมาของตนควรค่าให้นึกถึง จึงได้แต่ฝากความหวังไว้กับภายหน้าให้ไปสร้างช่วงเวลาอันงดงามที่สามารถเอามาหวนนึกถึงได้เยอะๆ
แต่อนาคตไม่อาจคาดเดา
สิ่งที่สูญเสียก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่ใฝ่ฝันล้วนเป็นภาพหลอนและจินตนาการ
สิ่งที่นึกถึงคือบทเรียนและความสูญเสีย
สิ่งที่ผิดก็คือผิด คิดอีกเท่าไรมันก็ไม่ถูกขึ้นมา
สิ่งที่ยังไม่เกิดก็ต้องรอคอยอย่างเงียบๆ
คิดหนักเพียงใด พรุ่งนี้ก็ไม่มีทางมาถึงก่อนเวลา
บางทีถึงฤดูกาลนี้แล้วสภาพอากาศโดยรวมของเขตติ้งซีอ๋องอาจเหมือนกันหมด
ไม่ว่าหัวเมืองรัฐติงที่ผู้ตัดสัมพันธ์กับเจ้าหมิงหมิงอยู่ หรือเมืองติ้งซีอ๋องที่บัณฑิตจางอยู่ หรือจะเป็นเมืองจิ่งผิงที่หลิวรุ่งอิ่งกำลังหน้ามืดอยู่ในศาล ‘พลานุภาพ’ แต่ละที่ล้วนฝนตกไม่ต่างกัน
หลิวรุ่ยอิ่งยังอยู่ในห้องหินนั้น
เขาประคองท่วงท่าไว้เหมือนตอนถูกกระบี่
เพียงแต่ด้านหลังของเขาเป็นกำแพง จุดนี้กลับไม่เหมือนตอนถูกกระบี่
หน้ากากอสูรเขี้ยวยาวล่องหนหนีหายไปนานแล้ว ในห้องหินดูปกติเหมือนตอนเขาเดินเข้ามา
เพียงแต่เบาะรองนั่งที่กลายเป็นขี้เถ้าปลิวว่อนนั้นกลับไม่เหลือร่องรอย
นอกจากนั้น ไม่รู้ใครเติมน้ำมันใส่ตะเกียงบนกำแพงส่วนลึกดวงนั้นให้เขาตอนไหน ยามนี้มันกำลังเผาไหม้
แม้ด้านหลังของหลิวรุ่ยอิ่งเป็นกำแพง แต่ส่วนหลังของเขากลับยังเว้นระยะห่างจากกำแพงอยู่เล็กน้อย…
สองดวงตาของเขาว่างเปล่า ว่างกว่ากระเป๋าเสื้อโล่งๆ นั่นเสียอีก
คนไม่รู้คงได้แต่นึกว่าเขากำลังเหม่อลอย
มีแค่ตัวเขาที่รู้ว่าตอนนี้เขาเจ็บปวดเพียงใด
ในใจเขากล่าวโทษช่างตีเหล็กผู้หยาบกระด้างอยู่บ้าง
เพราะเขาต้องรู้มากกว่านี้แน่นอน แต่ยอมบอกหลิวรุ่ยอิ่งเพียงเท่านั้น
เขานับเป็นคนแปลกคนหนึ่งจริงๆ และคนแปลกส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างมีนิสัยประหลาด
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าการ ‘บอกไม่หมด’ นับเป็นนิสัยประหลาดอย่างหนึ่งหรือไม่ แต่ตอนนี้ก็ได้แต่นับมันรวมไปก่อน
……………………..
“ตอนนี้เลยมาค่อนคืนแล้ว ทำไมเขาสองคนยังไม่กลับอีก”
ช่างตีเหล็กทำงานเสร็จหมดแล้ว กำลังนั่งหลบฝนอยู่ใต้เพิงเล็กๆ ที่เหลืออยู่กับโอวเสี่ยวเอ๋อ ถือโอกาสดื่มเหล้าโดยอาศัยแสงสลัวจากเตาไฟ
“ไม่รู้…”
ช่างตีเหล็กตอบ
“ศาลเจ้านั่นน่าสนใจมากหรือ”
โอวเสี่ยวเอ๋อเอ่ยถาม
“ข้าคิดว่าไม่”
คำตอบของช่างตีเหล็กตรงไปตรงมาเสมอ ทำให้โอวเสี่ยวเอ๋อไม่รู้ว่าเขาเบื่อที่จะพูดหรือแค่อยากพูดเช่นนี้จริงๆ กันแน่
จิ่วซานปั้นก็เป็นคนแปลก นิสัยประหลาดเยอะเกินไป…
ไม่ว่าเขาทำเรื่องอะไร โอวเสี่ยวเอ๋อล้วนไม่แปลกใจทั้งสิ้น
แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่ส่งข่าวนานขนาดนี้ นางกังวลอยู่บ้างจริงๆ…แต่ดีที่หลังศึกใหญ่ของเขากับมนุษย์แท่งน้ำแข็งผ่านไปที่นี่ก็สงบมาตลอด ถึงขั้นไม่มีแม้แต่ชาวเมืองเข้าออก
“เจ้าไม่ใช่คนตระกูลโอวกระมัง”
ช่างตีเหล็กออกปากถามกะทันหัน
ทั้งที่เป็นคำพูดเชิงคำถาม กลับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจยิ่ง
“ข้าคือ ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอว”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
ช่างตีเหล็กยิ้มเล็กน้อย หยัดหลังขึ้นมองนางแวบหนึ่งและกล่าว
“ประโยคนี้ยืนยันแล้ว”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?!”
โอวเสี่ยวเอ๋อเองยังไม่สังเกตเลยว่าในคำพูดของนางมีการหลบเลี่ยงและขลาดกลัว
“เจ้าไม่ใช่คนตระกูลโอว”
ช่างตีเหล็กพูดอีกครั้ง
“ข้าเป็นสกุลนอก ทำปฏิญาณโลหิตตั้งแต่ยังเล็กมากแล้วเปลี่ยนเป็นสกุลโอว”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
เรื่องนี้คนตระกูลโอวต่างรู้กันหมด และในบรรดา ‘แก่นกระบี่’ หกคนรุ่นปัจจุบันของตระกูลโอว นอกจากนางแล้วยังมีสมาชิกตระกูลโอวผู้เป็นสกุลนอกโดยกำเนิดทำปฏิญาณโลหิตอีกคนหนึ่ง
“แต่เจ้าต่างออกไป ใช่หรือไม่”
ช่างตีเหล็กเอ่ยสุขุมเยือกเย็น
เขาดื่มเหล้าหยดสุดท้ายในชามกระเบื้องหยาบจนหมดแล้วยังใช้ลิ้นเลียก้นชามด้วย
“ในกายังมีเหล้าไม่ใช่หรือ”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
ช่างตีเหล็กรู้ว่านางจงใจเปลี่ยนประเด็น แต่ก็ไม่แฉโพยทันที เพียงกล่าวว่า
“ก่อนรินเหล้าข้าบอกตัวเองในใจแล้วว่านี่เป็นแค่การดื่มเล็กน้อย ในเมื่อเป็นการดื่มเล็กน้อยก็ต้องกำหนดเวลากำหนดปริมาณ จะติดดื่มฆ่าเวลาไม่ได้ หากข้าเริ่มรินอีกชามก็ขัดแย้งกับความตั้งใจก่อนหน้านี้”
ช่างตีเหล็กกล่าว
โอวเสี่ยวเอ๋อฟังแล้วหัวเราะกล่าว
“ผู้อาวุโสจริงจังขนาดนี้เชียว? ข้าคิดว่าท่านยอดเยี่ยมมากตอนคำนวณความเสียหายของหลังคานั่น…แต่การดื่มเหล้านี้ท่านไม่ได้ตกลงเดิมพันกับใครเลย อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้นไม่ดีกว่าหรือ”
“แม้ไม่มีใครได้ยิน แต่ข้าพูดกับใจของตัวเอง หากทุกแผนการตัดสินใจล้วนสลับสับเปลี่ยนได้ง่ายเหมือนการดื่มเล็กน้อยกับการดื่มเต็มที่ เช่นนั้นแผนการสองคำนี้จะยังมีความหมายใดอีก หนำซ้ำเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับคนนอก พนันสัญญากับคนอื่นต้องทำตาม แล้วความตั้งใจระหว่างตนเองกับตนเองจะเปลี่ยนได้ตามใจชอบงั้นหรือ ใต้หล้ามีหลักการเช่นนี้เสียที่ไหน…”
ช่างตีเหล็กส่ายหน้า มองโอวเสี่ยวเอ๋ออย่างเหลือเชื่อเล็กน้อย
นี่เป็นคำพูดที่คนเห็นแก่ตัวแค่ไหนถึงพูดออกมาได้
ชั่วขณะหนึ่งโอวเสี่ยวเอ๋อไม่รู้ว่านี่คือหลักการหรือการพูดเฉไฉ และไม่รู้ว่าตนควรพูดอะไร จึงนั่งเม้มปากอยู่อย่างนั้น
ตอนกลางวันนางเห็นสีหน้าท่าทางที่ช่างตีเหล็กเสียดายทรัพย์สินเละเทะเหล่านั้นในร้านของเขา ไม่ใช่การเสแสร้งแน่นอน เขาต้องชี้แจงอย่างละเอียดยิบให้หลิวรุ่ยอิ่งชดใช้เป็นแน่
ถึงกระนั้นกลับเป็นเพราะพูดอยู่ในใจเงียบๆ ว่าจะดื่มเหล้าแค่ชามเดียวและห้ามเปลี่ยนเด็ดขาด ทำให้หัวสมองโอวเสี่ยวเอ๋ออดสับสนไม่ได้
แต่คนเช่นนี้จะไม่สร้างความยุ่งยากให้คนด้วยกันไปทั้งชีวิตเลยหรือ สิ่งไม่จำเป็นทั้งหลายถูกความชัดเจนนี้คัดสรรจนเกลี้ยงหมดแล้ว
เขาดูเป็นคนหนักแน่นเข้มแข็ง แต่กลับคิดเล็กคิดน้อย พะวักพะวนอยู่ในใจกับเรื่องเช่นนี้ บอกได้แค่ว่าเขาเป็นคนที่ในใจมีอดีตไม่น้อยเช่นกัน
อดีตเหล่านี้เยอะและหนักเกินไป จนทำให้เขาหมดความสนใจต่อเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในภายหลัง
ก็เหมือนตีเหล็ก หลงใหลแล้วย่อมหมกมุ่นอยู่อย่างเดียวเช่นนี้
ดูออกได้ว่าเขาไม่อยากเผยเรื่องราวที่แท้จริงของตนแต่อย่างใด จึงจำเป็นต้องลงแรงเสแสร้งเพื่อสิ่งนี้ เพียงแต่ฝีมือของเขาไม่ค่อยเก่งกาจเท่าไรนัก
“บอกว่าเปลี่ยนไม่ได้ไม่ใช่หรือ”
ยามนี้โอวเสี่ยวเอ๋อกลับเห็นช่างตีเหล็กหยิบกาสุราขึ้นมารินเหล้าให้ตัวเอง
“ข้าไม่ได้เปลี่ยนนะ คืนนี้ยังเป็นการดื่มเล็กน้อยเหมือนเดิม เพียงแต่ข้าเปลี่ยนการดื่มเล็กน้อยจากชามเดียวเป็นสองชามแล้ว”
ช่างตีเหล็กเอ่ย
ชามนี้เต็มจนด้านบนขอบชามมีผิวสุราล้นขึ้นมา
ช่างตีเหล็กถือไว้ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย จากนั้นยื่นศีรษะเข้าไปซดคำหนึ่งอย่างรุนแรง แล้วถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าสำราญใจ
“ข้าก็อยากดื่ม!”
แม้โอวเสี่ยวเอ๋อไม่ได้ติดเหล้าขนาดนั้น แต่เห็นท่าทางเขาเช่นนี้แล้วก็ดึงดูดหนอนสุราในท้อง
ไร้ทางเลือก นางก็รินให้ตนเองหนึ่งชามเต็มๆ เช่นเดียวกัน จากนั้นก็เลียนแบบซดอย่างแรงด้วยวิธีเดียวกัน สนุกกว่าเงยหน้าดื่มยามปกติมากจริงๆ!
…………………………………………
[1] แขกกลับชาเย็น หมายถึงหมดอำนาจแล้วย่อมไม่มีใครให้ความสำคัญ