ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 86 ลับฝีมือย่อมนองเลือด-2
บทที่ 86 ลับฝีมือย่อมนองเลือด-2
จิ่วซานปั้นนั่งว่างๆ อยู่ในบ้านจนจิตใจไม่สงบ…
เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ดื่มเหล้า
ไม่รู้เพราะอะไร
หลังออกจากหมู่บ้านครั้งนี้ เขาดื่มเหล้าไม่ตรงมื้อไม่ตรงเวลาขึ้นทุกวัน…
เขารู้สึกเศร้าอยู่บ้าง เพราะตนทำผิดต่อชื่อจิ่วซานปั้นนี้เล็กน้อย
พอคิดดู ช่วงเวลาสมัยก่อนก็ผ่านไปอย่างว่างเกินไป…
หากตื่นเต้นเร้าใจเหมือนหลายวันมานี้จะดีแค่ไหนกัน
จำต้องบอกว่าเป็นเพราะตนเห็นโลกน้อยเกินไป
วิทยายุทธ์ที่เหลี่ยงเฟินใช้มือโยนของจุดตะเกียงนั่นอาจไม่ได้มหัศจรรย์เท่าไร แต่ตนก็ดันอดใจอยากรู้ไม่ได้…
ถึงขนาดเหล้ายังไม่กล้าดื่มเยอะ
เกิดกลัวประเดี๋ยวมือสั่นแล้วจะเรียนวิชามหัศจรรย์นี้ไม่ได้
ตอนเขากำลังเหม่อมองไฟตะเกียงในห้อง ตะเกียงดวงนี้ดับ ‘ฟึ่บ’ ทันใด
จิ่วซานปั้นดีใจลุกขึ้น
เขารู้ว่าเหลี่ยงเฟินมาแล้ว
‘ฟึ่บ!’
ดับอีกดวงหนึ่งแล้ว เป็นตะเกียงหน้าต่างด้านหลัง
เหลี่ยงเฟินไม่ให้เขาออกทางประตูหลักแต่ต้องกระโดดหน้าต่าง
จิ่วซานปั้นคว้ากระบี่ยาวขึ้นมา เท้าเหยียบตั่งไม้พลันกระโดด แวบออกไปจากบานหน้าต่าง
จิ่วซานปั้นรู้สึกเหมือนมีดวงตาร้อยกว่าคู่จ้องมองตนอยู่ท่ามกลางความมืด
ดวงอาทิตย์ลับภูเขานานแล้ว
ลมเย็นในป่าพัดขึ้น
ฉับพลันนั้นมีเสียงผ่าอากาศสิบกว่าเสียงทอดมา แหวกผ่านลมลอยมาทางจิ่วซานปั้น
จิ่วซานปั้นใช้ฝักกระบี่ปัดป้องอย่างผ่อนคลาย
มองสิ่งที่ลอยมาชัดๆ แล้วเป็นหมากดำของหมากล้อม
เขาเก็บใส่ในกระเป๋าทันที
ถัดจากนั้น เม็ดหมากนี้กลับโจมตีเข้าหาจิ่วซานปั้นจากมุมแปลกประหลาดต่างๆ ไม่หยุดหย่อน
จิ่วซานปั้นหลบและป้องกันพลางเก็บหมากไปด้วย
ไม่รู้เนื้อรู้ตัว กลับมาถึงข้างแม่น้ำไหลสี่ฤดูแล้ว
สายน้ำไหลเอื่อย ยังดังไม่เท่าเสียงลม
แต่จิ่วซานปั้นกลับได้ยินเสียง ‘จ๋อม!’ ทีหนึ่ง
หมากดำเม็ดหนึ่งถูกโยนลงกลางแม่น้ำ
จิ่วซานปั้นหงุดหงิดเล็กน้อย…เพราะเขารับหมากดำที่ตกน้ำไว้ไม่ได้
ทันใดนั้น บนสะพานกลับมีแสงไฟสว่างขึ้น
จิ่วซานปั้นเห็นเหลี่ยงเฟินกำลังยืนอยู่บนสะพาน หันหน้ามาทางตน
เขาไม่ได้สวมหมวกสาน แต่ใบหน้ายังคงถูกปกคลุมไว้ด้วยผ้าพันสีขาวดำ มองไม่เห็นหน้าตา
“ข้ารับไว้ไม่ได้แค่เม็ดเดียว”
จิ่วซานปั้นเบะปากกล่าว
“แปลว่าก่อนหน้านี้เจ้ารับได้หมดเลย?”
เหลี่ยงเฟินเอ่ยถาม
“รับได้หมดแล้ว!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“ไม่ตกสักเม็ด?”
เหลี่ยงเฟินเอ่ยถาม
“ไม่ตกสักเม็ด!”
จิ่วซานปั้นถูกสงสัยแล้วมีน้ำโหอยู่บ้าง
“ทั้งหมดมีกี่เม็ด”
เหลี่ยงเฟินเอ่ยถาม
“ทั้งหมดมีหมากดำหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเม็ด”
จิ่วซานปั้นกล่าว
เหลี่ยงเฟินพยักหน้ากล่าว
“ถูกต้อง เม็ดสุดท้ายข้าโยนลงแม่น้ำไม่มีใครรับได้หรอก”
“หากเจ้าบอกข้าก่อนว่าเจ้าจะโยนลงกลางแม่น้ำ ข้าอาจรับได้ก็ได้!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“หมากอยู่ในมือข้า ข้าโยนไปทางไหนก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า ทำไมต้องบอกให้เจ้ารู้ก่อน ก่อนเผชิญหน้าต่อสู้กับศัตรูข้ายังต้องบอกประโยคหนึ่งว่า ‘ระวัง ข้าจะชกหน้าฝั่งซ้ายของเจ้าแล้ว’ อย่างนั้นหรือ”
เหลี่ยงเฟินกล่าว
จิ่วซานปั้นก้มหน้าครุ่นคิด
เขารู้สึกว่าที่เหลี่ยงเฟินพูดก็มีเหตุผล
คนอื่นไม่มีหน้าที่บอกให้ตนรู้
กลับเป็นตนที่ร้องขอเขา อยากเรียนวิชาขว้างหมาก
พอคิดดูแล้ว จิ่วซานปั้นกลับถอดรองเท้าและถุงเท้าลงไปแช่ในแม่น้ำแล้วงมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เจ้า!”
เหลี่ยงเฟินเห็นจิ่วซานปั้นย่ำเท้าเปล่าลงกลาง ‘แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์’ แห่งหอทรงปัญญานี้ พลันโมโหยิ่งอย่างอดไม่ได้
แต่นึกได้ว่าเดี๋ยวตนจะต้องลงโทษเขาอย่างโหดเหี้ยมสักหน ตอนนี้ยิ่งไม่มีใครเห็นอยู่ด้วย และก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หนำซ้ำเห็นท่าเขากระดกก้นคลำหาอยู่ในแม่น้ำแล้วก็รู้สึกเบิกบานใจยิ่ง
ตนอยู่บนสะพาน เขาอยู่ใต้แม่น้ำ
ความรู้สึกเหนือกว่าเกิดขึ้นอย่างเงียบงัน ทำให้เหลี่ยงเฟินรู้สึกสบายใจยิ่ง
“ข้าหาเจอแล้ว!”
จิ่วซานปั้นหยิบหมากดำเม็ดนั้นขึ้นมาและโบกมือให้เหลี่ยงเฟิน จากนั้นเทหมากที่เหลือในกระเป๋าไว้ข้างแม่น้ำรวดเดียว
“ข้าใช้หมากดำ เจ้ากลับรับไว้ได้หมด แสดงว่าเจ้าก็ผ่านด่านการฟังเสียงแยกแยะตำแหน่งแล้ว แต่ยังมีการทดสอบอื่นอีกหน่อย”
เหลี่ยงเฟินเดินลงจากสะพานมาเก็บหมากให้เรียบร้อยและกล่าว
“อะไรก็ได้ทั้งนั้น!”
จิ่วซานปั้นโบกมือเป็นพัลวัน รีบร้อนอย่างยิ่ง
“เจ้าใช้กระบี่?”
เหลี่ยงเฟินเอ่ยถาม
“ไม่ใช้ก็ได้”
จิ่วซานปั้นเห็นบนมือเหลี่ยงเฟินว่างเปล่า จึงโยนกระบี่ยาวของตนไว้ด้านข้าง
เหลี่ยงเฟินไม่นึกว่าจิ่วซานปั้นจะซื่อตรงเช่นนี้ ใจคิดว่าตัดปัญหาให้ตนไม่น้อยเหมือนกัน
“เช่นนั้นก็ทดสอบฝีมือของเจ้าก่อน!”
เหลี่ยงเฟินกล่าว
เดิมเขาแค่วางแผนไว้ว่าจะอัดจิ่วซานปั้นให้ร่วงกับพื้น จากนั้นค่อยโยนลงกลางแม่น้ำไหลสี่ฤดู
พอเป็นเช่นนี้ ฝีมือเขาด้อยกว่า ก็ไม่อาจกล่าวว่าเป็นความผิดของตนได้
อีกอย่างเขาอยากล้างเท้าในแม่น้ำนี้ไม่ใช่หรือ ตนให้เขาอาบแล้วก็ล้างไปด้วยเลย แต่แลกด้วยการทำให้เขาลงจากเตียงมาเดินไม่ได้หลายวัน
อย่างไรเขาก็เป็นแขกที่ประมุขหอเคยต้อนรับ ตนไม่กล้าทำเกินขอบเขต…แต่ยังต้องสั่งสอนเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นพวกผู้ฝึกยุทธ์ต้องนึกเอาจริงว่าหอทรงปัญญารังแกได้ง่ายเป็นแน่!
สิ่งที่เหลี่ยงเฟินฝึกฝนก็คือวิถีรวมเป็นหนึ่งเหมือนกัน
แม้วิถีรวมเป็นหนึ่งไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ แต่หากพูดถึงการเจออุบายแก้อุบาย ยืนอยู่ในตำแหน่งมีชัยแล้วละก็ บัดนี้ยังไม่มีสิ่งใดเหนือกว่า
“เชิญ!”
แม้เหลี่ยงเฟินตั้งใจจะจัดการจิ่วซานปั้นสักหน แต่ยังคงปฏิบัติตามธรรมเนียมการลับฝีมือ สองมือประสานกำปั้นกล่าว
จิ่วซานปั้นกำลังจะลงมือ กลับต้องหยุดกึกอีกครั้ง
“เชิญ!”
จนปัญญา กล่าวพลางประสานมือคำนับเลียนแบบ
เพียงเห็นร่างเหลี่ยงเฟินหยัดตรงอยู่ที่เดิมเหมือนสนแผงมรกต
ศีรษะก้มลงเล็กน้อย
เสื้อผ้าค่อยๆ ปลิวไหวตามแรงลม
จากนั้น สองแขนเขายกขึ้นอย่างช้าๆ
หนึ่งตรงหนึ่งงอ
หนึ่งหน้าหนึ่งหลัง
สลับกันวาดวงกลม
ในความเข้ากันได้สัดส่วนยังให้ความรู้สึกเป็นจังหวะอย่างยิ่ง เป็นหนึ่งเดียวกับแม่น้ำด้านข้างสายนี้ สะพานหินเหนือแม่น้ำ พงหญ้าข้างสะพาน ดอกไม้ป่ากลางพงหญ้า น้ำค้างแข็งในเกสรดอกไม้ป่า ผสานกับลมในอากาศ ต้นไม้ในสายลม กิ่งแห้งบนต้นไม้ที่ทำท่าจะร่วง เปลือกไม้เล็กแผ่นหนึ่งบนกิ่งไม้
สองวงกลมนี้ นุ่มนวลแน่นหนา
คล้ายรวมสรรพสิ่งเอาไว้
ทั้งคล้ายทำให้สรรพสิ่งว่างเปล่า
ฉับพลันนั้น จิ่วซานปั้นโจมตีก่อน
วงหนึ่งคล้อยลงเล็กน้อย
ดูเหมือนเรียบลง ที่จริงเล็งส่วนท้องไว้
หมัดนี้เหมือนกับวิชากระบี่ของเขา ไม่มีลำดับขั้นใดเชื่อถือได้
เพียงแต่พลังหมัดรุนแรง หมัดคมแข็งแกร่ง
แต่ถ้ามองให้ละเอียดขึ้นอีกหน่อย ก็จะเห็นได้ว่าหมัดของเขากำลังเคลื่อนไหวไม่หยุด เพราะเขาเปลี่ยนทิศทางอย่างต่อเนื่อง
สองวงกลมในมือเหลี่ยงเฟินยังคงวาดอย่างไม่เร่งร้อน
ไม่ว่าทิศทางของจิ่วซานปั้นเปลี่ยนไปตรงไหน กลับถูกสองวงกลมนี้ปิดตายไว้ทั้งหมด
หน้าอก ส่วนท้อง คอหอย
จิ่วซานปั้นเลือกสามจุดนี้กลับไปกลับมา รอให้การป้องกันของเหลี่ยงเฟินปรากฏช่องโหว่สักเล็กน้อย
แต่เขากลับผิดหวัง…
อย่างน้อยในสายตาของจิ่วซานปั้นก็มองว่ารอบกายเหลี่ยงเฟินในตอนนี้ไร้จุดบกพร่อง ไร้ช่องโหว่ให้โจมตีโดยแท้!
จนปัญญา จิ่วซานปั้นได้แต่ถอนกำลังบนหมัดคืนมาทั้งหมด และอัดลงสู่พื้นดิน
แม้ทำเช่นนี้ แต่กลับจงใจเผยจุดอ่อนให้เหลี่ยงเฟิน
ขอแค่เขากล้าโจมตีก็ตกหลุมพรางของจิ่วซานปั้นแล้ว
มือซ้ายจิ่วซานปั้นผายฝ่ามือ ตั้งท่ารอโจมตี
แต่เหลี่ยงเฟินยังคงวาดวงกลมของตัวเองเช่นเดิม ไม่มีทีท่าโจมตีกลับแม้แต่น้อย
จิ่วซานปั้นประหลาดใจยิ่ง
เขาไม่เคยเห็นวิทยายุทธ์ที่เน้นตั้งรับแต่ไม่โจมตีเช่นนี้มาก่อน ไม่นึกว่าวิถีรวมเป็นหนึ่งจะมหัศจรรย์เพียงนี้
มองแวบแรกเขาคิดว่าเหลี่ยงเฟินใช้แค่ฝ่ามือว่างเปล่า ต่อมาคิดว่าเป็นหมัดสองลักษณ์ จากนั้นคิดว่าเหมือนวิชาอินหยางหมุนวน แต่มองอย่างละเอียดแล้วกลับไม่ใช่ทั้งหมด
ระหว่างที่เหลี่ยงเฟินตั้งรับไม่โจมตี กลับแฝงไว้ด้วยแก่นแท้ของวิทยายุทธ์เลิศล้ำทั้งสามประการ เก่งกาจอย่างยิ่งโดยแท้!
แม้ยามนี้เป็นท่าป้องกัน แต่กลับซ่อนกลยุทธ์ไว้ในนั้นไม่ขาด
ถึงจิ่วซานปั้นจะดูไม่ออก แต่เขารู้สึกถึงมันได้
จิ่วซานปั้นกระโดดพุ่งตัวไปด้านหลังเหลี่ยงเฟิน
แม้การลอบโจมตีด้านหลังมักถูกคนเหยียดหยัน
แต่จิ่วซานปั้นพุ่งจากหน้าไปหลังอย่างเปิดเผย
หากจะพูดก็ได้เพียงนับเป็นการแทรกตัว ไม่อาจบอกเป็นการลอบโจมตี
ร่างสองคนตัดกัน
จิ่วซานปั้นเอียงฝ่ามือหนึ่ง จู่โจมใต้รักแร้ของเหลี่ยงเฟิน
แต่เหลี่ยงเฟินลากวงกลมเดี่ยวมือขวาขึ้นสูงผ่านเหนือศีรษะ ป้องกันรอบกายตนไว้
มือซ้ายเปลี่ยนวงกลมเป็นสี่เหลี่ยม ปรากฏเหลี่ยมมุมชัดเจนทันใด
จิ่วซานปั้นเห็นช่องโหว่บนฝ่ามือนี้ผ่านไป โอกาสสำคัญหายหมดสิ้น…ยังคงเลือกถอนกำลังกลับมา
เห็นได้ว่าเหลี่ยงเฟินครองโอกาสชนะไว้หมดแล้ว
สองกระบวนท่าของจิ่วซานปั้นไร้ผล เขาร้อนใจอยู่บ้างเหมือนกัน
หนำซ้ำหมัดเท้านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดด้วย
แต่เพื่อความยุติธรรมก็ไม่สะดวกใจใช้กระบี่
………………
“ข้าก็มีอาวุธเหมือนกัน”
แม้เหลี่ยงเฟินเห็นจิ่วซานปั้นทำหน้าหงุดหงิดร้อนใจ แต่ท่าร่างและกระบวนท่ากลับมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ…
เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่รู้ต้องยืดเวลาอีกนานเท่าไร จึงกล่าวพลางชี้ตะกร้าหมากล้อมตรงเอว
จิ่วซานปั้นได้ยิน เอ่ยถามกลับ
“นี่เจ้าหมายถึงยอมให้ข้าใช้กระบี่?”
“ข้าก็ไม่เคยห้ามเจ้าใช้กระบี่อยู่แล้ว เจ้าโยนกระบี่ไว้ด้านข้างเอง”
เหลี่ยงเฟินกล่าว
ถึงเขาไม่รู้ว่าจิ่วซานปั้นอยู่ขอบเขตใดกันแน่ แต่ตัวเหลี่ยงเฟินฝึกตนถึงขั้นที่สองของวิถีรวมเป็นหนึ่งแล้ว นั่นคือธรรมชาติรวมเป็นหนึ่งกับความเป็นมนุษย์
ต่อให้เพลงกระบี่จิ่วซานปั้นแข็งแกร่งเพียงใด วิชาขว้างหมากของตนอาจจะเหนือกว่าก็ได้
หนำซ้ำเทียบกับการขว้างหมาก ระยะการโจมตีของกระบี่ก็เสียเปรียบ
จิ่วซานปั้นเก็บกระบี่ยาวสีฟ้าเล่มนั้นของตนขึ้นมา ดึงออกจากฝักแล้วมองอย่างละเอียด
“กระบี่ข้าเคยอาบเลือดมาแล้ว!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
เดิมเป็นแค่คำพูดโอ้อวดธรรมดา
แต่ในหูเหลี่ยงเฟินกลับได้ยินเป็นอีกความหมายหนึ่ง…
เขานึกว่าจิ่วซานปั้นอยากสู้กับตนจนนองเลือด ถึงตายจึงหยุด
เพียงแต่ทั้งสองต่างไม่ได้สังเกตว่าในป่าบริเวณใกล้เคียงมีเงาร่างสายหนึ่งแวบผ่านไปอย่างรีบร้อน…
จิ่วซานปั้นถือกระบี่ยาวในมือ มั่นใจยิ่งฉับพลัน
พอกระบี่ออกดูเหมือนเปิดกว้างฉับไว ที่จริงหนักแน่นรุนแรงมีเล่ห์กล
และกระบี่นี้ก็ไม่ได้มุ่งเน้นจู่โจมจุดอ่อนของเหลี่ยงเฟินอีกแล้ว
แทงออกมาตามใจอยากเช่นนี้ ทว่าผันแปรยากคาดเดากว่าเดิม
เหลี่ยงเฟินไม่ได้สนใจตัวกระบี่หรือคมกระบี่นี้
แต่จดจ่อมือที่จับกระบี่ของจิ่วซานปั้น
ไม่ว่าเปลี่ยนกระบวนท่าแบบใด มือล้วนเคลื่อนก่อน กระบี่เคลื่อนตามหลัง
ขอแค่จับจ้องมือของเขาไว้ได้ ก็จะได้โอกาสมาครึ่งก้าว
แม้มีเพียงครึ่งก้าว แต่ยอดฝีมือปะทะเคล็ดกระบี่ พลาดนิดเดียวอาจนำไปสู่พันลี้
ขาดเพียงครึ่งก้าวก็อาจเลือดกระเซ็นทั่วทิศ ตายคาสนาม…
แต่จวบจนปลายกระบี่ของจิ่วซานปั้นประชิดเข้ามา เหลี่ยงเฟินยังไม่เห็นเขามีทีท่าจะเปลี่ยนกระบวนท่าแต่อย่างใด
ฉวยจังหวะตัดสินใจ กลับไม่กล้าเดิมพันสุดกำลัง…
ปลายเท้าเหยียบเบา ถอยหลังต่อเนื่อง รักษาระยะกับจิ่วซานปั้น
เพิ่งได้ช่องว่างกั้นไว้ก็เบี่ยงกายไปด้านข้าง
ขณะเดียวกันนิ้วกลางกับนิ้วชี้มือขวาคีบหมากดำเม็ดหนึ่งจากในตะกร้าหมากอย่างรวดเร็ว โจมตีไปยังข้างตัวกระบี่ของจิ่วซานปั้นราวฟ้าแลบ
กำลังของจิ่วซานปั้นไม่ลดลง แค่เอียงกระบี่ในมือเล็กน้อยก็หลบหมากดำตัวนี้ได้แล้ว
“อยากให้ข้ารับไว้อีกหรือไม่”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
“อยากรับก็รับ! แต่คงไม่ได้รับง่ายเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว!”
เหลี่ยงเฟินกล่าว
จากนั้น สองมือเหลี่ยงเฟินเคลื่อนไหวต่อเนื่อง
ชั่วพริบตา หมากดำทั่วฟ้าตกลงมาดุจเม็ดฝน
……………………………………………