ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 97 เต้าหู้แช่รังนก เป็นคนต้องถนอมความสุข-3
บทที่ 97 เต้าหู้แช่รังนก เป็นคนต้องถนอมความสุข-3
แม้บอกขอแค่หาตัวจิ่วซานปั้นเจอทั้งหมดนี้ก็จะแก้ไขได้
แต่จิ่วซานปั้นอยู่ไหน จะไปหาที่ใด เหตุใดเขาถึงไม่อยู่
ถึงขั้นว่า…
เขาตายแล้วใช่หรือไม่
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้
ความเข้าใจที่เขามีต่อจิ่วซานปั้นหยุดอยู่แค่ ‘จิ่ว’ กับ ‘ซานปั้น’ สามคำนี้
จิ่ว เป็นเพราะเขารักการดื่มสุราดุจชีวิต
ซานปั้น ก็เพราะเขา ‘ครึ่งเค่อไม่ห่างสุรา’
แต่หลิวรุ่ยอิ่งยังลืมไปคำหนึ่ง กระบี่!
กระบี่ของจิ่วซานปั้น ล้ำค่ากว่าสุราของจิ่วซานปั้นเสียอีก
จิ่วซานปั้นยอมขายม้าดีกับเสื้อหนังพันชั่ง ดีกว่ายอมเอากระบี่ที่ตนตีเองกับมือมาจำนำแลกเหล้า
เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้อพิจารณาเรื่องรักสุราเท่าชีวิตของเขาก็หมดความเหมาะสม
รักสุราเท่าชีวิตแล้ว เช่นนั้นรักกระบี่จะเป็นอย่างไร
หลิวรุ่ยอิ่งคิดไม่ออกว่ามีอะไรล้ำค่ากว่าชีวิตอีก
คนอื่นมักพูดว่าเขายินดีแลกโน่นแลกนี่ด้วยชีวิต ต่างเป็นเพราะเขารู้ดีว่าแลกมาไม่ได้และไม่มีทางแลกได้โดยสิ้นเชิง
หากให้โอกาสเขาเอาชีวิตไปแลกอะไรอย่างภรรยาสวยอนุงาม ทองคำหมื่นตำลึง เขาก็จะเริ่มสองจิตสองใจพูดอ้ำๆ อึ้งๆ
คำกล่าวว่าไว้ดี ‘ไม่มีเงินให้ นอกจากชีวิต’
เพราะชีวิตล้ำค่าเกินไป ไม่มีใครเอาไปได้ ในใต้หล้าก็ไม่มีสิ่งของที่เอามาแลกในมูลค่าทัดเทียมกันได้ ดังนั้นผู้คนจึงมักอวดโอ้อยู่ในปาก
เหมือนที่ทุกคนล้วนคิดว่าเงินสำคัญ มีเงินย่อมสามารถเพลิดเพลินไปกับชีวิตหรูหราที่หากไม่มีเงินไม่อาจทำได้
แต่ทุกคนต่างเรียกวิธีการหาเงินว่าขายชีวิต เงินที่หามาล้วนเรียกว่าเงินหยาดเหงื่อแรงงาน
สิ่งที่เรียกว่าความหลงใหลมากมายล้วนบอกว่ามองอีกฝ่ายเป็นดั่งชีวิตได้ พอเกิดเรื่องขึ้นแล้วมีสักกี่คนอยู่ช่วยเหลือกัน
ร่วมสุขได้แต่ไม่อาจร่วมทุกข์ ในใต้หล้ามีถมเถ
ร่วมทุกข์ได้แต่ไม่อาจร่วมสุข ในใต้หล้าก็มีถ้วนทั่ว
ส่วนจิ่วซานปั้นเป็นแบบไหนในคนสองประเภท หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่แน่ใจ
ในโรงเตี๊ยมพูนโชคเมืองติ้งซีอ๋อง เขายืดอกปักหลักต่อสู้กับคนที่ลอบสังหารโอวเสี่ยวเอ๋อ แม้มีความอวดโอ้ด้านวีรบุรุษช่วยหญิงงามหลายส่วน แต่ในใจก็ไม่ขาดความแน่วแน่ในการผดุงความยุติธรรม
จากนั้น ในเมืองจิ่งผิงเขาก็ยืดอกชักกระบี่สังหารยอดนักธนูคนนั้นอีกครั้ง หลิวรุ่ยอิ่งยังจำหัวคนที่จิ่วซานปั้นโยนลงมากลิ้งอยู่บนพื้นได้จนถึงวันนี้
กระบี่กับสุรา
คำว่ากระบี่ต้องวางไว้หน้า
ตอนนี้กระบี่ไม่อยู่แล้ว กลายเป็นเศษชิ้นส่วนกระจัดกระจาย
แต่สุรากลับมีทุกที่
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าลิ้นกับปากของจิ่วซานปั้นเฉียบแหลมยิ่ง
แต่ความเฉียบแหลมนี้ใช้กับสุราเท่านั้น
ไม่ใช่สุราดีเขาไม่ดื่ม ไม่ใช่สุราดีก็ไม่อาจกำจัดหนอนสุราที่ก่อกวนในท้องในสมองนั่นได้
แต่ตอนหลิวรุ่ยอิ่งเจอเขาครั้งแรก เหล้าขาวชาวนาคุณภาพต่ำเช่นนั้นยังดื่มได้เหมือนยอดสุรา
เมื่อคิดเช่นนี้ แผนที่หลิวรุ่ยอิ่งหมายใช้สุราดีดึงดูดจิ่วซานปั้นในตอนแรกจึงล้มเหลว…
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะเบาๆ ฉากนี้ปรากฏอยู่ในตาสี่พี่น้องที่เหลือของเหลี่ยงเฟิน
“นายกองหลิวหัวเราะทำไม เพราะมือสังหารหายไปไม่เหลือร่องรอยเลยยินดีกับเขางั้นหรือ!”
วันซานกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าตอนนี้พวกนั้นไม่ชอบใจตนตั้งแต่เส้นผมจรดส้นเท้า
แต่อย่างไรจิ่วซานปั้นก็เป็นคนฝั่งตน สภาพการณ์เช่นตอนนี้เขาจะไม่เกี่ยวข้องก็ยาก
แม้กฎหมายในปัจจุบันยกเลิกระบบหางเลขนานแล้ว เป็นความผิดของใครก็ต้องลงโทษคนนั้น จะไม่มีการทำให้ปลาในบ่อซวยไปด้วย
แต่กฎก็คือกฎ เจ้าอาจตั้งกฎฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิตได้ แต่ไม่อาจตั้งกฎห้ามคนอื่นจดจำลูกหลานของคนที่เคียดแค้นได้
ตอนนี้ในสายตาพวกเขาหลิวรุ่ยอิ่งกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของจิ่วซานปั้นแล้ว
หากไม่ใช่เพราะเขามีหลักฐานชัดเจนว่าไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ ต่อให้แบกชื่อของกรมสอบสวนหรือมีปากเพิ่มอีกสามปากก็ไร้ประโยชน์
“ข้าน้อยไม่มีเจตนาดูหมิ่นแต่อย่างใด และไม่ได้รู้สึกโชคดีที่ผู้ต้องสงสัยหายตัว ข้าแค่หัวเราะที่ตัวเองโง่เขลาเกินไป”
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้ากล่าว
“นายกองหลิวอายุน้อยมากความสามารถ จะโง่ได้อย่างไร”
วันซานกล่าวแดกดันอย่างเย็นชา
“ผู้มีปัญญาใคร่ครวญพันครั้งย่อมมีพลาดสักครั้ง ความผิดพลาดนี้ไม่ควรค่าให้หัวเราะหรอกหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
นี่คงเป็นประโยคอวดโอ้หน้าไม่อายที่สุดที่เขาเคยได้รับ
ผู้มีปัญญาจะเป็นได้สักกี่คน
หากพูดถึงการวางแผนเผด็จศึกต่อให้เป็นเด็กน้อยสามขวบก็ทำได้ ชอบของเล่นชิ้นหนึ่งในตลาดแต่กระเป๋าว่างเปล่าก็ต้องใช้สมองขอเงินพ่อแม่ไม่ใช่เหรือ
ออดอ้อน กลิ้งกับพื้น ร้องไห้ขี้มูกโป่งล้วนเป็นความหลักแหลม
ขอแค่เป้าหมายสุดท้ายสำเร็จได้ เช่นนั้นการทุ่มเทเหล่านี้ก็คุ้มค่า
แต่ผู้มีปัญญาแตกต่าง ไม่เพียงต้องมีความหลักแหลมเล็กน้อยเช่นนี้เท่านั้น ยังต้องมีสติปัญญาสูงส่งทำให้คนเลื่อมใส!
ส่วนสติปัญญาสูงส่งนี้คืออะไร หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รู้เหมือนกัน…
เขาแค่ไม่ชอบท่าทางที่พี่น้องทั้งหลายนั่นทำกับตน ในเมื่อเจ้าพูดก่อนว่าข้าอายุน้อยมากความสามารถ เช่นนั้นก็ไม่อาจโทษข้าเหยียบจมูกขึ้นหน้า[1]เรียกตัวเองเป็นผู้มีปัญญาเสียเลย
ความจริงหลิวรุ่ยอิ่งก็กำลังหัวเราะที่ตัวเองโง่จริงๆ จุดนี้ไม่ได้โกหกใคร…
จิ่วซานปั้นไม่ใช่หนูและไม่ใช่แมลง…จะได้กลิ่นหอมสุราน้ำผึ้งแล้วปรากฏกายทันทีได้อย่างไร
นึกความคิดไร้ประโยชน์เช่นนี้ออกมาได้ ไม่ใช่โง่แล้วเป็นอะไร
การที่คนคิดหาวิธีก็เหมือนตะพาบออกไข่
ก่อนฟักไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีตะพาบออกมากี่ตัว ทั้งไม่รู้ว่าตะพาบตัวไหนเติบโตแข็งแรงที่สุด รสชาติน้ำแกงที่ตุ๋นจากตัวไหนสดอร่อยที่สุด
แต่ถ้าไม่ออกไข่สักฟอง คำพูดหลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรให้เอ่ยถึงแล้ว
ดังนั้นความโง่เป็นได้แค่ความคิดหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ตัวหลิวรุ่ยอิ่งคนนี้
อย่างน้อยในตอนนี้เขายังนับเป็นคนฉลาดได้
“นายกองหลิวมีวิธีตามหาจิ่วซานปั้นหรือไม่”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ยปากในที่สุด
ไม่ต้องให้เขาบอกทุกคนก็รู้ว่านี่เป็นจุดสำคัญของปัญหา
แต่เหมือนการเล่นกลสามเซียนกลับถ้ำ[2]ข้างถนนเช่นนั้น มองแวบแรกมหัศจรรย์อย่างยิ่งโดยแท้จริง ลูกหนังกับถ้วยใบเล็กคว่ำหงายไปมาทำให้คนเดาจริงเท็จไม่ถูก
แต่ถ้ามองจากด้านหลังนักมายากล ลูกหนังนั่นก็กำอยู่ในฝ่ามือไม่ใช่หรือ
จะฉีกออกหรือบี้ละเอียดล้วนง่ายดาย ตอนนี้จิ่วซานปั้นก็เป็นนักมายากลคนหนึ่ง หากเขาไม่เป็นฝ่ายบอกว่าตัวเองอยู่ไหน ใครจะหาเขาพบได้ง่ายๆ
นอกจากวิชาตามหาคนของฐานเมฆาทะเลบูรพา หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยได้ยินว่ามีอะไรใช้ตามหาคนได้อีก
ก็มีแค่สองพลัง พลังคนกับพลังจิต
หอทรงปัญญากว้างขวางเช่นนี้ หลายฝั่งหลายมุมแม้แต่ลู่หมิงหมิงก็อาจไม่เคยไปเลยด้วยซ้ำ หากไม่มีกำลังคนปฏิบัติการมากพอจะหาหมดได้อย่างไร
ต่อให้หาหมดหอทรงปัญญาแล้ว ก็เป็นไปได้มากที่จะเป็นตะกร้าไผ่ตักน้ำ เพราะไม่มีใครกล้ารับรองว่าจิ่วซานปั้นยังอยู่ที่นี่หรือไม่ ดังนั้นหากไม่มีพลังจิตกับความอดทนมากพอก็ไม่ได้การ
“แน่ใจว่าวิชากระบี่ฆ่าตาย?”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
แม้นางไม่ชอบท่าทางเอ้อระเหยลอยชายและกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งของจิ่วซานปั้น แต่ถึงอย่างไรนางก็ไม่เชื่อว่าจิ่วซานปั้นจะสังหารคนบริสุทธิ์โดยไม่มีสาเหตุ
แต่นางก็ไม่มีหลักฐาน หากต้องพูดก็ได้แต่บอกว่าเป็นลางสังหรณ์ของผู้หญิง…
ถึงอย่างนั้นแต่ไรมาลางสังหรณ์ของผู้หญิงล้วนแม่นมาก แม่นกว่าผู้ชายเยอะ
แต่ส่วนใหญ่ลางสังหรณ์ของผู้หญิงก็ใช้กับตัวผู้ชายทั้งสิ้น ต่างฝ่ายทัดเทียมกัน
“ตรงบาดแผลมีร่องรอยกระบี่ยาวของจิ่วซานปั้นจริง ข้าตรวจดูแล้ว”
แม้ในใจหลิวรุ่ยอิ่งก็อยากแก้ต่างให้จิ่วซานปั้น แต่ความจริงวางอยู่ตรงหน้า ไม่อาจหันหลังเบือนหน้าไม่ยอมรับ
“ที่เจ้าบอกคือบาดแผล ข้าหมายถึงวิชากระบี่”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าวเน้น
“ตรงบาดแผลมีร่องรอยกระบี่ของจิ่วซานปั้น ได้เพียงยืนยันว่าเหลี่ยงเฟินตายด้วยกระบี่เล่มนี้จริง แต่อาจจะไม่ใช่จิ่วซานปั้นที่เป็นคนสังหาร”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
คำเดียวทำคนตกใจตื่น
กระบี่กับคนเป็นคนละเรื่องกันอยู่แล้ว
กระบี่เป็นสิ่งไม่มีชีวิต
คนดีใช้กระบี่ คนดีกระบี่ย่อมดี
คนเลวใช้กระบี่ คนเลวกระบี่ย่อมเลว
ตัวกระบี่ไม่มีอารมณ์ความคิดหรือความถูกผิดใด
หากไม่มีคนมาแกว่งไกว ก็จะวางไว้เงียบๆ อย่างนั้น เกรงว่าหมื่นปีก็ฆ่าคนไม่ตาย
นอกจากโชคร้ายสักหน่อย ไม่รู้เท้าลื่นล้มอย่างไรจนเอาจุดตายไปกระแทกกับคมกระบี่นั้น นี่คือโชคชะตา ไม่มีใครทำอะไรได้
โอวเสี่ยวเอ๋อมีฐานะ ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอว กระบี่ที่ผ่านมือมากมายนับไม่ถ้วน
หากเป็นกระบี่ที่ผ่านมือนางแล้วภายหลังถูกใช้ฆ่าคน ต่อให้นางมีหมื่นชีวิตก็ชดใช้ไม่พอ
“แม่นางโอวพูดถูก! กระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธร้ายจริง แต่คนใช้กระบี่อาจไม่ใช่เจ้าหนุ่มคนนั้น”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินแล้วแอบกล่าวในใจ
‘ตี๋เหว่ยไท่สมกับเป็นประมุขหอ ตะวันแพรทองขั้นแปด!’
แม้น้ำถ้วยนี้ไม่อาจถือให้ตรงโดยสิ้นเชิง ข้อศอกของทุกคนล้วนเอียงเข้าด้านใน แต่การกล่าวคำพูดเป็นธรรมออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้กลับไม่ง่าย
ความสัมพันธ์ของเขากับ ‘เบญจลักขี’ ไม่ธรรมดา เขาเข้าใจดีว่าตอนนี้พูดออกไปต้องทำให้คนเจ็บปวดอย่างไม่อาจเลี่ยง แต่เขายังคงต้องพูด
เพราะถ้าไม่พูดก็ไม่สมกับฐานะของเขา ไม่อาจรักษาบารมีของเขาได้
ไม่อาจป้องกันตำแหน่งนี้ จึงต้องมีท่าทีเช่นนี้
ฮ่องเต้ในราชวงศ์สมัยก่อน แม้แต่ลูกชายแท้ๆ ของตัวเองยังฆ่าอย่างไม่ลังเล คมดาบเฉียบขาด เขาตี๋เหว่ยไท่โค่นล้มเก้าตระกูล ทำไมจะเทียบกับยุคก่อนไม่ได้
หากทำให้ใจสี่คนที่เหลือเกิดช่องว่างเพราะเหตุนี้ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีประโยชน์ให้ใช้อีกต่อไป
สำหรับตี๋เหว่ยไท่ แม้ห้าคนนี้หาไม่ง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรแทนที่ได้เลย
ชื่อ ‘เบญจลักขี’ จะไม่หายไป แต่คนสับเปลี่ยนได้เรื่อยๆ
ไม่ว่าใครก็เป็น ‘เบญจลักขี’ ได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นห้าพี่น้องนี้
หนำซ้ำตอนนี้พวกเขามีสี่คนแล้ว ตัดเศษทิ้งก็ไม่พอกับตัวเลขนั้น
“ขอถามท่านประมุขหอตี๋ การฝึกตนของเหลี่ยงเฟินเป็นอย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
คำพูดของโอวเสี่ยวเอ๋อชี้ทางสว่างให้ทุกคน
บอกว่าเป็นทางสว่าง ก็แค่มีความเป็นไปได้เพิ่มมาอย่างหนึ่งเท่านั้น…และยังทำให้เรื่องเปลี่ยนเป็นซับซ้อนกว่าเดิม
หากไม่ใช่จิ่วซานปั้น เช่นนั้นบทประพันธ์ข้างในอาจยืดยาวขึ้นเรื่อยๆ…
“เหลี่ยงเฟิน ขั้นฝึกตนสายบุ๋นอุษาต่วนม่วงขั้นห้า ขั้นฝึกตนสายบู๊ขอบเขตบรมภูมิกลางค่อนสูง อาวุธคือกระดานหมากขาวดำ หมากล้อมขาวดำ ผู้ใช้หมากล้อมบรมภูมิ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
น้ำเสียงทุ้มต่ำ
ชัดว่าการตายกะทันหันของเหลี่ยงเฟินส่งผลกระทบต่อผู้เฒ่าคนนี้ไม่น้อย
คนไม่ใช่ต้นไม้ต้นหญ้า ทั้งยังอยู่ด้วยกันตลอด?
“ข้าไม่รู้ขั้นฝึกตนของจิ่วซานปั้น…”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
หากทั้งสองขั้นฝึกตนต่างกันเกินไป เช่นนั้นมือสังหารก็ไม่มีทางเป็นจิ่วซานปั้นแน่นอน
นิทานเรื่องยุงพิชิตสิงโตเป็นแค่เรื่องสวยงามในใจผู้คนที่มีต่อคนอ่อนแอ ความจริงไม่มีทางเกิดขึ้นได้โดยสิ้นเชิง
แม้หลิวรุ่ยอิ่งปากบอกเขาไม่รู้ แต่ในใจเขากลับแน่ใจ
ขั้นฝึกตนของจิ่วซานปั้นต้องไม่ต่ำกว่าเหลี่ยงเฟินแน่!
ท่าร่างคล่องแคล่วดุจห่านตื่นในโรงเตี๊ยมพูนโชคเมืองติ้งซีอ๋อง รวมถึงวิชากระบี่ว่องไวตอนสังหารยอดนักธนู
ขั้นฝึกตนของหลิวรุ่ยอิ่งคือบรมภูมิเทียมที่ทะลวงยี่สิบห้าจุดลมปราณและหนึ่งจุดในระบบ
แต่เขาไม่อาจมองชัดได้ทั้งหมดว่าจิ่วซานปั้นออกกระบี่อย่างไร
“ท่านประมุขหอ รีบฝังพี่รองให้เร็วที่สุดดีกว่า…”
วันซานกล่าว
ผู้ตายสำคัญ เขาพวกทนมองพี่รองของตนนอนอยู่ใต้แสงอาทิตย์เช่นนี้ต่อไปไม่ไหวจริงๆ
มองอีกครั้ง ล้วนรู้สึกในใจเจ็บปวดยากทานทน
เรื่องต่างๆ ในอดีตปรากฏชัดแก่ใจ หนึ่งคืนผ่านไปกลับลาจากโลกนี้แล้ว…
“ไม่ได้…รบกวนท่านประมุขหอตี๋ส่งผู้ชันสูตรมาตรวจศพให้ละเอียดด้วย พวกเราทำเช่นนี้หยาบเกินไป ยากหลีกเลี่ยงพลาดจุดสำคัญ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
พอวันซานได้ยินว่ายังต้องลงมือกับร่างพี่รองของตนอีก ฉับพลันเดือดเป็นฟืนไฟ
ขนาดนักโทษประหารยังอยากเหลือศพในสภาพสมบูรณ์ พี่รองของตนไม่เหลือแม้แต่หน้าตาครบส่วน ยังจะให้คนนอกมาพลิกตรวจดูได้อย่างไร
แม้ผู้ฝึกยุทธ์สง่าผ่าเผยเสมอมา เฉยชากับเรื่องความเป็นความตายกว่าคนอื่นมาก แต่รักมากเจ็บปวดมาก สายใยระหว่างห้าพี่น้องลึกซึ้งเกินไป ถึงขั้นมองการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของคนอื่นเป็นการดูหมิ่นทั้งหมด
“พวกเจ้าสี่คนกลับไปก่อน เรื่องที่นี่ข้าจะจัดการเอง!”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
ใจเขารู้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งพูดถูก ขั้นตอนของเรื่องราวก็ควรทำเช่นนี้
ตอนนี้ก็ไม่มีเวลาไปปลอบใจสี่คนที่เหลือ ได้แต่ให้พวกเขาหลบไปก่อนค่อยจัดการ
จากนั้นตี๋เหว่ยไท่ทำตามอย่างที่หลิวรุ่ยอิ่งว่า เก็บร่างของเหลี่ยงเฟินส่งไปให้ผู้ชันสูตรตรวจสอบโดยละเอียด
คราวนี้ ความคิดของหลิวรุ่ยอิ่งแล่นขึ้นมาแล้ว
อย่างไรคดีนี้ก็ไม่ใช่เฉพาะทางของกรมสอบสวน เมื่อครู่มีติดขัดไปบ้างก็ปกติ
เขาคิดว่าแม้กะโหลกทั้งอันถูกฟันออกเป็นรอยแผลชัดเจนที่สุดจริง แต่บนตัวก็ไม่มีตรงไหนได้รับบาดเจ็บ ต้องทราบว่านอกจากศีรษะ กระดูกต้นคอ กระดูกส่วนเอวล้วนเป็นจุดทำให้คนตายคาที่ได้ทั้งนั้น
หากถูกอาวุธลับยอดเยี่ยมโจมตี เช่นนั้นบาดแผลก็หายาก
เหลี่ยงเฟินอาจถูกคนใช้วิธีอื่นฆ่าตายก่อน จากนั้นค่อยใช้กระบี่ของจิ่วซานปั้นฟันศีรษะ สร้างฉากสถานที่เกิดเหตุด้วยการยัดของเข้าไปก็เป็นได้…
…………………………………
[1] เหยียบจมูกขึ้นหน้า หมายถึงการทำกิริยาด้านลบหนักยิ่งกว่าเดิม
[2] สามเซียนกลับถ้ำ หมายถึงมายากลชนิดหนึ่ง อุปกรณ์คือตะเกียบหนึ่งอัน ถ้วยสองใบ ลูกบอลสามลูก ใช้ตะเกียบลากบอลสามลูกอยู่ในถ้วยสลับไปมา