เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 10 ท้าประลอง
ตอนที่ 10 ท้าประลอง
ถึงอย่างไรตอนนี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว มาเคาะประตูในเวลานี้ อีกทั้งเสียงเคาะยังหนักและรุนแรง ทำเอาซ่งจื่อเซวียนและหยางเสวี่ยสะดุ้งตัวโยน
“จื่อเซวียน…”
หยางเสวี่ยหลบหลังซ่งจื่อเซวียนทันที มือหยกเกาะที่ไหล่ของเขา แสดงท่าทางสาวน้อยต้องการการปกป้องออกมาอย่างชัดเจน
ซ่งจื่อเซวียนทำใจให้สงบ พูดว่า “ฉันไปดูก่อนนะ”
“ฮะ จื่อเซวียน ไม่อย่างนั้นโทรหาพ่อฉันก่อนสิ!” อย่างไรหยางเสวี่ยยังเป็นนักเรียนคนหนึ่ง เจอเรื่องแบบนี้เข้าก็ต้องนึกถึงพ่อเป็นคนแรก
“ไม่ทันหรอก เถ้าแก่เดินไปนานแล้ว ตอนนี้พวกเราจะไม่เปิดประตูไม่ได้”
พูดพลาง เขาก็เดินไปที่ประตู แม้หยางเสวี่ยจะหวาดกลัวเล็กน้อย ก็ยังเกาะอยู่ด้านหลังเดินไปพร้อมกับซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนเพิ่งจะบิดเปิดประตู ประตูก็ถูกผลักเปิด เป็นวัยรุ่นเดินเข้ามาสามคน ดูแล้วล้วนเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบสามคน ดูจากการแต่งตัวก็รู้ว่าเป็นนักเลงน้อย
ชายหนุ่มคนแรกสวมชุดยีนส์สีซีด เสื้อยืดด้านในนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าเสียเงินไปเท่าไร โครงหน้าตาดุคิ้วกระบี่ นับว่าเป็นหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่ง แต่กลับคาบบุหรี่ไว้ในปาก ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูไม่ดีทันที เมื่อเข้ามาก็มองซ้ายมองขวาไปรอบๆ
“ร้านอาหารชุนเซียง ที่นี่ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูด
“ใช่ครับ พี่ซั่ว ที่นี่แหละ” คนข้างหลังอีกคนหนึ่งพยักหน้า มองไปที่ซ่งจื่อเซวียนทันที “พี่ซั่ว เป็นเขานั่นแหละ วันนั้นผมเห็นว่ามีคนจะให้เงินเดือนเขาแปดหมื่น”
เห็นปลายนิ้วชี้มาทางซ่งจื่อเซวียน หยางเสวี่ยมีความกล้าเดินออกมาด้านหน้า พูดว่า “เฮ้ย พวกนายนี่มันยังไงกัน พวกเราปิดร้านแล้วนะ”
เห็นภาพนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกอบอุ่นหัวใจ และนี่ยังเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ซ่งจื่อเซวียนถูกผู้หญิงปกป้อง…
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าพี่ซั่วยกไหล่กลั้วหัวเราะ “ปิดร้าน? เกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ ข้าไม่ได้มากินข้าวเสียหน่อย”
“ไม่ได้มากินข้าว? งั้นพวกนายมาทำไม” ซ่งจื่อเซวียนพูด ขณะพูดก็เดินมาด้านหน้าหยางเสวี่ย เขาเองก็ไม่ได้มีพละกำลังอะไร แต่ตอนนี้จะให้เด็กสาวมาปกป้องตนเองไม่ได้จริงๆ
ได้ยินแบบนี้พี่ซั่วก็หัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ เป็นเขาเหรอ ดูแล้วก็ไม่ได้แก่กว่าฉันนี่ ดีๆๆ วันนี้ขอฉันรังแกเด็กสักครั้งเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็สับสน ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าหมอนี่จะทำอะไรกันแน่…
“พวกนายคิดจะทำอะไรเนี่ย!” หยางเสวี่ยร้องตะโกน
“ทำอะไรน่ะเหรอ หึ” พี่ซั่วก้าวขึ้นมา ประสานหมัดทันที ท่าทางอย่างนักเลง “ข้าก็เป็นพ่อครัว ได้ยินมาว่าที่นี่มีพ่อครัวเงินเดือนแปดหมื่นคนหนึ่ง ข้าจึงตั้งใจมาท้าประลองสักครา!”
ได้ยินคำพูดกึ่งโบราณผสมปัจจุบันของพี่ซั่ว ซ่งจื่อเซวียนเกือบจะหัวเราะไม่ออก ผู้ชายคนนี้เป็นคนไร้การศึกษาที่หัวโบราณจริงๆ เลย
“ท้าประลอง? ประลองกับฉันเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถามอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ถูกต้อง ฉัน ซางเทียนซั่วอยากจะยืนอยู่ในวงการอาหารเมืองตู้เหมินอย่างมั่นคง ก็ต้องมีสนามสร้างชื่อ เหอะๆ เป็นหินปูทางให้ฉันไปสู่ความสำเร็จได้ ก็ถือเป็นเกียรติของนายแล้ว” ซางเทียนซั่วก้มหน้าน้อยๆ เก๊กพูดเสียงต่ำ โดยเฉพาะเสียงหัวเราะเย็นๆ นั่น เต็มไปด้วยพลัง และเสียงค่อนข้างทุ้มต่ำเล็กน้อย
ซ่งจื่อเซวียนกับหยางเสวี่ยมองตากันแวบหนึ่ง ท่าทางของทั้งคู่เหมือนกำลังพูดว่า นี่คนบ้าโผล่มาจากไหนเนี่ย มาท้าประลองฝีมือทำอาหารกันกลางดึก แถมยังพูดสนามสร้างชื่ออะไรนั่นอีก…
แต่ในใจหยางเสวี่ยกลับตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อครู่เธออยากหยั่งเชิงฝีมือการทำอาหารของซ่งจื่อเซวียนก็ไม่เป็นผล ตอนนี้มาได้จังหวะพอดี ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนถึงมาท้าประลองกันได้ บางทีอาจจะทำให้เขาแสดงฝีมือออกมาก็ได้…
ถ้าเป็นอย่างที่หยางต้าฉุยบอกว่าซ่งจื่อเซวียนสามารถทำข้าวผัดจักรพรรดิได้จริงๆ อย่างนั้นเขาก็จะเป็นผู้ชายในอุดมคติที่หนึ่งไม่มีสองของตน แต่ถ้าไม่ใช่…เธอก็จะไม่เสียเวลาไปกับไอ้ขยะนี่แน่นอน
“ขอโทษนะ ฉันไม่เข้าใจที่นายพูดน่ะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดพร้อมรอยยิ้มมารยาท
“ไม่เข้าใจ? ข้าอยากจะท้าประลองกับนายไง ถ้านายแพ้ ก็ป่าวประกาศกับทุกคนว่าฝีมือของฉันเหนือกว่านาย” ซางเทียนซั่วตวาด
“ขอโทษด้วย ฉันรับคำท้านายไม่ได้” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ฮ่าๆ นายไม่กล้าเหรอ”
“นายจะคิดอย่างนั้นก็ได้” ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ ก็หันหลังเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์ “เสี่ยวเสวี่ย พวกเราไปกันเถอะ”
ซางเทียนซั่วเห็นท่าทีของซ่งจื่อเซวียนก็เริ่มร้อนรน เดินเข้าไปใกล้แล้วพูดว่า “ไปแล้วเหรอ หึ วันนี้ถ้าไม่แข่งกับฉัน ไม่ว่าใครก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”
แน่นอนว่าหยางเสวี่ยก็ไม่อยากจะพลาดโอกาสนี้ไปเช่นกัน เธออยากชิมว่าข้าวผัดจักรพรรดิที่พ่อว่านั่นรสชาติเป็นอย่างไรกันแน่
เธอขยับเข้าไปใกล้ช้าๆ พูดเสียงเบาว่า “จื่อเซวียน ไม่อย่างนั้นนายก็แข่งกับเขาสักยกเถอะ ฉันว่าถ้าวันนี้ไม่ได้รู้ผล พวกเขาไม่มีทางหยุดระรานแน่ อีกอย่างพวกเขาก็ดูน่ากลัวขนาดนั้น…”
พูดพลาง หยางเสวี่ยก็แสร้งทำท่าหวาดกลัว อ่อนแอน่าสงสาร ท่าทางขอร้องอ้อนวอนเต็มที่
ซ่งจื่อเซวียนเงียบไปครู่หนึ่ง ซางเทียนซั่วรอไม่ไหวพูดว่า “ว่ายังไง ได้แข่งทำอาหารกับฉันสักครั้งอาจจะเป็นเกียรติของนายก็ได้ ถึงยังไงฉันก็เป็นแนวหน้าของวงการอาหารเมืองตู้เหมินในอนาคตอยู่แล้ว ฉันแนะนำว่านายควรเห็นคุณค่าโอกาสนี้นะ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนกลับยิ้มแย้ม “ไม่เอา!”
ความจริงซางเทียนซั่วมาผิดจังหวะไปจริงๆ ถ้าหากมาก่อนหน้านี้สักวัน บางทีซ่งจื่อเซวียนอาจจะแสดงฝีมือก็ได้ ไม่เพียงแต่ทำให้เขาเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจแล้ว แม้แต่หยางเสวี่ยก็ได้เปิดโลกทัศน์ด้วย
แต่ฟางจิ่งจือเพิ่งจะกำชับซ่งจื่อเซวียนมา วันนี้ เขาลงมือไม่ได้จริงๆ
“นาย…” ซางเทียนซั่วฉุนเฉียว ตวาดดังลั่น “ไม่ชอบดื่มสุราคารวะ ชอบสุราลงทัณฑ์[1] พวกเอ็ง จับตัวมันไว้ ฉันอยากจะรู้นักว่าเขาจะรับคำท้าหรือเปล่า!”
“ครับ!”
ลูกน้องสองคนของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ทันที จับตัวซ่งจื่อเซวียนเอาไว้ เนื่องจากซ่งจื่อเซวียนค่อนข้างผอม หลังจากถูกจับตัวไว้ก็ไม่มีทางขัดขืนได้
หยางเสวี่ยก็ตกใจ ที่จริงเธอหวังให้ซ่งจื่อเซวียนทำข้าวผัดจักรพรรดิสักจาน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะลงมือจริงๆ
ซางเทียนซั่วยิ้มเย็น “รับคำท้าไหม”
“ไม่!”
แม้ร่างกายซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่นิสัยกลับดื้อรั้นมาก ถึงจะถูกจับไว้ กลับกัดฟันปฏิเสธดังเดิม
“โห ฉันว่านายมันปากแข็ง!”
พูดพลาง ซางเทียนซั่วก็หยิบน้ำมันพริกบนโต๊ะมา พูดต่อว่า “เหอะๆ ไอ้หนู วันนี้ข้าจะสอนนายทำอาหารเสฉวน!”
เห็นน้ำมันพริกเข้ามาใกล้ปากตนเอง ซ่งจื่อเซวียนก็ออกแรงดิ้น แต่ด้วยเรี่ยวแรงเขาดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด
“จะไม่ยอมรับคำท้าจริงๆ เหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนกัดปากแน่น “ฉันไม่รับ!”
ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนพูด ซางเทียนซั่วก็ตักน้ำมันพริกช้อนหนึ่งยัดปากเขา รสชาติเผ็ดร้อนแรงกระตุ้นลิ้นในปาก ซ่งจื่อเซวียนจึงไอรุนแรงออกมาทันที
“ให้โอกาสนายอีกครั้ง!”
“ก็ไม่!”
หยางเสวี่ยกลัวแล้วจริงๆ “เฮ้ย ถ้าพวกนายยังก่อเรื่องอยู่อีกฉันจะแจ้งตำรวจแล้วนะ!”
“แจ้งตำรวจ? แจ้งอะไร ป้อนพริกให้กินผิดกฎหมายข้อไหน” ซางเทียนซั่วพูดพลางถอดรองเท้าของซ่งจื่อเซวียนออก มือหนึ่งจับขาซ่งจื่อเซวียนไว้ อีกมือก็จั๊กจี้ที่ฝ่าเท้า
“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ…” เสียงหัวเราะดังลั่นของซ่งจื่อเซวียนแทบจะดังออกมานอกร้าน
ต้องพูดเลยว่า แม้จั๊กจี้ฝ่าเท้าจะทำให้อีกฝ่ายหัวเราะออกมา แต่ก็นับว่าเป็นการทรมาน ความทรมานอย่างนี้เลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดเสียอีก
“เป็นยังไง จะรับไม่รับ!” ซางเทียนซั่วพูดอย่างดุดัน
“ฮ่าๆๆ…ไม่ ฉันบอกว่าไม่…ฮ่าๆๆๆ…” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะจนน้ำตาแทบไหล พูดในใจ ไอ้หนู สักวันฉันเอาคืนสิบเท่าแน่…
ซางเทียนซั่วโมโหแล้วจริงๆ จึงถอดรองเท้าถุงเท้าออกอีก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ของซ่งจื่อเซวียน กลับเป็นของเขาเอง
เขายื่นถุงเท้ามาใกล้ซ่งจื่อเซวียน ยิ้มเยาะพลางพูด “หึๆ จะรับหรือไม่รับ ฉันจะถามนายอีกครั้ง!”
“ก็ได้ ฉันรับคำท้า ฉันจะแข่งกับนายสักรอบ!”
ซ่งจื่อเซวียนโพล่งออกไปโดยไม่ต้องคิดเลย
เห็นถุงเท้าสีขาวคราบดำคู่นั้นของซางเทียนซั่ว ห่างเมตรกว่ายังได้กลิ่น บวกกับในปากยังไม่หายเผ็ด ถ้าโดนของเหม็นๆ อัดเข้ามาอีก แปรงฟันสักสิบรอบยังไม่แน่ใจเลยว่า…
ซางเทียนซั่วก็ชะงักค้างไป ทรมานไปตั้งขนาดนั้นเขาก็ไม่ยอมตอบรับ นี่…แป๊บเดียวก็ยอมแล้วเหรอ
หยางเสวี่ยรีบเข้าไปพยุงซ่งจื่อเซวียน “จื่อเซวียน นายไม่เป็นไรใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าพร้อมไอโขลกพลางสวมถุงเท้าและรองเท้า ในใจก็คิดว่าจะแข่งก็แข่งสักรอบ แต่จะแข่งด้วยข้าวผัดจักรพรรดิไม่ได้ ทำอาหารสักอย่างไล่พวกเขาไปได้ก็พอแล้ว
อย่างน้อยที่สุดซ่งจื่อเซวียนก็มั่นใจได้นิดหน่อย แม้พวกเขาเหมือนจะเป็นนักเลง แต่ก็คงไม่ได้เป็นอันธพาลจริงๆ อย่างแรกคือพวกเขายังเด็กมาก อย่างที่สองคือวิธีการของเขา…ถ้าเป็นอันธพาลจริงๆ เดาได้ว่าคงทุบตีเขาไปนานแล้ว
“ไอ้หนู แข่งอะไร”
“แข่งทำข้าวผัดกันเถอะ” จุดประสงค์ของซ่งจื่อเซวียนชัดเจนอย่างมาก อย่างแรกเขาต้องไล่ซางเทียนซั่วออกไป อย่างที่สองเขาต้องการหลอกหยางเสวี่ยชั่วคราว อย่างน้อยที่สุดก็ไม่รบเร้าให้เขาทำข้าวผัดจักรพรรดิอีก
เขาคิดว่าหลังจากที่ข้าวผัดได้แสดงคุณค่าที่แท้จริงออกมาแล้ว เขามีเวลาเหลือเฟือที่จะทำให้เสี่ยวเสวี่ยกิน แต่ฟางจิ่งจือพูดถูก ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา
“ข้าวผัด? นายเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า นายกำลังสบประมาทพ่อครัวอย่างข้างั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “อาหารที่ง่ายที่สุดถึงจะแฝงฝีมือการทำอาหารได้ลึกล้ำที่สุด ถ้าจะแข่งก็ต้องแข่งผัดข้าว ถ้าไม่แข่งงั้นก็ช่างแล้วกัน”
“หึ เห็นแก่นายที่จะทำให้ฉันได้สร้างชื่อจากสนามแข่ง อีกทั้งยังมีหน้ามีตาก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของวงการอาหารในเมืองตู้เหมิน ถึงจะแข่งผัดข้าวกับนายสักครั้งหรอกนะ”
พูดจบ ทั้งสองก็เดินเข้าครัวด้านหลังไป ร้านอาหารชุนเซียงมีสองเตา ทั้งสองจึงทำอาหารพร้อมกันได้พอดี
การทำข้าวผัดแน่นอนว่านับเป็นอาหารที่มีขั้นตอนง่ายที่สุด แต่ก็มีความแตกต่างกันที่ความมุ่งมั่นของพ่อครัว
ข้าวผัดของซ่งจื่อเซวียนเลือกใช้วัตถุดิบสามอย่างได้แก่ ต้นหอมสับ ข้าวสวยและไข่ไก่ ไม่มีอย่างอื่นอีก เพราะในสูตรอาหารราชวงศ์ชิงก็บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า ยิ่งอาหารง่ายเท่าไรวิธีการทำก็ยิ่งยากเท่านั้น พึ่งความหลากหลายของวัตถุดิบมาเสริมรสชาติเป็นวิธีที่โง่เง่าอย่างแน่นอน
และซางเทียนซั่วเป็นประเภทหลังอย่างชัดเจน เขาหยิบพริกหยวก แตงกวา ไส้กรอก แครอท กุ้งแช่เข็ง เนื้อวัวเจ็ดแปดอย่างออกมาจากกระเป๋าเป้ที่เอามาเอง บวกกับใช้ข้าวสวยและไข่ในร้านด้วย วัตถุดิบของข้าวผัดไข่จานนี้ละลานตาจริงๆ
เห็นซางเทียนซั่วจัดวัตถุดิบให้เรียบร้อยด้วยท่าทางเงอะงะเล็กน้อย ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าน่าขันอยู่บ้าง แต่ยังกลั้นไว้ได้ ถึงอย่างนั้นซางเทียนซั่วก็ยังสังเกตเห็น เขายกมีดทำครัวขึ้นแล้ววาดไปทางซ่งจื่อเซวียนสองครั้ง พูดว่า “ไอ้หนู ดูให้ดีเล่า”
สิ้นเสียง มีดในมือซางเทียนซั่วก็ไปอยู่บนเขียง เมื่อยกมีดอีกครั้งก็หั่นวัตถุดิบเป็นชิ้นเหมือนกับภาพลวงตา อีกทั้งระหว่างที่หั่นมีดก็ไม่ได้สัมผัสกับเขียงเลยสักครั้ง จังหวะกระบวนมีดทั้งหมดรวดเร็วและเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง
เห็นภาพนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็แน่นิ่งไป วิถีมีดนี้…ยอดเยี่ยมจริงๆ
เขากับหยางเสวี่ยเมื่อครู่ยังคิดว่าซางเทียนซั่วเป็นคนบ้าอยู่เลย แต่ตอนนี้เขารู้สึกนับถือคู่แข่งคนนี้ในทันใด
จู่ๆ เขาก็มีแรงกระตุ้น คิดจะเอาข้าวผัดจักรพรรดิมาวัดกับคนคนนี้จริงๆ สักครั้ง
……………………………………….
[1] ไม่ชอบดื่มสุราคารวะ ชอบสุราลงทัณฑ์ (敬酒不吃吃罚酒) เปรียบเปรยได้ว่าในเมื่อพูดด้วยดีๆ ไม่ยอมทำตาม ก็คงต้องใช้กำลังบังคับ