เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 11 เฮ้ พี่รอง!
ตอนที่ 11 เฮ้ พี่รอง!
ฟางจิ่งจือเคยพูดว่า พวกการแข่งขันสุดยอดพ่อครัวระดับท้องถิ่นและระดับประเทศหลังยุคสมัยใหม่ล้วนมีเบื้องลึกเบื้องหลัง มีการจัดอันดับก่อนการแข่งขันอยู่แล้ว ดังนั้นพ่อครัวจริงๆ จะดูหมิ่นการแข่งขันประเภทนี้
สำหรับพ่อครัวแล้ว การได้พบกับคู่แข่งที่พอจะทำให้ตนเองนับถือได้จริงๆ นั้นยาก หากพอจะศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กันและกันได้สักครั้ง ก็จะทำให้พ่อครัวทุกคนรู้สึกตื่นเต้นได้ แต่ตอนนี้ จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็มีความรู้สึกนี้ขึ้นมา
มีดทำครัวของซางเทียนซั่วไม่เหมือนกับมีดทำครัวทั่วไปเล็กน้อย ด้ามมีดเป็นเนื้อไม้สีน้ำตาลแดง ส่วนปลายสลักรูปหัวหมาป่าเอาไว้ ตาและฟันของหมาป่าเสมือนจริง แม้แต่ลายเส้นขนบนใบหน้ายังสลักมา ยังไม่พูดถึงตัวมีด แค่มองจากฝีมือช่างที่ตีออกมาก็ดูรู้ว่าราคาไม่น้อยเลยทีเดียว
ส่วนบนของตัวมีดเป็นสีดำทึบไม่มีสีอื่นปะปน คมมีดถูกขัดจนขึ้นเงาสีเงิน ระหว่างที่สะบัดมีดก็เกือบจะสะท้อนแสงแยงตา ขณะที่ซางเทียนซั่วหั่นผัก แสงสีขาวนั่นก็สว่างวาบพาดผ่านบนวัตถุดิบ
ต้องกล่าวเลยว่า พ่อครัวต้านทานเครื่องครัวคุณภาพสูงไม่ได้ ซ่งจื่อเซวียนก็เช่นเดียวกัน เห็นท่าทางช่ำชองตอนซางเทียนซั่วสะบัดมีดไม่มีท่าทางเงอะงะเช่นก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย ประกอบกับแสงประกายใบมีดที่ทำให้คนตื่นตาตื่นใจนั่น เลือดในกายเขาก็เดือดพล่านตาม และที่สำคัญที่สุดก็คือพลังที่เขียนบรรยายไว้ในสูตรอาหารนั้น…ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง!
แต่ภาพถัดมากลับทำให้ซ่งจื่อเซวียนชะงักไป เห็นเพียงซางเทียนซั่วหั่นวัตถุดิบเสร็จด้วยท่าทางหล่อเท่ ตั้งกระทะผัดน้ำมัน ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงไปในกระทะผัดจนไฟลุกขึ้นมา ที่สำคัญที่สุดก็คือใส่ข้าวสวยและไข่ไก่ดิบลงไปตามลำดับ
ซ่งจื่อเซวียนนิ่งไป ช่างมีความรู้น้อยเสียจริง บนโลกใบนี้ยังมีวิธีทำข้าวผัดแบบนี้ด้วยเหรอ ในขณะเดียวกันนั้น ความคิดที่อยากจะศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้สักครั้งก็มอดดับไปตามกัน
สำหรับส่วนผสมมากมายที่ใช้ในการทำอาหารนั้น แน่นอนว่าระยะเวลาในการทำขึ้นอยู่กับจุดเด่นเฉพาะตัวของส่วนผสมนั้นๆ ด้วย จึงไม่ควรจะใส่ลงไปในกระทะพร้อมกัน ไม่อย่างนั้นจะมีทั้งส่วนผสมที่เละไปและส่วนผสมที่ไหม้เกรียมไปแล้ว โดยเฉพาะการใช้ไฟแรงทำอาหาร ก็จะยิ่งเป็นเช่นนี้
เป็นไปอย่างที่คิด ไม่นานทางซางเทียนซั่วก็เริ่มส่งกลิ่นไหม้ออกมา ซ่งจื่อเซวียนลอบหัวเราะเบาๆ เริ่มควบคุมไฟเตา
ถึงอย่างไรก็ไม่มีสิ่งที่มากระตุ้นความคิดที่จะศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้แล้ว ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่คิดจะทำข้าวผัดตามวิธีของสูตรอาหารวังราชวงศ์ชิงมาใช้ เพียงยึดตามวิธีง่ายๆ ทั่วไปมาผัดกลับไปกลับมา แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ กลิ่นของข้าวผัดก็ยังดีกว่ากลิ่นไหม้ของซางเทียนซั่วอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ถึงห้านาที ข้าวผัดสองจานก็มาวางเสิร์ฟบนโต๊ะ
ซางเทียนซั่วเชิดหน้าเล็กน้อย “จริงสิ ขอฉันอธิบายก่อนสักหน่อย วันนี้ที่ฉันทำก็คือข้าวผัดรวมมิตรรมควัน เพราะงั้นเวลาพวกนายชิมก็อย่าคิดว่ามันไหม้ล่ะ นั่นคือพ่อครัวอย่างข้าตั้งใจผัดกลิ่นรมควันออกมาเอง เอาล่ะ พวกนายชิมได้เลย!”
ซ่งจื่อเซวียนอยากหัวเราะ คิดว่าถ้าเป็นการแข่งขันสุดยอดพ่อครัวจริงๆ ซางเทียนซั่วคงถูกยามไล่ออกไปทั้งอย่างนี้แน่…
เห็นข้าวผัดที่ไม่ต่างอะไรจากปกติทั้งสองจาน หยางเสวี่ยกับลูกน้องสองคนของซางเทียนซั่วก็ตักชิมกันคนละคำ ตอนที่ชิมข้าวผัดรวมมิตรรมควัน ทุกคนก็ขมวดคิ้ว นี่มันเรียกไหม้แล้วไม่ใช่เหรอ…
แต่เห็นได้ชัดว่าลูกน้องสองคนนั้นไม่กล้าพูดอะไร แถมยังฝืนกลืนลงไปด้วย
ส่วนซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วก็ผลัดกันชิมข้าวผัดของกันและกันคนละคำ ตอนที่ชิมแล้วได้กลิ่นไหม้ ซ่งจื่อเซวียนก็บ้วนข้าวผัดใส่ถังขยะทันที
“ทำอะไรน่ะ นายไม่รู้จักการเคารพคู่แข่งหรือไง” ซางเทียนซั่วพูด
ซ่งจื่อเซวียนอาเจียนออกมาแล้วพูดว่า “นายค่อยเก็บไว้เคารพตัวเองเถอะ”
ซางเทียนซั่วขมวดคิ้วแล้วชิมอีกคำ ก็เกือบจะคายออกมา แต่ยังฝืนทนกลืนลงไปแล้วสูดลมหายใจลึกๆ ทันที “โธ่เว้ย เกิดปัญหาตรงไหนกันนะ หรือว่าข้าวผัดรมควันที่ฉันศึกษาค้นคว้าไม่สมเหตุสมผลกัน”
“พี่ซั่ว ผมคิดว่าข้าวผัดของพี่เหนือยิ่งกว่า ผมได้กินกุ้งด้วยนะ!” ลูกน้องคนหนึ่งพูด
“ใช่ครับๆ ผมไม่เคยกินข้าวผัดรมควันอะไรนี่มาก่อนเลย รสชาติดีมากจริงๆ”
ได้ยินคำพูดของลูกน้องสองคน ซางเทียนซั่วหันหน้าไปจ้องพวกเขาแวบหนึ่ง “พวกนายคิดว่าฉันโง่หรือไง คิดว่าฉันเสียประสาทรับรสไปเรอะ”
ถูกตวาดขนาดนี้ ทั้งสองคนก็ไม่กล้าพูดแล้ว ซางเทียนซั่วหันหน้ามามองซ่งจื่อเซวียน “ครั้งนี้นายชนะแล้ว แต่การแพ้ชนะเป็นเรื่องปกติในสงคราม ฉันจะไม่ยอมแพ้อย่างนี้หรอก หึ หวังว่าพวกเราจะมีโอกาสได้พบกันอีก”
พูดจบ ซางเทียนซั่วประสานหมัดคารวะเต็มพิธีการอย่างชาวยุทธจักร หันหลังเดินออกไปทันที ลูกน้องสองคนก็เดินตามไปด้วย
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม เดินเข้าไปเก็บกวาดเล็กน้อยในครัวด้านหลังทันที แต่เขาไม่ได้สังเกตถึงรายละเอียดอย่างหนึ่ง นั่นก็คือครั้งนี้…หยางเสวี่ยไม่ได้ช่วยเขา แต่ยืนชะงักค้างเล็กน้อยอยู่ข้างเคาน์เตอร์บาร์
“เสี่ยวเสวี่ย พวกเรากลับกันไหม” ซ่งจื่อเซวียนที่ออกมาจากครัวด้านหลังพูด
“จื่อเซวียน…” ตอนที่กำลังจะออกจากร้าน หยางเสวี่ยยังอดพูดออกมาไม่ได้อยู่ดี
“หืม”
“อืม…ข้าวผัดเมื่อกี้นายทำเองเหรอ”
“ใช่ ทำไมเหรอ”
หยางเสวี่ยเม้มปาก…สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร พยักหน้า สาวเท้าออกจากร้านอาหาร
เห็นด้านหลังของหยางเสวี่ย ซ่งจื่อเซวียนกลับยืนอยู่ที่เดิม ในใจรู้สึกซับซ้อน เมื่อครู่ตอนที่หยางเสวี่ยอยากจะให้ตนทำข้าวผัดให้ทั้งออดอ้อนทั้งคาดหวัง แต่ตอนนี้จู่ๆ ความรู้สึกกลับลดลง หนึ่งในเหตุผลนั้น…ต่อให้เป็นคนโง่ก็คิดได้
เขาล็อกประตูร้านอาหารชุนเซียง ตัดสินใจว่าอย่างไรก็ต้องไปส่งหยางเสวี่ยกลับบ้าน หนึ่งคือแสดงถึงมารยาท สองคือซ่งจื่อเซวียนก็เป็นเหมือนสาวน้อยวัยแรกแย้มเช่นกัน สองวันมานี้หยางเสวี่ยเป็นห่วงเป็นใยและออดอ้อนตนทำให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในใจเล็กน้อย
ตอนที่หันหลัง เขาเห็นหยางเสวี่ยเดินห่างออกไปเกือบร้อยเมตรแล้ว ขณะที่คิดจะตามไป กลับเห็นรถเก๋งสีดำคันหนึ่งจอดอยู่หน้าร้านอาหารชุนเซียง ประตูรถข้างคนขับเปิดออกมา คนที่ลงมาเป็นชายผมขาวคนหนึ่ง ชายคนนั้นมองมาทางตนแล้วเดินมา
ซ่งจื่อเซวียนไม่เข้าใจเรื่องรถเลย รู้แค่ว่าเป็นรถยี่ห้อเบนซ์ กลับไม่รู้ว่ารุ่นไหน ส่วนชายผมขาวคนนั้น ดูแล้วอายุราวๆ หกสิบปี สวมชุดสูทเข้ารูป ทุกท่วงท่าระหว่างก้าวเดินมาพร้อมกับแรงกดดันหนักหน่วงและมารยาท
แต่สีหน้าของซ่งจื่อเซวียนก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเห็นหน้าชายคนนั้นชัดขึ้น จากนุ่มนวลอ่อนโยนเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเย็นชา
เขาจำใบหน้านี้ได้ ได้เจอคราวที่แล้วเห็นจะเป็นเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ตนยังเรียนอยู่ชั้นม.ต้น ก็เป็นรถสีดำคันนี้ที่อยู่หน้าประตูโรงเรียน และก็เป็นชายคนนี้เช่นกัน
เรื่องนี้แม่และพี่สาวไม่ได้รับรู้เลย หลังจากซ่งจื่อเซวียนกลับบ้านก็ไม่พูดถึงสักคำ
“จื่อเซวียน” ชายคนนั้นเรียกด้วยสีหน้าลำบากใจ
ซ่งจื่อเซวียนมองเขาอยู่นานก็ไม่ได้เปิดปากพูด และชายคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเช่นกัน ก้มหน้าลงเล็กน้อย รอให้ซ่งจื่อเซวียนเปิดปากพูด
“ผมเคยพูดไปแล้วนี่ หวังว่าคุณจะไม่มาหาผมอีก” โทนเสียงซ่งจื่อเซวียนเย็นชามาก เย็นชาจนทำให้คนหวาดกลัว หากใครเห็นเข้าคงไม่รู้ว่าโทนเสียงนี้จะมาจากเด็กอายุสิบแปดคนหนึ่ง
“คุณซ่งยังหวังว่าจะได้เจอคุณสักครั้งนะครับ”
“อยากเจอเมื่อหลายปีก่อนก็เจอไปแล้วนี่” ซ่งจื่อเซวียนมองชายตรงหน้า แววตาไร้ประกาย แต่ชายคนนั้นกลับไม่กล้าจ้องตรงๆ อยู่บ้าง
“จื่อเซวียน ที่คุณซ่งทำแบบนี้ความจริงเขาก็ลำบากใจนะ”
ซ่งจื่อเซวียนแค่นเสียงหัวเราะ ถ่มน้ำลายออกมาทันที “ถุย ความลำบากใจแบบนี้ทำผมจะคลื่นไส้ ตอนนี้ผมอายุสิบแปดแล้ว เติบโตมาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ในฐานะที่เป็นผู้ชาย เขาเป็นผู้ชายที่ผมดูถูก!”
ชายคนนั้นได้ยินก็มีความรู้สึกจนปัญญาและอยากขอโทษแปะอยู่บนใบหน้า เขาพยักหน้าเบาๆ “ก็เป็นเพราะแบบนี้ คุณซ่งถึงได้ส่งผมมา แทนที่จะบุ่มบ่ามมาด้วยตัวเอง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า เงยหน้าพ่นลมหายใจออกมาฉับพลัน “เหอะๆ ก่อนหน้านี้ก็หน้าประตูโรงเรียน ตอนนี้ก็ตามมาถึงร้านอาหารชุนเซียง พวกคุณกำลังจับตามองผมอยู่เหรอ”
“คุณซ่งรู้ตัวว่าทำผิดต่อพวกคุณ ความจริงแล้วหลายปีมานี้จึงไม่ได้หยุดสืบหาข่าวของพวกคุณเลย รวมถึงที่คุณเลิกเรียนกลางคันแล้วมาทำงานที่ร้านอาหารชุนเซียง”
“ฮ่าๆๆ ฟังดูแล้วเหมือนเป็นห่วงนักเป็นห่วงหนาจริงๆ แต่…ผมไม่คิดว่าควรต้องรู้สึกขอบคุณเลยสักนิด” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเย็นชา ถามว่า “มีบุหรี่ไหม”
“คุณ…สูบบุหรี่เหรอ”
“สูบเล่นๆ ให้ผมมวนสิ”
ชายคนนั้นเชื่อฟังมาก ยื่นให้ซ่งจื่อเซวียนหนึ่งมวน ทั้งยังช่วยเขาจุดบุหรี่ด้วย
ซ่งจื่อเซวียนเรียนรู้วิธีสูบบุหรี่จากร้านอาหารชุนเซียง เวลาว่างๆ จางขุยก็สูบบุหรี่กับพนักงานสองสามคน บางทีก็ให้ซ่งจื่อเซวียนลองดู ไปๆ มาๆ เขาก็สูบเป็น แต่ปกติเขาไม่ได้สูบ อาจจะแค่ตอนนี้ที่อยากสูบขึ้นมาสักมวน
“ฝากคำพูดไปบอกเขาแทนผมหน่อยได้ไหม” ซ่งจื่อเซวียนพูดก่อนสูบเข้าปอดลึกๆ
ชายคนนั้นพยักหน้า “ได้ครับ คุณซ่งก็หวังว่าจะได้ฟังคำพูดของคุณ”
“หนึ่ง ผมไม่อยากให้พวกคุณโผล่หน้ามาอีก ชีวิตผม แม่ผม พี่ผมดีมาก ไม่ต้องการให้ใครช่วยเหลือ ยิ่งไม่คาดหวังจะไปรบกวนใครด้วย เข้าใจไหม”
ชายคนนั้นชะงัก เห็นชัดว่าไม่ได้คาดคิดว่าซ่งจื่อเซวียนจะพูดจาเด็ดขาดขนาดนี้ออกมา แต่ก็ยังพยักหน้าพลางพูด “ผม…จะแจ้งให้ครับ”
“สอง ผมรู้ว่าพวกคุณขับรถหรู คิดว่าคงจะมีเงินมากสินะ แต่เงินนั่นสำหรับผมมันไม่สำคัญ ผม ซ่งจื่อเซวียนอีกไม่นานก็สามารถพึ่งตัวเองหาเงินมาดูแลแม่ผมได้ ไม่มีเขา พวกเราก็ใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม”
ชายคนนั้นสูดลมหายใจลึก พูดว่า “ผมจะแจ้งให้ ยังมีอีกไหมครับ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว จริงสิ…ผมไม่ชอบถูกจับตามอง ไม่ชอบมากๆ หวังว่าพวกคุณจะหยุดเสียนะ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนสาวเท้าจากไป สายตาไม่เหลือบแลชายคนนั้นและรถเบนซ์อีก และไม่หันกลับไปสักครั้ง
เห็นแผ่นหลังของซ่งจื่อเซวียนเลือนรางไปช้าๆ ชายคนนั้นทอดถอนใจ “คุณซ่งครับ เขาโตแล้ว…”
“อืม…”
น้ำเสียงทุ้มลอดออกมาจากในรถ ฟิล์มรถมืดมาก แต่สามารถเห็นได้รางๆ ด้วยแสงไฟข้างทาง เงาร่างของชายคนหนึ่ง เขาเก็บแว่น ก้มหน้าลงใช้มือปกปิดดวงตาทั้งสองไว้ สั่นเทาน้อยๆ
เดินผ่านหัวมุมถนน ซ่งจื่อเซวียนพิงกับกำแพงทันที แหงนหน้ามองฟ้า ออกแรงสูดหายใจลึกอยู่หลายครั้ง
“แม่ แม่วางใจได้ ผมใช้ฝีมือทำอาหารเลี้ยงดูแม่ได้ ผมต้องเรียนรู้อาหารทั้งหมดในสูตรอาหารได้แน่นอน” ซ่งจื่อเซวียนกัดฟันพูดเน้นย้ำทีละคำ
หลายปีมานี้ เดิมทีแม่หานหรงและพี่สาวซ่งอีหนานไม่เคยได้ติดต่อกับพ่อแต่อย่างใด แต่เป็นเขาคนเดียวที่พ่อเคยติดต่อมา
ทว่าแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ได้พูดถึงมาก่อน แรงกดดันนี้กดทับใจของเด็กหนุ่มคนหนึ่งมานานหลายปี แค่คิดก็รู้สึกถึงน้ำหนักของมันได้
เดิมซ่งจื่อเซวียนคิดจะไปอยู่บ้านของชายชราสักพัก ตอนนี้สภาพจิตใจจมอยู่ในหุบเหวลึก จึงไม่คิดจะไปแล้ว สาวเท้าเดินกลับบ้านแทน
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง
“เฮ้ พี่รอง!”
…………………………………………..