เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 122 ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ
ตอนที่ 122 ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ
อันที่จริงซ่งจื่อเซวียนพลั้งปากถามออกมา บางทีอาจเป็นเพราะช่วงนี้ทั้งสองคนสนิทกันมากขึ้น การพูดคุยจึงค่อนข้างสบายๆ
แต่เมื่อเห็นถังหย่าฉีหน้าแดงกะทันหัน ซ่งจื่อเซวียนก็ฉุกคิดได้ว่าคำพูดของเขาดูไม่ค่อยเหมาะสม
“ไอ้หยา ฉันล้อเล่นน่ะ ดูเธอสิ รอเดี๋ยวนะ ฉันจะเอาเครื่องเคียงมาให้เธอก่อน”
ซ่งจื่อเซวียนพูดแล้วก็ยืนขึ้นและจากไป แต่ถังหย่าฉีก็ไม่ได้เอ่ยปากอะไรอีก ดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์
ในขณะนี้ ในหัวของถังหย่าฉีดูเหมือนจะว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง
“ฉัน…ดี…กับเขาเหรอ” เธอพึมพำประโยคนี้กับตัวเอง มุ่ยปากและรู้สึกว่าใบหน้าของเธอเริ่มร้อนวูบวาบ
ในคืนนั้น การเปิดกิจการวันแรกของร้านอาหารร่ำรวยก็ได้จบสิ้นลง แม้จะไม่ได้มีลูกค้ามากมาย แต่ก็ได้ทุนกลับคืนมา เทียบกับต้าสือไต้ในวันแรกถือว่าแย่กว่าหน่อย
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ให้ทุกคนเลิกงานทันที แต่มีการประชุมสั้นๆ ในห้องโถงเพื่อให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกัน อย่างไรในวันสองวันนี้ ทุกคนก็ยุ่งกับงานและยังไม่ได้พูดอะไรกัน
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน เสี่ยเฉิงปาก็เดินเข้ามาหา “น้องชาย ไปคุยกันชั้นบน”
ซ่งจื่อเซวียนกำชับหูเจิ้นอีกครั้ง และขึ้นไปชั้นบนกับเสี่ยเฉิงปา
ในห้องส่วนตัว เสี่ยเฉิงปาเกาหัว “น้องชาย กระแสวันแรกไม่ดีเลย”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “เพิ่มข้าวผัดจักรพรรดิไป ถ้ารวมค่าน้ำ ค่าไฟและค่าเช่าทั้งหมดไว้ในนี้ เราจะได้ทุนคืนครับ”
“ทุนคืนงั้นเหรอ ฉันเกรงว่า…” เสี่ยเฉิงปาจุดบุหรี่หนึ่งมวน “แกก็รู้ว่าฉันกำลังเสี่ยงที่เปิดร้านนี้กับแก น้องชาย แกเริ่มต้นได้ดีแล้ว…แต่ไม่ได้ทำให้ดีเพื่อพี่ชาย”
ได้ยินดังนั้นซ่งจื่อเซวียนก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ราวกับเข้าใจความหมายของเฉิงปา จากนั้นค่อยๆ ส่ายหัว ‘หมอนี่ยังใจร้อนเกินไปแฮะ’
“เสี่ยปา อย่าใจร้อนสิครับ มีร้านอาหารร้านไหนบ้างจะดังพลุแตกตั้งแต่วันแรกน่ะ แม้แต่ต้าสือไต้ ข้าวผัดจักรพรรดิของผมต้องรอตั้งหลายวันกว่าจะขายออก”
“แกจะให้ฉันรอนานแค่ไหนล่ะ” เสี่ยเฉิงปาเงยหน้ามองซ่งจื่อเซวียนแล้วเอ่ยถาม
อันที่จริงเสี่ยเฉิงปาก็มีความคิดของตัวเอง ร้านอาหารร่ำรวยไม่ผงาดในวันแรก เขาย่อมรู้สึกกระวนกระวายใจ เว้นแต่เขาจะมองเห็นแนวโน้มการทำเงิน มิฉะนั้นครั้งนี้เขาไม่เพียงแต่ขาดทุนอย่างง่ายดายเท่านั้น
ต้องรู้ว่าการร่วมมือกับซ่งจื่อเซวียนนั่นคือเขายืนตรงข้ามกับหวงฟาแล้ว ที่จริงมันเป็นการเดิมพัน แต่เขาต้องไม่แพ้เดิมพันนี้เด็ดขาด
ซ่งจื่อเซวียนเงียบไปครู่หนึ่ง “เสี่ยปา ผมขอพูดความจริงแล้วกัน”
“ว่ามา!” ในเวลานี้ใบหน้าของเสี่ยเฉิงปาไร้รอยยิ้ม จนถึงมีความเยือกเย็นอยู่ด้วยซ้ำ
“วันนี้ร้านอาหารเปิดอย่างเป็นทางการวันแรก คุณชี้มาที่ผมซ่งจื่อเซวียนให้ขายดีเป็นพลุแตก ผมไม่กล้ารับประกันหรอก ถ้าเสี่ยปากังวล สามารถถอนหุ้นออกได้ครับ!”
“ถอนหุ้นงั้นเหรอ ซ่งจื่อเซวียน แกบอกฉันตอนนี้ช้าไปหน่อยมั้ง” เสี่ยเฉิงปากล่าว
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัวแล้วยิ้ม “เมื่อวานคนจากจุนเค่อและจ้งอันมาเยือน ผมเชื่อว่าการหาคู่ค้าไม่ใช่เรื่องยาก เงื่อนไขแรกก็คือเสี่ยปาไม่กล้าทำต่อไปแล้ว!”
เมื่อได้ยินเสี่ยเฉิงปาก็ไม่พอใจทันที ‘ไอ้หนูแกเป็นใคร ดันกล้ามาอวดเบ่งต่อหน้าฉัน ถ้าไม่ใช่เพื่อเงิน เสี่ยปาทำให้แกออกจากเขตเฉิงตงเฉิงตงไม่ได้เลยนะ!’
แต่ซ่งจื่อเซวียนอาศัยจุดนี้ ‘เสี่ยปา คุณเป็นปรปักษ์กับเสี่ยหวงแล้ว ถึงจะถอนตัวตอนนี้ก็เป็นเพียงการใช้ตะกร้าหวายตักน้ำ[1]เท่านั้น มิสู้รอผมอย่างว่านอนสอนง่ายดีกว่าหรือ’
“ซ่งจื่อเซวียน แกเป็นคนลากฉันเข้ามาในสายน้ำแห่งนี้ ต่อให้จะออกไปตอนนี้ ฉันก็ยังเปียกปอนไปทั้งตัวอยู่ดี ช่วยบอกให้ฉันชื่นใจหน่อยว่าข้าวผัดจักรพรรดิจะขายได้เมื่อไร!”
ซ่งจื่อเซวียนทำหน้าเคร่งขรึมฉับพลัน “เสี่ยปา ผมให้คำตอบคุณไม่ได้ เราเซ็นสัญญากันไว้ว่าจะแบ่งบัญชีกันเป็นสามสิบและเจ็ดสิบ หากคุณคืนคำ ผมจะฉีกสัญญาโดยไม่เอาส่วนแบ่งเลย ถ้าคุณเชื่อใจผมก็ยอมรอแต่โดยดีเถอะครับ!”
พูดถึงตอนท้ายของประโยค ซ่งจื่อเซวียนก็เบิกตากว้าง ถ้าเป็นเมื่อก่อน เกรงว่าเสี่ยเฉิงปาจะลุกขึ้นฟาดเขาสักฉาด แต่ตอนนี้…
เสี่ยเฉิงปาไม่ได้ทำ ไม่เพียงแต่ไม่ได้ลุกขึ้นเท่านั้น กระทั่งในใจยังรู้สึกอ่อนแอเล็กน้อยอีกด้วย
เหตุผล…ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น
เขาไม่เข้าใจว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซ่งจื่อเซวียนดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เหมือนว่าบรรยากาศจะกดเขาจนหายใจไม่ออก…
เมื่อเห็นว่าเสี่ยเฉิงปาไม่พูดไม่จา ซ่งจื่อเซวียนจึงกล่าว “เสี่ยปา ถ้าคุณเชื่อผมก็มั่นใจในความร่วมมือของพวกเราได้ คุณไว้วางใจในข้าวผัดจักรพรรดิ การร่วมมือของเราถึงก่อเกิดขึ้นมาได้อย่างดี ผมรู้ว่าคุณลำบาก แต่…ธุรกิจคือต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ถูกไหมครับ”
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนให้จังหวะเขา เสี่ยปาก็พยักหน้า “ถูกแล้ว น้องชาย อย่าถือสาฉันที่ใจร้อนเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับอีกครึ่งชีวิตที่เหลือของฉันนะ ถ้าไม่สำเร็จและยังไปทำให้หวงฟาโกรธแล้วด้วย เสี่ยปาอย่างฉันต้องจบไม่สวยจริงแท้แน่นอน”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็คลี่ยิ้มและตบไหล่เสี่ยปาสองครั้ง “ผมรู้ เสี่ยปา สองสามวันนี้ไม่ต้องให้เหลยจื่อคอยปกป้องทุกวันก็ได้ครับ ตราบใดที่รุ่ยจื่ออยู่ที่นี่คงจะไม่มีปัญหา อีกอย่างเรามีหัวหน้าเชฟในครัวด้านหลัง ก็ควรมีผู้จัดการในโถงด้านหน้าด้วย ไม่อย่างนั้นจะจัดการได้ยาก”
“เอ๊ะ น้องชาย แกอยู่ตรงนี้ไม่ได้ถือโอกาสเป็นผู้จัดการหรอกเหรอ พวกเรายังประหยัดค่าใช้จ่ายได้ด้วยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้มพร้อมกล่าว “เสี่ยปา เงินบางอย่างก็ประหยัดไม่ได้ แล้วถ้าออร์เดอร์ข้าวผัดจักรพรรดิระเบิดระเบ้อจริงๆ ผมอาจจะจับตาดูที่นี่ตลอดไม่ได้หรอกนะ”
ได้ยินอย่างนั้นเสี่ยเฉิงปาก็พยักหน้าช้าๆ เขารู้ว่าจริงๆ แล้วเงินเดือนผู้จัดการโถงด้านหน้าของร้านอาหารนั้นไม่น้อยเลย ถ้าซ่งจื่อเซวียนอยู่ตรงนี้ได้ ก็สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายนี้ได้โดยปริยาย
แต่ซ่งจื่อเซวียนพูดถูก หากข้าวผัดออร์เดอร์ทะลักเข้ามา เกรงว่าเขาอาจจะไม่ได้จับตาดูอยู่ตลอด ยิ่งไปกว่านั้น…พวกเขามีแผนจะเปิดสาขาย่อยอีกด้วย หากเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย
“โอเคน้องชาย ฉันจะฟังแก แต่แกรับปากฉันได้ไหมว่าจะทำธุรกิจให้เติบโตได้ก่อนน่ะ พี่ชายรู้สึกใจคอไม่ดี”
“เหอะๆ ถ้าคุณพูดกับผมแบบนี้ ผมคงต้องบอกว่า…”
“หืม ว่าอะไร” เสี่ยเฉิงปาเอ่ยถามด้วยความกังวล
“ภายในหนึ่งสัปดาห์ ผมจะทำข้าวผัดจักรพรรดิให้ออร์เดอร์ถล่มทลายอย่างน้อยหนึ่งครั้ง!”
“หนึ่งครั้งงั้นเหรอ” ท่าทางของเสี่ยเฉิงปาชัดเจนว่าไม่พอใจ
“ก้าวแรกมักจะยากเสมอ มีหนึ่งครั้งคุณกลัวว่าจะไม่มีครั้งต่อไปเหรอ ต้าสือไต้เป็นตัวอย่าง เราค่อยๆ ดูๆ กันไปเถอะ!” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม
เสี่ยเฉิงปาพยักหน้า “เฮ้อ คงได้แต่ทำแบบนี้แล้วแหละ”
หลังจากนั้นเสี่ยเฉิงปาก็จากไป และซ่งจื่อเซวียนก็ปิดร้านอาหาร
เขาให้ซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยนั่งรถแท็กซี่กลับไปก่อน ส่วนตัวเองก็จะไปอ่าวชิงหลง
หลังจากดูอาการของซ่งอวิ๋นฮั่นเมื่อคราวที่แล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกกลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน บางที…การไปเยี่ยมครั้งหนึ่งก็คืออายุสั้นลงไปอีกหนึ่งจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงตั้งใจย้อนกลับไปที่ร้านอาหารเพื่อทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายอีกชาม จากนั้นจึงเรียกรถแท็กซี่ไปที่อ่าวชิงหลง
ณ ล็อบบี้โรงแรมข่ายอ้อที่อ่าวชิงหลง
แม้ว่าจะเป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว แต่ก็ยังมีคนเข้าออกในล็อบบี้ไม่น้อย เนื่องจากเป็นโรงแรมห้าดาว จึงมีแขกชาวต่างชาติที่ยังทำธุระอยู่ที่แผนกต้อนรับอยู่มาก
เสียงดนตรีที่ผ่อนคลายเปิดคลอภายในโรงแรม ควบคู่ไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบที่สวยสดงดงาม ไร้ซึ่งความรู้สึกเงียบสงบของค่ำคืนนี้
ในบริเวณเลานจ์ของล็อบบี้ ตรงด้านข้างที่นั่งดื่มชา เฮ่อเหยียนข่ายแกว่งกาแฟในมือแล้วกล่าว “พี่โจว อย่าหาว่าผมไม่ดูแลพี่นะ เรื่องนี้คนแรกที่ผมนึกถึงก็คือพี่เลย”
“งั้นเหรอ น่าสนใจนะท่านชายเฮ่อ ไม่คิดเลยว่านายจะโทรหาฉัน อ้อ สุขภาพร่างกายท่านผู้เฒ่ายังดีอยู่ใช่ไหม” โจวเผิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ก็ดีแหละครับ แต่ช่วงนี้บริษัทมีเรื่องยุ่งยาก พี่ก็รู้ว่าหุ้นที่ใหญ่ที่สุดของครอบครัวผมอยู่ในตลาดอาหารทะเล แต่เราไม่ใช่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด นี่คือปัญหาที่สำคัญที่สุดในตอนนี้”
โจวเผิงพยักหน้า “ใช่ ช่วงหลายปีมานี้ธุรกิจของประธานเฮ่อเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่หุ้นใหญ่ถูกคนอื่นรวบมาตั้งแต่ต้น ถ้าฉันจำไม่ผิด…คนคนนั้นคือเถ้าแก่ซ่งใช่ไหม”
“ถูกต้อง คุณซ่งถือหุ้นใหญ่ที่สุด ครอบครัวผมเลยหมดหนทางที่จะคว้ามาริเริ่มได้ ดังนั้นจึงมีขอบเขตจำกัดแค่การพัฒนา เพราะเหตุนี้ ผมเลยตัดสินใจจะบุกเบิกธุรกิจให้ตระกูลเฮ่อน่ะ” เฮ่อเหยียนข่ายกล่าว
“เหอะๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนหนุ่มสาวอย่างนายจะมีความคิดแบบนี้ แต่ช่วงนี้ราคาที่ดินในเมืองตู้เหมินเพิ่มสูงขึ้น ค่าเช่าเองก็เพิ่มทวีขึ้น นายวางแผนที่จะเปิดภัตตาคารทะเลขนาดไหนล่ะ” โจวเผิงกล่าว
“ทำแล้วก็ทำขนาดใหญ่เลย พี่โจว ช่วงนี้ในตู้เหมินของเราร้านไหนโด่งดังที่สุดเหรอ ต้าสือไต้หรือเปล่า ทำแล้วก็ต้องทำถึงระดับเดียวกับร้านพวกเขา!” เฮ่อเหยียนข่ายกล่าว
โจวเผิงขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ต้าสือไต้งั้นเหรอ เหอะๆ ท่านชายเฮ่อ นายต้องรู้ราคาที่ดินทางเขตเฉิงซี ค่าเช่าต่อปีเพียงอย่างเดียวก็ทะลุเกินล้านแล้ว”
“เขตเฉิงซีไม่ใช่ตัวเลือกแรก ถ้าตัดสินใจ ก็จะเลือกเขตเฉิงตง!” เฮ่อเหยียนข่ายหรี่ตาลงเล็กน้อยและพูดพลางเพ่งมองไประยะไกล
“เขตเฉิงตงเหรอ แต่กำลังซื้อของเขตเฉิงตงไม่ค่อยดีนักนะ ต้าสือไต้ของเรามีข้าวผัดจักรพรรดิ อ้อใช่ แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีอีกแล้ว แต่กิจการก็เติบโตขึ้นมาได้แล้ว แล้วนายจะรับสมัครงานยังไงล่ะ”
เมื่อโจวเผิงพูดจบก็สังเกตเห็นว่าเฮ่อเหยียนข่ายเสียสมาธิ จึงมองตามสายตาของเขาทันที
เฮ่อเหยียนข่ายกระตุกยิ้มเล็กน้อย “รับสมัครงานเหรอ ผมมีวิธี ผมจะคิดหาทางไปหาเชฟข้าวผัดจักรพรรดิ…”
“ซ่งจื่อเซวียนเหรอ ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่” โจวเผิงเอ่ยถาม
“พี่โจวรู้จักเขาเหรอ” เฮ่อเหยียนข่ายพูดด้วยความประหลาดใจ แต่เขาก็คลี่ยิ้มทันที “อ้อใช่ ดูเหมือนเขาจะอยู่ที่ต้าสือไต้ของพี่ เหอะๆ คงทำงานเป็นเด็กครัวใช่ไหม”
ทันใดนั้นโจวเผิงก็ตระหนักถึงบางอย่างจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านชายเฮ่อเอ๊ย ฉันพอจะเข้าใจสิ่งที่นายหมายถึงแล้ว แต่ว่า…ฉันคิดว่าแผนนี้จำเป็นต้องใคร่ครวญใหม่”
“หือ หมายความว่าไง”
“เชฟที่นายอยากตามหา ก็คือเขานั่นแหละ…”
“อะไรนะ?!” เฮ่อเหยียนข่ายตกตะลึง “ข้าวผัดจักรพรรดิ…เขาผัดงั้นเหรอ”
โจวเผิงยิ้ม จากคำพูดของเฮ่อเหยียนข่าย สามารถบอกได้ว่าเขารู้จักซ่งจื่อเซวียน และยัง…ดูถูกเขาสุดขีด
แต่ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ คนที่เขามองหาดันกลายเป็นคนที่เขาดูถูกซะงั้น
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องคิดใคร่ครวญใหม่จริงๆ ขยะแบบนี้…ไม่มีวันใช้มันหรอก!”
……
เคาะประตูสองสามครั้ง ประตูก็เปิดออก เมื่อเห็นท่าทางของซ่งอวิ๋นฮั่นในวันนี้ ในใจซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกขมขื่นเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะมา ซ่งอวิ๋นฮั่นไม่ได้ตั้งอกตั้งใจหวีผมหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำให้เขาดูแก่อิดโรยและใบหน้าซีดเผือด
วันนี้ซ่งอวิ๋นฮั่นสวมชุดนอนสีแดงเบอร์กันดีและพับคอเสื้อ รอยคล้ำใต้ตาชัดเจนมาก สีเลือดบนริมฝีปากก็ดูจะน้อยกว่าคราวที่แล้ว
“จื่อเซวียน แกมาได้ยังไง เจิ้งอวี่คนนี้จริงๆ เลย…ไม่บอกฉันสักคำ”
ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปในห้อง “อย่าถือโทษเขาเลย ผมตัดสินใจมากะทันหัน กินข้าวหรือยัง”
“ฉันไม่หิว” ซ่งอวิ๋นฮั่นปิดประตูแล้วเปิดไฟในห้องนั่งเล่น รู้เลยว่าโดยปกติที่อยู่ที่นี่เขาแทบไม่เปิดไฟเลย
ซ่งจื่อเซวียนสังเกตเห็นก็เดินไปที่ตัวควบคุมไฟแล้วกดสองครั้งเพื่อเปลี่ยนเป็นแสงที่นวลขึ้น
“ถ้ากลัวแสงก็อย่าเปิดไฟสว่างขนาดนั้นสิ ผมเอาอาหารมาให้คุณ อยากลองชิมหน่อยไหม”
“แกทำเองเหรอ” แม้ว่าซ่งอวิ๋นฮั่นจะซีดเซียวมาก แต่เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนเขาก็ยังฝืนยิ้ม
“ใช่”
“งั้นฉันจะลองชิมดู”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดจบ เขาก็นั่งอยู่หน้าโต๊ะน้ำชาและเปิดกระติกเก็บความร้อนอย่างมีความสุข
มองไปยังซ่งอวิ๋นฮั่น ในใจซ่งจื่อเซวียนก็มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก…
…………………………………………..
[1] ตะกร้าหวายตักน้ำ (竹篮打水 ) อุปมาว่าเสียแรงเปล่าโดยประโยชน์