เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 13 เหมือนว่าจะเคยเห็นมาก่อน
ตอนที่ 13 เหมือนว่าจะเคยเห็นมาก่อน
ซ่งจื่อเซวียนอยู่บ้านฟางจิ่งจือจนถึงสี่ทุ่มกว่า ชายชราก็นอนอยู่บนเตียงด้วยความง่วงงุนแล้ว เขาถึงได้จากไป
ตอนที่กลับถึงบ้าน แม่ก็ยังรอเขาเหมือนเดิม อุ่นกับข้าวกับปลาเล็กน้อย ยกขึ้นโต๊ะ
กินไปได้สองคำ ซ่งจื่อเซวียนก็พูดว่า “แม่ ลูกตัดสินใจแล้วนะ ลูกอยากไปทำงานกับหลินเทียนหนาน”
หานหรงพยักหน้า “แกตัดสินใจได้แล้วก็ดี เจ้ารองเอ๊ย แกก็โตแล้ว แม่ก้าวก่ายอะไรแกไม่ได้ ขอแค่แกเดินทางที่ถูกต้อง แม่ก็สนับสนุนแกทั้งนั้น”
ฟังคำแม่ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกใจหนักอึ้ง ออกแรงพยักหน้า หลังจากนั้นก็กินข้าวเข้าไปคำใหญ่
หานหรงยิ้มเล็กน้อย เดินไปที่หัวเตียงทันที หยิบกระเป๋าสตางค์ผ้าออกมาจากใต้หมอน กระเป๋าสตางค์มีรอยขาดหลุดรุ่ยหลายจุด ทั้งยังมีร่องรอยที่เคยปะชุนบางส่วน เห็นได้ชัดว่าใช้มานานแล้ว
หานหรงเปิดกระเป๋าสตางค์ดูใบธนบัตรสีแดงไม่กี่ใบในนั้น หยิบออกมาสามใบยื่นให้ซ่งจื่อเซวียน
“แม่ นี่แม่ทำอะไรเนี่ย” ซ่งจื่อเซวียนพูดทั้งๆ ที่ชะงักค้าง
นับตั้งแต่ที่เขาลาออกจากโรงเรียน เงินที่เขาหามาได้ก็ให้แม่หมด และตนเองก็เหลือเก็บเล็กน้อยไว้ติดกระเป๋า ส่วนใหญ่ก็ใช้ซื้อสุราให้ตาเฒ่าฟาง อีกทั้งยังไม่เคยขอเงินจากแม่มาก่อน
“อะไรคือทำอะไร แกเก็บไว้เถอะ แกต้องไปทำงานให้ทางเขาก็ต้องซื้อเสื้อผ้าดีๆ ใส่นะ” หานหรงพูด
“ไม่ต้องหรอก ลูกมีเงิน แม่ เงินนี่แม่เก็บไว้ใช้เถอะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางกินต่อ
หานหรงยิ้มน้อยๆ พูดว่า “เจ้าเด็กโง่ เงินสามสิบสี่สิบหยวนในกระเป๋าแกน่ะ แม่จะไม่รู้ได้ไง ไม่พอซื้ออะไรหรอก แกฟังที่แม่พูด เอาไป”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่ต้อง…ลูกก็แค่ไปทำงาน ไม่ได้ไปเดินแบบ จะเอาเงินไปทำไมเล่า!”
“เด็กอย่างแกนี่ทำไมถึงรั้นแบบนี้นะ อีกสองวันแม่จะไปบ้านพี่สาวแกสักหน่อย ไม่ได้ใช้อะไรมากมาย ถ้ากระเป๋าแกไม่มีเงิน แม่ไปก็ไม่สบายใจ เอาไป!”
พูดพลาง หานหรงก็ยัดเงินใส่กระเป๋ากางเกงของซ่งจื่อเซวียน ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกหน้าร้อนผ่าว ละอายใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ถึงอย่างไรก็เป็นแม่แท้ๆ เขามีเงินติดตัวอยู่เล็กน้อย แม่ก็สบายใจ
“ขอบคุณครับแม่!”
“เด็กโง่ ยังจะขอบคุณอะไรอีก รีบกินเข้า กินเสร็จก็รีบๆ ล้างแล้วเข้านอน พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้าอีก ในเมื่อแกคิดจะไป ก็ต้องทำหน้าที่สุดท้ายให้เต็มที่นะ
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ครับ ลูกฟังแม่ พรุ่งนี้ลูกจะไปที่ร้านอาหารก่อน”
วันถัดมา ซ่งจื่อเซวียนก็ไปที่ร้านอาหารชุนเซียงตามปกติ แต่เขาก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่เช้าตรู่ แม้ว่าหยางเสวี่ยจะอยู่ที่ร้าน แต่ก็ไม่ได้เข้ามาพูดคุยกับเขา ส่วนหยางต้าฉุย…ก็แค่พูดสุภาพอยู่สองสามประโยค
สำหรับหยางต้าฉุย เขาจะบ่ายเบี่ยงซ่งจื่อเซวียนเพราะคำพูดของลูกสาวไม่ได้ แต่ตอนนี้หยางเสวี่ยกำลังหงุดหงิดอยู่ ถ้าเขารั้นต่อไป บางทีถ้าหยางเสวี่ยโกรธขึ้นมาจริงๆ อาจจะทำให้เรื่องราวเลวร้ายกว่าเดิมได้ เขาจึงคิดจะหาโอกาสพูดคุยกับซ่งจื่อเซวียนเป็นการส่วนตัว
ผ่านช่วงเที่ยงที่ยุ่งที่สุดไป ซ่งจื่อเซวียนก็ขอลางานกับหยางต้าฉุย บอกว่าจะกลับมาก่อนมื้อค่ำ หยางต้าฉุยตอบรับอย่างรวดเร็ว ความจริงตัดปัจจัยอย่างหยางเสวี่ยทิ้งไป เขาก็ยังคิดจะพยายามรั้งซ่งจื่อเซวียนไว้ก่อน ส่วนฝีมือการทำอาหารซ่งจื่อเซวียน…ไว้เขาหาโอกาสพิสูจน์ทีหลัง
ออกมาจากร้านอาหาร ซ่งจื่อเซวียนก็กังวลเล็กน้อย แม่สั่งให้เขาไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ แต่ตัวเขาเองไม่เคยซื้อเสื้อผ้ามาก่อน ต่อให้เป็นเป็นเสื้อผ้าที่ใส่ก่อนหน้านี้ก็เป็นชุดที่แม่ซื้อให้หรือไม่ก็ทำเองกับมือ ไม่รู้จริงๆ ว่าควรไปซื้อที่ไหน ซื้ออย่างไร…
ขณะที่กำลังกังวล ก็มีคนมาตีไหล่เขา เพิ่งจะหันหลังไปก็เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของกู่เสี่ยวเป่า
“ไฮ พี่รอง!”
การทักทายแบบนี้ทำซ่งจื่อเซวียนมึนงง แต่ทุกครั้งที่ได้ยินกู่เสี่ยวเป่าตะโกนเรียก อารมณ์ก็ดีขึ้นเล็กน้อย
“เหอะๆ เสี่ยวเป่า ฉันคิดจะออกไปข้างนอกสักหน่อย นายมากินข้าวใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ไม่ใช่ๆ ฮ่าๆ จะมากินข้าวพี่ที่นี่ทุกวันไม่ได้สิ กินมากไปฉันก็เลี่ยน ฉันกินไปแล้ว!” กู่เสี่ยวเป่ายิ้มตอบ
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม เด็กขอทานคนนี้น่าสนใจ ขอทานคนอื่นมีอะไรให้กินก็พอแล้ว เขายังเลือกมากอีก
ซ่งจื่อเซวียนรู้ปัจจุบันนี้มีขอทานบางคน ที่จริงๆ แล้วไม่ได้ต้องการข้าว แต่ต้องการเงิน อายุยังน้อยๆ งานการไม่ยอมทำ ขอแต่ทานผู้อื่น แต่กู่เสี่ยวเป่าไม่ใช่ สำหรับเขาแล้ว กู่เสี่ยวเป่าเป็นขอทานที่ใสซื่อบริสุทธ์ และก็เป็นประเภทที่แค่มีกินก็พอใจแล้ว
“อย่างนั้นก็ดี”
“พี่รองจะไปทำอะไร”
“ฉันจะไปซื้อเสื้อผ้าใหม่” พูดพลาง ซ่งจื่อเซวียนก็ลากกู่เสี่ยวเป่าออกมาให้ห่างจากข้างๆ ร้านอาหารชุนเซียงเสียหน่อย พูดเสียงเบา “ไม่ใช่ว่าฉันเคยพูดกับนายแล้วเหรอว่าจะไปทำงานที่นั่นน่ะ แม่ฉันให้ฉันใส่เสื้อผ้าที่มันดูภูมิฐานสักหน่อย”
“ซื้อเสื้อผ้าเหรอ พาฉันไปด้วยสิ ยังไงกินอิ่มแล้วก็ไม่มีอะไรทำ” กู่เสี่ยวเป่าพูดอย่างกระตือรือร้น
ประโยคนี้ไม่เลวเลย ซ่งจื่อเซวียนลอบยิ้มเงียบๆ เจ้าเด็กคนนี้อิ่มแล้วจริงๆ ถึงไม่มีอะไรให้ทำ
“ได้ ไปสิ แต่ฉันก็ไม่เคยซื้อเสื้อผ้ามาก่อน ไม่รู้ว่าจะไปซื้อที่ไหน”
“โธ่…ฉันรู้ ไป ฉันพาพี่ไปเอง!”
พรวด…ซ่งจื่อเซวียนเกือบจะระเบิดหัวเราะออกมา เจ้าเด็กขอทานคนนี้ยังรู้เรื่องดีไม่น้อย แต่พอคิดก็ไม่เลวเลย ทุกวันเขาเอาแต่ขอทาน มักจะไปพวกสถานที่ที่คึกคักอย่างเลี่ยงไม่ได้บ่อยๆ บางทีอาจจะรู้จริงๆ ก็ได้
กู่เสี่ยวเป่าเดินอยู่ทุกวัน ก็ไม่เคยเห็นขอทานคนไหนออกจากบ้านแล้วเรียกรถ ส่วนซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้สนใจ เรียกรถต้องใช้เงิน เขาตัดใจไม่ลง ดังนั้นทั้งสองจึงเดินเกือบสี่สิบนาทีกว่าจะถึงถนนคนเดินเมืองตู้เหมิน
เมืองตู้เหมินเป็นเมืองใหญ่ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่อย่างสมบูรณ์ นอกจากย่านเก่าที่พวกซ่งจื่อเซวียนอาศัยอยู่ ที่อื่นส่วนใหญ่ก็เป็นห้องพักสุดหรู ตึกสูงสิบกว่าชั้น หรือไม่ก็ตึกสำนักงาน
เดินมาถึงถนนคนเดิน ซ่งจื่อเซวียนมองซ้ายมองขวา สีหน้าตื่นตะลึง เขาโตที่ย่านเก่าตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันแม่ทำแต่งานรับจ้างรายวันจึงไม่ได้มีโอกาสพาพวกเขาออกมา จำได้ว่าครั้งก่อนที่เคยมาเดินกับพี่สาวก็ตอนอายุสิบขวบ แต่ที่มาครั้งนั้นไม่ได้ซื้ออะไรเลย
“เสี่ยวเป่า ที่นี่…ก็เมืองตู้เหมินเหรอ”
กู่เสี่ยวเป่ายิ้ม “พี่รอง พี่ทำงานที่ร้านอาหารจนโง่ไปแล้วเหรอ เดิมทีเมืองตู้เหมินก็เป็นเมืองใหญ่อยู่แล้ว จะเป็นอย่างย่านที่พวกพี่อยู่หมดได้ยังไง”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ยิ้มเผล่ จริงสิ เทียบกันแล้ว…บางทีเขาอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์เหมือนกู่เสี่ยวเป่า
เดินกับกู่เสี่ยวเป่า ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติเท่าไร ไม่เคยเห็นใครเดินซื้อของกับขอทานมาก่อน แต่เขาไม่ได้พูดอะไร ถึงอย่างไรในใจเขา เสี่ยวเป่าก็คือเพื่อน
ทันทีที่เดินเข้าไปในถนนคนเดิน กู่เสี่ยวเป่าก็ลากซ่งจื่อเซวียนเข้าไปในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่
เห็นสภาพแวดล้อมในห้างสรรพสินค้า ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อย “เสี่ยวเป่า…ที่นี่…แพงไปมั้ง”
สำหรับเขา ซื้อพวกเสื้อผ้าตัวละเจ็ดสิบแปดสิบหยวนจากร้านเล็กก็พอแล้ว บางทีอาจจะต้องต่อราคา ห้างสรรพสินค้าเช่นนี้…แม้แต่คิดก็ยังไม่เคยคิดมาก่อน
“โธ่ พี่รอง พี่มีความสามารถขนาดนั้น ก็ต้องใส่เสื้อผ้าดีๆ สิ ไปกันเถอะ!”
“แต่…” ซ่งจื่อเซวียนยังรั้งกู่เสี่ยวเป่าเอาไว้
กู่เสี่ยวเป่าหันมามองสีหน้าลำบากใจของซ่งจื่อเซวียน พูดว่า “พี่รอง หรือว่าพี่…กลัวว่ามันจะแพงเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เสี่ยวเป่า ฉันไม่ปิดนาย ในกระเป๋าของฉันมีอยู่แค่สามร้อยหยวน แม่ฉันเพิ่งให้มา อีกอย่าง…ฉันก็ไม่อยากใช้จนหมด”
“ฮ่าๆ ฉันเดาถูกซะด้วย วางใจเถอะ มีฉันทั้งคน!”
พูดแล้ว กู่เสี่ยวเป่าก็ลากเขาเข้าไปด้านใน ซ่งจื่อเซวียนมึนงง มีนายทั้งคน? มีนายที่เป็นขอทานมันจะมีประโยชน์อะไร ถ้านายมีเงินทำไมยังจะต้องมาขอข้าวกินเล่า
แต่เขาก็ไม่ได้หมดอารมณ์ ถือโอกาสเดินเข้าไปด้านในกับกู่เสี่ยวเป่าให้รู้แล้วรู้รอด อย่างมากเห็นของแพงแค่ไม่ซื้อก็สิ้นเรื่อง
เหมือนกู่เสี่ยวเป่าจะคุ้นเคยกับเส้นทางดี เขาพาซ่งจื่อเซวียนตรงไปชั้นสาม ยังบอกกับปากอีกว่า “ไปกัน เสื้อผ้าผู้ชายอยู่ชั้นสาม”
ซ่งจื่อเซวียนไม่เข้าใจอยู่บ้างจริงๆ เด็กคนนี้จะเทพเกินไปแล้ว นี่ก็รู้เหรอ หรือปกติเขาเข้ามาขอทานที่นี่กัน
ไม่นานนักก็ถึงชั้นสาม ซ่งจื่อเซวียนเห็นเคาน์เตอร์ใหญ่โตด้านหน้า รู้สึกวิงเวียนอยู่เล็กน้อย นี่ก็คุณภาพดีไปแล้วมั้ง…
เดินเข้าไปในเคาน์เตอร์หนึ่ง พนักงานหญิงเห็นแล้วก็นิ่งไป เดี๋ยวนี้ขอทานมาเดินชอปปิ้งกันแล้วเหรอ
“เฮ้ มาขอข้าวที่นี่ไม่ได้ รีบออกไปเดี๋ยวนี้!” พนักงานตวาด
กู่เสี่ยวเป่าจ้องมองเธอแวบหนึ่ง “เธอใช้ตาไหนมองว่าฉันมาขออาหารเล่า ฉันมาซื้อเสื้อผ้าไม่ได้เหรอ พวกเธอดูแลลูกค้าแบบนี้เหรอ”
“นายเป็นลูกค้าเหรอ ล้อเล่นอะไรน่ะ นายคิดว่าจะมาซื้ออะไรได้เหรอ”
กู่เสี่ยวเป่ามองพนักงานคนนั้น ท่าทางเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาฉับพลัน แม้ใบหน้าเล็กๆ จะยังคงเป็นเด็กไม่บรรลุนิติภาวะ แต่สายตาเย็นเยียบนั่นกลับบีบคั้นมาก ไม่ต้องพูดถึงว่าดุดันมากแค่ไหน แม้แต่ซ่งจื่อเซวียนเห็นแล้วยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย สายตานี้…เหมือนกับไม่ใช่กู่เสี่ยวเป่าตัวจริงอย่างไรอย่างนั้น
“หนูน้อย นายมองอะไรของนาย!”
พนักงานคนนั้นลดเสียงลง กู่เสี่ยวเป่าพูดว่า “มองว่าเธอเป็นอะไร ใต้หล้านี้มีคนสองแบบที่ดึงดูดให้คนสนใจ อย่างแรกคือคนงาม แน่นอนว่าคนงามจะดึงดูดให้คนชื่นชม อย่างที่สองก็คือผีขี้เหร่ ดูเทียบอัตราส่วนมีจำนวนมากกว่าคนงามมาก เธอคิดว่าเธอเป็นประเภทไหน”
คำพูดนี้ ซ่งจื่อเซวียนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา เจ้าเด็กขอทานนี่ ปากคอเราะร้ายจริงๆ
“นาย…” พนักงานคนนั้นโมโห เติบโตมาจนถึงขนาดนี้ยังไม่เคยถูกเรียกว่าผีขี้เหร่มาก่อน เธอสูดลมหายใจลึกๆ “ก็ได้ ฉันไม่พูดกับนายแล้ว ฉันจะเรียกรปภ.”
“แล้วแต่เธอเถอะ” กู่เสี่ยวเป่ายักไหล่ หันไปมองซ่งจื่อเซวียน “มา พี่รอง พวกเราเลือกเสื้อผ้ากัน”
พูดจบ กู่เสี่ยวเป่าก็ลากซ่งจื่อเซวียนไปที่ราวแขวนเสื้อผ้า เลือกออกมาทีละตัว มองดูพลางส่ายหน้าเป็นครั้งคราว ไม่ต้องพูดถึงท่าทางว่าตั้งใจมาก
“โธ่ นายอย่าจับเสื้อผ้าของฉันสิ นี่เป็นเวอร์ซาเชทั้งนั้นเลยนะ นายไม่มีทางซื้อไหวหรอก”
ขณะพนักงานกำลังจะยกหูเรียกรปภ. เห็นกู่เสี่ยวเป่าเริ่มจับเสื้อผ้าพลิกไปมา ก็รีบวิ่งมาทันที จะคว้าเสื้อผ้าไปจากมือกู่เสี่ยวเป่า
กู่เสี่ยวเป่าหันหน้าไปจ้องพนักงาน “เธอใช้ตาไหนมองว่าฉันจะซื้อไม่ไหวล่ะ”
“หึ ขอทานตัวน้อย ตาไหนของฉันก็ดูออกหมดแหละว่านายซื้อไม่ไหว รีบออกไปได้แล้ว อย่ามาทำให้ร้านของฉันสกปรก ออกไปเดี๋ยวนี้!” พนักงานพูดพลางผลักซ่งจื่อเซวียนกับกู่เสี่ยวเป่าออกไปด้านนอก
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อย ต้องพูดเลยว่า กู่เสี่ยวเป่าเข้าไปในร้านแบบนี้รู้สึกว่าไม่เหมาะเท่าไร แต่ก็เหมือนที่เขาบอก ตอนนี้เขาไม่ใช่ขอทาน แต่มาเลือกซื้อของ มีเหตุผลที่ไหนมาผลักลูกค้าออกจากร้านแบบนี้
“มีอย่างพวกคุณที่ไหนกัน ถ้าวันนี้ผมซื้อไหวล่ะ”
ประโยคนี้เป็นซ่งจื่อเซวียนกัดฟันพูด ไม่ใช่แค่โมโห ในใจก็ไม่มีความมั่นใจ ถึงอย่างไรก็มีแค่เขาที่รู้ ในกระเป๋าของตนมีแบงค์แดงอยู่แค่สามใบ เมื่อครู่ตอนที่กู่เสี่ยวเป่าถือเสื้อผ้า เขาก็เห็นป้ายราคาพวงนั้นอย่างชัดเจน จำนวนตัวเลขอย่างน้อยๆ ก็ห้าหลัก…
แต่ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนกับกู่เสี่ยวเป่าก็ถูกผลักออกมาจากร้าน จู่ๆ สายตาของซ่งจื่อเซวียนก็สังเกตเห็นที่ประตูร้าน นอกจากชื่อร้านแล้ว ยังมีภาพแปลกๆ อีกอันหนึ่ง และภาพนี้…เหมือนว่าจะเคยเห็นมาก่อน
ไม่ใช่แค่ร้านนี้ ในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ก็มีร้านค้าไม่น้อยที่มีภาพนี้ เขากล้ายืนยันว่าภาพนี้เขาเคยเห็นมาก่อน!
หรือว่าจะเป็น…ซ่งจื่อเซวียนคิด มือก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงในเวลาเดียวกัน
……………………………………………..