เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 17 ย่านศูนย์กลางธุรกิจอาหาร
ตอนที่ 17 ย่านศูนย์กลางธุรกิจอาหาร
พาซ่งจื่อเซวียนมาส่งที่ห้องทำงานท่านประธานเรียบร้อย จ้าวจิ้งอวิ๋นก็จากไป เขารู้จักความพอเหมาะพอดีมาก เขาเป็นแค่ผู้จัดการห้าง แต่คนอย่างหลินเทียนหนานมีอสังหาริมทรัพย์แบบนี้อยู่ในครอบครองเพียงที่เดียวหรือไง
แม้ซ่งจื่อเซวียนจะใส่เสื้อผ้าธรรมดา ด้านข้างยังมากับเด็กขอทาน แต่การ์ดใบนั้นกลับมีสถานะสูงส่งเหลือเกิน อีกทั้งตอนนี้หลินเทียนหนานเรียกเขามาพบ เห็นได้ชัดว่าการ์ดใบนี้เป็นของเขาจริงๆ การพบหน้ากันเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรจ้าวจิ้งอวิ๋นก็ไม่มีคุณสมบัติเข้าไปในห้องได้
เดินเข้าไปในห้องทำงาน ซ่งจื่อเซวียนมองซ้ายมองขวา ห้องทำงานของหลินเทียนหนานใหญ่มาก ทันทีที่เข้าไปก็เป็นทางเดินเข้าไปลึกสามเมตร ตามด้วยโถงรับแขก โถงรับแขกสี่ด้านมีประตูสามบาน หนึ่งในนั้นมีบานหนึ่งเปิดออกมา มองจากประตูเข้าไปเป็นฉากไม้แดง จึงคิดได้ว่าด้านในก็คือพื้นที่ทำงานแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยสายตาของซ่งจื่อเซวียนก็มองออกทันทีว่าฉากนั่นเป็นไม้จันทน์แดง[1] สีม่วงเข้ม ลายขนวัว พื้นผิวมันเงาราวกับกระจก พื้นที่ส่วนหนึ่งแขวนด้วยโซ่สีทอง เป็นลักษณะพิเศษของของเก่าถึงจะมี!
สมแล้วที่เป็นประธานของจ้งอันกรุ๊ป ไม่คิดเลยว่าห้องทำงานจะหรูหราฟุ่มเฟือยขนาดนี้…
ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปใกล้ เคาะที่ประตูเบาๆ สามครั้ง ด้านในก็ส่งเสียงก้าวเดินทันที ไม่นานหลินเทียนหนานก็สาวเท้าไวเดินออกมา
“น้องซ่ง ในที่สุดนายก็มาสักที”
หลินเทียนหนานสวมชุดสบายๆ กางเกงออกกำลังกายสีเข้ม เสื้อหม่ากว้า[2]กระดุมถัก ท่าทางอย่างเถ้าแก่ร่ำรวย
“ประธานหลิน” ซ่งจื่อเซวียนทักทายอย่างมีมารยาท
“มาๆ พวกเรามานั่งคุยกันหน่อย”
เดินผ่านฉาก เป็นห้องทำงานขนาดร้อยกว่าตารางเมตร พื้นเป็นไม้พะยูง[3] ผนังและชั้นหนังสือก็ทำจากไม้พะยูง มุมหน้าต่างสองด้านสูงจากพื้นจรดเพดาน มีแจกันจิ่งไท่หลาน[4]ลายมังกรขนาดสูงกว่าหนึ่งเมตรวางอยู่สองอัน แม้ว่าจะไม่ใช่ของโบราณ แต่ต่อให้เป็นงานฝีมือราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ
หลินเทียนหนานหยิบโคล่าเย็นขวดหนึ่งมาจากตู้เย็นส่งให้ซ่งจื่อเซวียน “ดื่มนี่ได้ไหม”
“อะไรก็ได้ครับ ประธานหลิน ที่ผมมาคราวนี้ก็แค่อยากพูดคุยกับคุณว่าผมตัดสินใจจะไปทำงานกับคุณครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูดตรงประเด็น ถึงอย่างไรเงินก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้
หลินเทียนหนานได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “ฮ่าๆ ฉันคิดไว้อยู่แล้วว่านายจะต้องเลือกแบบนี้ เถ้าแก่ร้านนั่นของพวกนายยังไม่ค่อยอยากปล่อยนายมาเท่าไรเลย แต่…น้องซ่ง นายเลือกแบบนี้ก็ถูกแล้ว”
“ร้านอยู่ที่ไหนเหรอครับ ผมเริ่มงานได้เมื่อไร” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“เหอะๆ ตามสะดวกเลย ร้านอาหารอยู่ที่เขตเฉิงซี ตกแต่งเสร็จแล้ว รอแค่นายที่เป็นพ่อครัวใหญ่แล้ว!”
หลินเทียนหนานพูดด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ความจริงร้านอาหารตกแต่งเสร็จมาหลายเดือนแล้ว เพราะเขาอยากทำร้านอาหารไม่ใช่แค่วันสองวันนี้ แต่เนื่องจากไม่ได้คิดโครงการดีๆ เอาไว้ จึงยังไม่ได้ดำเนินการทางธุรกิจมาตลอด อย่างไรเสียที่ทางก็เป็นของตนเอง ไม่มีค่าเช่า แน่นอนว่าเขาก็ไม่อยากแบกรับความเสี่ยงเปิดกิจการ
“ครับ อย่างนั้นคุณให้ที่อยู่ผมมาเถอะครับ ผมอยากเริ่มงานเร็วๆ”
ความจริงแล้วซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดคำพูดจากจิตใต้สำนึกออกมา นั่นก็คือเขาอยากหาเงินเร็วๆ สักหน่อย เขาไม่อยากให้แม่ที่มีอายุเท่านี้ไปทำงานรับจ้างรายวันอีกแล้ว อีกทั้งก็อยากทำอะไรสักอย่างให้พ่อตนเองได้เห็นว่าไม่มีเขา ตนเองก็แบกรับภาระของครอบครัวได้!
“ไม่ต้องรีบ น้องซ่งนายวางใจเถอะ ตำแหน่งนี้เป็นของนายแต่เพียงผู้เดียว แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ฉันหวังว่าพวกเราจะพูดคุยกันได้” หลินเทียนหนานพูด
“พูดคุย? เกี่ยวกับร้านอาหารเหรอครับ”
“ถูกต้อง ฉัน หลินเทียนหนานไม่ชอบทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ถ้าไม่ใช่เสียเงินและยอมรับความล้มเหลว ก็ต้องทำเงินได้มากมาย นี่ถึงจะน่าตื่นเต้น!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มบางๆ เขากลับเห็นด้วยกับคำพูดของหลินเทียนหนาน เป็นผู้ชายจะทำอะไรต้องทำให้ใหญ่โตเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ต่างอะไรกับการไม่ลงมือทำ เพียงแต่เขาไม่มีเงิน และไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดคำพูดแบบนี้ออกมา
“น้องซ่ง ร้านอาหารนี้ฉันคิดจะทำให้มันใหญ่โต ให้ข้าวผัดของนายเป็นเมนูซิกเนเชอร์ ส่วนอาหารอย่างอื่นเป็นตัวช่วยให้นาย นายคิดว่ายังไง”
“เอ่อ…” ซ่งจื่อเซวียนไม่มั่นใจเล็กน้อย ต้องพูดว่าเขาตอนนี้ทำข้าวผัดได้แล้วจริงๆ แต่เมนูอื่น…เขายังไม่นับว่ามีคุณสมบัติพ่อครัวจริงๆ ถึงอย่างไรก็ไม่มีพ่อครัวที่ไหนทำได้แค่ข้าวผัด
หลินเทียนหนานทำห้างสรรพสินค้ามาหลายปี มองแวบเดียวก็รู้ความคิดของซ่งจื่อเซวียน ยิ้มพลางพูด “น้องชายวางใจได้ ฉันจะหาทีมพ่อครัวมาให้ นายแค่รับผิดชอบทำข้าวผัดก็พอ อย่างอื่นก็ให้พวกเขาทำไป”
“ให้ผมมาดูแลเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ใช่ ครัวด้านหลังนายรับผิดชอบ แต่หน้าร้านฉันสามารถหาผู้จัดการที่เชี่ยวชาญมาดูแลได้ ทำอย่างนี้นายจะได้ไม่กดดันมากไป ส่วนเงินเดือน…ฉันเคยรับปากนายไปแล้ว แปดหมื่นไม่เปลี่ยน!”
ได้ยินประโยคนี้ซ่งจื่อเซวียนก็มั่นใจแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็หาเงินได้เร็วๆ นี้ เพียงแค่มีแปดหมื่นหยวนในมือ เขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในบ้านตอนนี้ได้
“ผมตกลง แต่…ประธานหลินครับ ผมมีเรื่องจะขอร้อง”
“หืม นายพูดมาสิน้องซ่ง”
“ข้าวผัดของผมทำได้แค่ยี่สิบที่ต่อวันครับ ถ้ามากกว่านี้ผมทำให้ไม่ได้!”
ที่ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างนี้ เป็นเพราะคำพูดของฟางจิ่งจือ ไม่ว่าสิ่งใดทำมากไปก็ไม่มีคุณค่าแล้ว ทว่าคุณค่านี้ไม่ใช่เพียงพุ่งเป้าไปที่ราคาของข้าวผัด ยังพุ่งเป้าไปที่ฝีมือของซ่งจื่อเซวียนด้วย หากสามารถกินข้าวผัดของเขาได้ตามใจ ฝีมือนี้ก็ถือว่าธรรมดาทั่วไปแล้ว
แต่หลินเทียนหนานกลับชะงัก เทียบกันแล้ว หลินเทียนหนานเป็นนักธุรกิจ ไม่มีทางคำนึงถึงปัญหาที่ซ่งจื่อเซวียนคิด ที่เขาใส่ใจก็คือค่าใช้จ่าย กำไรและปริมาณ
“ทำไมล่ะ ยี่สิบที่? น้องซ่ง นี่นาย…เหมือนกำลังล้อฉันเล่นเลยนะ” แม้บนใบหน้าหลินเทียนหนานจะยังประดับรอยยิ้มไว้อยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงไม่สบายใจอยู่บ้าง ถึงอย่างไรตามปกติไม่เคยมีใครกล้าต่อรองกับเขามาก่อน
แม้ซ่งจื่อเซวียนจะยังเด็ก แต่อยู่ข้างๆ ฟางจิ่งจือตลอดทั้งปี ก็เปลี่ยนเป็นใจเย็นมาก แม้จะมองอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของหลินเทียนหนานออก แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนไปสักนิด
“นี่คือหลักการของผม ประธานหลินคุณลองพิจารณาดูนะครับ”
ได้ยินประโยคนี้ หลินเทียนหนานก็ยิ่งแปลกใจกว่าเดิม แรกเริ่มเขากล้ามั่นใจว่าซ่งจื่อเซวียนขัดสน ร้านเล็กๆ ที่เงินเดือนแปดร้อยหยวนนั่นไม่พอกินพอใช้แน่ เงินเดือนแปดหมื่นหยวนยังต้องพูดเรื่องหลักการอะไรอีกเล่า
แต่ที่ทำให้หลินเทียนหนานแปลกใจที่สุดก็คือ ต่อให้เป็นพวกที่มีชื่อเสียงทางสังคมบางคนเห็นเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก็ตกใจจนตัวสั่นได้ รัศมีของเขากลับกดดันเด็กชายสิบกว่าปีตรงหน้าไม่ได้ สถานการณ์เช่นนี้กลับเป็นครั้งแรกที่เขาประสบพบเจอ
เห็นใบหน้าที่สงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นของซ่งจื่อเซวียน กระทั่งหลินเทียนหนานยังรู้สึกเหมือนถูกรัศมีของอีกฝ่ายกดไว้ เขาพูด “หลักการ…นายไม่กลัวว่าถ้ายึดหลักการนี้แล้วฉันจะกลับคำจริงๆ เหรอ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มออกมา “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็เชื่อว่าผมกับประธานหลินไม่มีโชคชะตาต่อกัน ผมยอมรับได้อยู่แล้ว”
“ฮ่าๆๆ ดี ก็ตามคำพูดของนายนี้ ฉันยอมรับหลักการของนาย แต่…” หลินเทียนหนานพูดกลั้วหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าสนใจนิสัยใจคอของซ่งจื่อเซวียนแล้ว “นายก็ต้องยอมรับคำขอร้องของฉันอย่างหนึ่งด้วย เป็นยังไง”
“เชิญคุณพูดเลยครับ”
“ดูท่านายจะมั่นใจกับข้าวผัดของนายมากกว่าฉันอีกนะ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ฉันก็หวังว่าจะตั้งราคาของมันให้สูง ทำให้มันกลายเป็นสินค้าหายากของเมืองนี้ จานละแปดร้อยหยวนเป็นยังไง”
“อะไรนะ แปดร้อยหยวน?” ซ่งจื่อเซวียนพยายามรักษาความสงบเสงี่ยมไว้จนถึงที่สุด แต่ใจก็ยังเต้นตุบๆ
ต้องรู้ว่าการตั้งราคาของข้าวผัดจานนี้สูงกว่าเงินเดือนของเขาที่ทำงานอย่างหนักมาหนึ่งเดือนเชียวนะ พูดอีกนัยหนึ่ง เขาขยันมาหนึ่งเดือนถึงจะเพียงพอกินข้าวผัดได้ที่เดียว พูดแบบนี้ช่างไร้สาระเสียจริง…
“ถูกต้อง นายมีหลักการของนาย ฉันก็มีหลักการของฉัน นั่นก็คือกำไร ถ้านายทำข้าวได้วันละยี่สิบที่ งั้นฉันก็ต้องพึ่งราคาเพิ่มกำไร” หลินเทียนหนานพูดอย่างตั้งใจ
“แต่…ราคานี้…คุณแน่ใจเหรอว่าจะขายได้”
ซ่งจื่อเซวียนไม่เข้าใจธุรกิจ ดังนั้นขณะที่พูดหลักการของตัวเองก็ไม่ได้พิจารณาถึงกำไรอาหาร แต่เขารู้ว่าขายแพงเกินไปก็อาจจะขายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าวผัดของเขาก็ไม่มีคุณค่าเหมือนกัน มีราคาแต่ไม่มีตลาดก็สูญเปล่า
หลินเทียนหนานยิ้มน้อยๆ “แม้ว่าฉัน หลินเทียนหนานจะไม่เคยทำอาหารมาก่อน แต่ทำธุรกิจมาหลายสิบปีแล้ว บางสิ่งบางอย่างยิ่งแพงก็ยิ่งถูกช่วงชิงกันได้ง่ายเท่านั้น เหตุผลนี้ฉันเข้าใจ ก็เทียบกับย่านศูนย์กลางธุรกิจชั้นนำในที่ดินทำเลทอง เงื่อนไขและตึกสำนักงานรอบๆ เมืองไม่ต่างกัน แต่กลับเป็นสัญลักษณ์ของสถานะ ฉันหวังว่าจะสามารถสร้างย่านศูนย์กลางธุรกิจอาหารได้ และน้องชาย ข้าวผัดของนายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแน่นอน”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด สุดท้ายก็พยักหน้า ถึงอย่างไรสิ่งที่ต้องการที่สุดก็คือเงิน ต่อให้จะแค่เดือนแรกก็ตาม…
“ครับ ผมคิดว่าได้”
“งั้นก็ร่วมมือด้วยดีแล้วเหรอ”
“ร่วมมือด้วยดีครับ!” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มสมวัยออกมาอย่างเห็นได้ยาก ยื่นมือไปจับมือของหลินเทียนหนาน
จากนั้น หลินเทียนหนานก็เรียกผู้ช่วยให้เอาข้อมูลมาให้ซ่งจื่อเซวียน รวมถึงแผนภาพโครงสร้างของร้าน รูปภาพหน้าประตูและตำแหน่งที่ตั้ง ตกลงกันว่าใช้เวลาสามวันในการเดินเรื่องใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องเรียบร้อย หลังจากนั้นสามวัน ซ่งจื่อเซวียนถึงจะเริ่มงาน
ชั้นสามห้างจ้งอัน ถังหย่าฉีเดินอย่างเบื่อหน่าย เธอไม่ได้สนใจสินค้าเคาน์เตอร์แบรนด์พวกนี้มากนัก เทียบกันแล้ว ปกติเธอจะชอบอ่านหนังสือ ฟังเพลงมากกว่า ดังนั้นตอนนี้สำหรับเธอแล้วเป็นการฆ่าเวลาได้อย่างหมดจด
ขณะที่กำลังเดิน จ้าวจิ้งอวิ๋นก็เดินออกมาจากลิฟต์ ถังหย่าฉีรีบเดินไปด้านหน้า ถามว่า “ผู้จัดการจ้าว ฉันอยากถามอะไรสักหน่อยน่ะค่ะ เมื่อกี้ตกลงซ่งจื่อเซวียนคนนั้น…กับผู้ดูแลชั้นขัดแย้งอะไรกันเหรอคะ”
“หืม ทำไมคุณถังถึงถามอย่างนี้ล่ะครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็แค่ถามไปอย่างนั้น ไม่สะดวกพูดเหรอคะ” ถังหย่าฉีกล่าว
“ไม่ครับไม่ ไม่ได้มีอะไรไม่สะดวกหรอกครับ ความจริงแล้วผมไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนที่ผมมา พวกเขาก็ขัดแย้งกันแล้ว ผมแค่เห็นการ์ดวีไอพีของคุณซ่ง ถึงได้เชิญเขาไปที่ห้องลูกค้าวีไอพี แต่จางกังก็อวดดีอยู่บ้างจริงๆ แหละครับ ครั้งนี้ก็ถือว่าเขาหาเรื่องใส่ตัวแล้ว”
ถังหย่าฉีพยักหน้าน้อยๆ “คืออย่างนี้ค่ะ อืม…ผู้จัดการจ้าว ฉันมีเรื่องให้คุณช่วยเล็กน้อย ไม่ทราบว่าสะดวกไหมคะ ฉันอยากดูมอนิเตอร์เรื่องเมื่อครู่สักหน่อยน่ะค่ะ”
“มอนิเตอร์เหรอครับ” ถ้าเป็นคนทั่วไปขอ จ้าวจิ้งอวิ๋นคงไม่ยอมตกลงแน่ นี่เป็นข้อมูลของห้างจ้งอัน แต่พิจารณาถึงสถานะของถังหย่าฉีแล้ว เขาก็ตอบตกลง “ก็ได้ครับ คุณถังตามผมมา”
เป้าหมายนี้ของถังหย่าฉีง่ายๆ เธอไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนทำเมื่อครู่มากๆ ฆ่าคนได้โดยไม่ก้มหน้ามองพื้น ในเมื่อจางกังก็สำนึกผิดแล้ว ทำไมยังต้องสั่งประหารเขาอีกล่ะ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอก็ยังอยากจะรู้จริงๆ ว่าขัดแย้งกันอย่างไรถึงทำให้ซ่งจื่อเซวียนทำอย่างนี้เป็นการแก้แค้น!
ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินไปที่ห้องมอนิเตอร์ เสียงหนึ่งก็หยุดถังหย่าฉีไว้
“หย่าฉี เธอมาได้ยังไง”
ถังหย่าฉีหันหน้าไป ก็เป็นหลี่เจียหาวเดินมา
………………………………………
[1] ไม้จันทน์แดง (Red Sandalwood) เป็นไม้เขตร้อน เนื้อแน่น หนัก สีโทนดำม่วงหรือดำแดง ลายละเอียดเหมือนเส้นผม เนื่องจากหาได้ยากและโตช้ามาก จึงมีราคาแพงมาก นิยมใช้ทำเฟอร์นิเจอร์จีนมากในสมัยราชวงศ์ชิง
[2] เสื้อหม่ากว้า เป็นเสื้อผ่ากลางกลัดกระดุมไว้ข้างหน้า เดิมใช้สำหรับขี่ม้าเดินทางในสมัยราชวงศ์ชิง แต่ภายหลังใช้ในชีวิตประจำวัน
[3] ไม้พะยูง เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีลวดลายสวยงามจากต้นพะยูง เป็นไม้มงคลที่มีราคาสูง
[4] จิ่งไท่หลาน (景泰蓝) เป็นเครื่องเคลือบที่มีรูปทรงสง่างามสีสันสดใส มีประวัตินิยมมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์หยวน ปรากฏครั้งแรกในราชวงศ์ชิง เป็นสุดยอดหัตถกรรมจีน